เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ในหนึ่งวันrain_blablobly
#EyesILoveYou ในวันที่ตาของเราป่วย
  • #EyesILoveYou ชวนเล่าเรื่องสุขภาพตา เพราะว่าการมองเห็นนั้นสำคัญ

    เมื่อเห็นมินิมอร์ชวนเล่าเรื่องนี้ เราก็เลยมาแบ่งปันปัญหาจากดวงตาของเรา
    เมื่อวันที่เขาป่วยแล้ว มาเล่าให้ฟัง เผื่อเป็นแนวทางในการถนอมสายตา
    สำหรับคนที่สุขภาพตายังดีปกติอยู่ 

    เริ่มที่อาการและสุขภาพตาของเราตอนนี้คือ 

    ตา ข้าง ขวา เป็น ต้อเนื้อ ... ไป แล้ว

    และเหมือนข้างซ้ายก็มีอาการเบาๆ 
    แงงงงง ร้องไห้ .... ไม่ช่วยอะไร!!

    ตาข้างขวาเป็นต้อเนื้อได้ประมาณ 5 ปีได้ ที่ออกอาการชัดเจนและมีก้อนเนื้อลามเข้าตาดำไปแล้ว
    ลามได้เสี้ยวนิดๆ ของตาดำ ตอนนี้ตาดำก็เหมืองดวงจันทร์ที่แหว่งไป 5% เราเริ่มไปหาหมอเพราะมีอาการเคืองและแสบตาไม่หาย ตาแดงด้วย หมอบอกว่าเป็นต้อเนื้อ และให้ยาหยอดตาแก้ระคายเคืองไว้ก่อน ยังไม่เหมาะกับการรักษาด้วยการลอกตา เพราะอายุยังไม่ถึง


    สาเหตุ 

    - หมอบอกว่า เกิดได้หลายสาเหตุ เช่น จากแสงแดดจ้า จากฝุ่น จากลม จากแสงประดิษฐ์หลอดไฟต่างๆ จากการจ้องจอคอมฯ นานๆ เมื่อหลายสาเหตุนี้รวมกันก็ทำให้ดวงตาเราทำงานหนักขึ้นจนทนไม่ไหว และก็ถูกทำร้ายไปแม้ไม่ชั่วพริบตาก็ตาม 
    - เมื่อหมอบอกอย่างนั้นเลยกลับไปทบทวนพฤติกรรมการใช้ดวงตาของตัวเอง ซึ่งก็จริง เพราะ

    1. ขับรถมอร์ไซค์ไม่ค่อยสวมหมวกกันน็อค เมื่อขับด้วยความเร็วมากลมก็พัดตาเราได้ง่าย ไหนจะเวลาขับออกแดด บวกแสงแดดผ่านตาเข้ามาอีก บวกฝุ่นที่มีในอากาศทั่วๆ ไปอีก คืออยู่ในดินแดนฝุ่นว่างั้น ซึ่งเป็นสาเหตุเบื้องต้นทั่วไปที่ใครๆ หลายคนอาจพบเจอได้ มากน้อยต่างกันไป
    2. การจ้องจอคอมฯ นานๆ ใช้สายตาเพ่งนานๆ ทำให้กล้ามเนื้อตาเราเกร็งและทำงานมากขึ้น ตาก็ล้าได้ ยิ่งคนที่มีงานต้องทำนานๆ นอนดึกๆ ก็มีส่วนทำร้ายดวงตาได้เช่นกัน (เพราะนอนดึกจะทำให้ตื่นสาย ไม่ใช่!) เพราะเราใช้สายตานานเกินไป และใช้เขาจ้องจอคอมฯ ที่มีแสงประดิษฐ์ด้วย ยิ่งบวกเข้าไปอีก
    3. นอกจากแสงจากจอคอมฯ แล้ว แสงจากหลอดไฟก็มีส่วน (มากน้อยตามกำลังไฟ อันนี้ก็ไม่ใช่นะคะ) ที่บอกว่าแสงจากหลอดไฟมีส่วนเพราะช่วงทำธีสีสต้องอยู่กับจอคอมฯ ทั้งวันทั้งคืน พักผ่อนน้อย แสงจากจอคอมฯ บวกกับแสงจากหลอดไฟที่สว่างทั้งคืน กับการใช้สายตาที่ขาดการพักผ่อนที่เหมาะสม ก็เป็นสาเหตุได้

    ทั้ง 3 ข้อที่กล่าวมา เป็นพฤติกรรมของเราเองที่ทำร้ายสายตาโดยไม่รู้ตัว

    การรักษา

    เมื่อไปหาหมอและผลวินิจฉัยออกมาว่าตาเป็นต้อเนื้อ หมอจึงแนะนำเบื้องต้นว่า ให้ระวังการโดนลม ฝุ่น แสงแดดที่มากเกินไป หรือจะใส่แว่นกันแดดไว้เมื่อต้องออกกลางแจ้งก็ได้ ส่วนการรักษานั้นหมอให้ยาหยอดตามา 1 หลอด บอกว่าให้หยอด 4 เวลา เช้า กลางวัน เย็น และก่อนนอน คือหยอดทุกๆ 4 ชั่วโมง จะช่วยลดอาการระคายเคือง ตาไม่แห้ง และลดตาแดงได้ แต่ไม่ได้ช่วยขจัดก้อนเนื้อที่ลามเข้าตาดำนะ เพราะเมื่อเนื้อมันเกิดแล้วมันจะอยู่อย่างนั้น วิธีรักษาอีกทางคือการลอกตา แต่ตอนนั้นเราอายุยังไม่ถึง 30 ปี (หมอบอก 30 ปีก่อนถึงลอกได้ แต่การลอกตาก็ใช่ว่าจะหายขาดซะทีเดียว) ก็เลยต้องหยอดตาไปเรื่อยๆ ก็ช่วยลดการระคายเคืองได้และระงับก้อนเนื้อลามมากกว่าเดิมได้

    หลังจากหมอแนะนำเราก็ทำตามหมออย่างเคร่งบ้าง ลืมบ้าง เมื่อยาหมดก็จะไปพบหมอใหม่ และหมอก็ให้ยาตัวเดิมมาหยอดเป็นเวลา 2-3 ปี หยอดอยู่อย่างนี้ จนช่วงหนึ่งยาหยอดตาหมด แต่ไม่มีเวลาเข้าไปหาหมอสักที เราเลยนำหลอดยาตัวเดิมไปซื้อที่ร้านยาทั่วไป ให้เภสัชกรช่วยเทียบตัวยาให้ และก็ได้ยาแบบเดียวกับของหมอที่คลินิก เราเลยถามเภสัชกรว่าเป็นยาอะไร สรรพคุณมันยังไง เขาเลยบอกว่าก็เป็นยาแก้ระคายเคืองทั่วไป ไม่ได้ช่วยลดก้อนเนื้อหรือทำให้ต้อเนื้อหายนะ เราเลยโอเค ซื้อยาในร้านยาไปหนึ่งหลอด หยอด 4 เวลาเช่นเคย ก็ช่วยบรรเทาได้ปกติ 

    ที่สำคัญคือ ราคายาหยอดตาที่คลินิกแพงกว่าที่ซื้อในร้านยาถึง 5 เท่าต่อหลอด แต่ปริมาณหยอดยาของคลินิกจะเยอะกว่า เทียบง่ายๆ ก็ของคลินิกใช้ได้เดือนครึ่ง ของร้านยาจะใช้ได้ หนึ่งเดือน 

    หมายเหตุ เนื่องจากเราซื้อยาในร้านยามหาลัย เภสัชกรที่จ่ายยาให้จะเป็นอาจารย์และมีนักศึกษามาช่วยหรือฝึกงานไปในตัวด้วย ดังนั้นอาจารย์เขาจะถามอาการเราละเอียดมาก เช่น ใช้ยาเองหรือเปล่า อาการเป็นอย่างไร เคืองมากน้อยแค่ไหน ใช้มานานเท่าไหร่แล้ว คือถามจนเราเองก็ไม่อยากตอบละ ฮ่าๆ แต่เป็นผลดีต่อตัวเรา เพราะเขาจะได้จ่ายยาให้ตรงอาการมากที่สุด ไม่ใช่สักแต่ว่าจ่ายยาให้ตามที่คนป่วยอยากได้  

    การรักษาและป้องกันอีกวิธีหนึ่งคือ เราก็ไปตัดแว่นที่เป็นมัลติโคทไรสักอย่าง ที่เลนส์สามารถปรับแสงได้ทั้งเวลาใช้คอมฯ หรือออกสู่ที่กลางแจ้ง เลนส์จะปรับให้อัตโนมัติ ใส่ไว้ก็สบายตาดี มีตัวช่วยกรองสิ่งที่ทำร้ายดวงตาเราได้ดีมาก มากๆ เราเองก็สบายตามากขึ้น

    แต่ๆๆๆๆ ผลข้างเขียง ไม่ใช่! ผลข้างเคียงที่ตามมาเมื่อเราใส่แว่นคือ สายตาสั้น! คือก่อนยังไม่รักษาหรือมีอาการตาต้อ สายตาเราปกติ ความชัดเจนมองเห็นได้ปกติ แต่พอเริ่มใส่แว่นเท่านั้น สายตาเราก็เริ่มสั้นลงเรื่อยๆ มันค่อยๆ สั้นลงนะ ไม่ได้พรวดพราดทีเดียว วัดสายตาล่าสุดก็สั้นไปประมาณ 80 จากที่ไม่สั้นเลย (ตอนนี้มองหน้าคนไม่รู้ว่าใครเป็นใครแล้วในระยะ 200 เมตร (ขอแก้ไขระยะใหม่เพราะประมาณผิด จริงๆ 40 เมตรก็ดูไม่รู้แล้วว่าใคร)) ก็ใส่แว่นกรองแสงมา 4-5 ปี นี่คือข้อเสียหรือผลข้างเคียงที่ตามมา เพราะเรามีตัวช่วยกรองแสงเป็นเลนส์จากแว่น เมื่อเราใส่จนสายตาเราชินกับการสบายด้วยตัวช่วย พอเราไม่อาศัยมันตาเราก็อ่อนแอลง ไม่สามารถช่วยตัวเองได้ตามปกติเช่นที่เคยเป็น ก็เป็นเรื่องธรรมดา ได้อย่างเสียอย่าง

    อีกการป้องกันอย่างหนึ่งคือ เราก็พยายามไม่ใส่แว่นตลอดเวลานะ ใส่เฉพาะช่วงออกแดด ช่วงอยู่หน้าคอมฯ ถ้าทำกิจกรรมที่ไม่โดนแสงจ้าเกินไป ก็เลี่ยงที่จะไม่ใส่ และอุปกรณ์ที่ติดเป็นประจำคือหมวก ติดมาก และซื้อไว้หลายใบ พกไว้ไม่ใช่เพราะแฟชั่นนะ แต่ใส่หมวกเพราะไว้เป็นเฉดดิ่งกันแสงแดดสู่ดวงตา เหมือนกันสาดหรือฟินกันแดดในอาคารนั่นแหละ กันลมได้ด้วย ไอ้ส่วนที่ยื่นๆ ออกมาเล็กน้อยนั่นแหละ ที่ช่วยป้องกันแสงแดดและลมได้ ก็ใช้ทดแทนได้ถ้าไม่อยากใส่แว่น


    อาการปัจจุบัน

    ตอนนี้ต้อเนื้อก็ยังมีอยู่ปกติไม่ลดน้อยลง แต่ก็ไม่ได้ลามเข้าตาดำมากไปกว่าเดิม (รึเปล่าว่ะ ไม่ได้ไปหาหมอหลายเดือนแล้ว!) หยอดตาตามปกติและคงยังลอกตาไม่ได้เพราะอายุยังไม่ถึง 30 ก็หยอดตาไปก่อน แต่มีสิ่งที่น่าสนใจอยู่อย่างคือ

    2-3 ปีแรกเราหยอดตาตามที่หมอแนะนำคือ 4 เวลาต่อวัน หยอดไปเรื่อยๆ จนวันหนึ่งไปซื้อยาที่ร้านยาเช่นเคย แล้วเภสัชกรก็บอกว่า 
    "รู้ใช่ไหมว่าถ้าเราใช้ยานานๆ เรื่อยๆ มันจะเป็นยังไง มันจะดื้อยา อยากใช้ยา แล้วมันก็จะไม่เกิดผลอะไรเลย" เภสัชกรเลยแนะนำต่อว่า
    "ก็ให้ลดการหยอดตาลง จากวันละ 4 เวลา ก็เหลือวันละ 2 เวลา เพื่อลดการดื้อยา และดวงตาเราจะได้ปรับให้ช่วยตัวเองได้ปกติและธรรมชาติขึ้น"

    หลังจากเภสัชกรแนะนำ เราก็เริ่มลดการหยอดตาเป็นวันละ 2 เวลา คือ เช้าและก่อนนอนเลย ช่วงแรกๆ 4 ชั่วโมงไม่หยอด ตาจะแดงและระคายเคืองเล็กน้อย แต่พอนานไป ตาเราก็ปรับเวลาและสภาพได้ดีขึ้น หลังหยอดตาตอนเช้าแล้ว ตาเราอยู่ได้ถึงเย็นโดยที่ไม่ระคายเคืองหรือมีอาการตาแดงเหมือนแต่ก่อน ตอนนี้ก็อยู่ตัวดีมากขึ้น หยอดวันละ 2 เวลา เพื่อไม่ให้ตาเราแห้งเกินไป และทำงานหนักเกินไป พร้อมกับใส่แว่น พกหมวกตามปกติ

    ทำให้คิดได้ว่า อ้าว!! ทำไมหมอไม่บอกหนูเรื่องนี้ ตาหนูก็เสพยาหมอมาเป็นปีๆ เลยนะนี่ โหหหห ถ้าหยอด 4 เวลาไปเรื่อยๆ ตาคงไม่ปรับสภาพตัวเอง และไม่รักษาตัวเองแน่เลย คงรอยาอย่างเดียว ลงแดง!


    พฤติกรรมปัจจุบัน

    - ลดการนอนดึก (ไม่เกิน 6 ทุ่ม) ถ้าใครไม่สามารถในเวลานี้ ก็ปรับโฟกัสการมองบ่อยๆ 
    - ไม่เล่นโทรศัพท์เมื่อปิดไฟจะนอน หรือในที่มืด ถ้าจะเล่นก็เปิดไฟให้สว่างดีกว่า
    - ใส่แว่นกรองแสงทั้งแสงแดดและแสงจากจอคอมฯ
    - ไม่ใช้สายตาหรือจ้องจอคอมฯ นานเกินไป ถ้านานเกินไป จนรู้สึกล้า ปวดตา ไปจนถึงปวดหัว ควรเดินออกไปข้างนอก ไปมองบรรยากาศที่กว้างๆ ให้สายตาได้ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ การเปลี่ยนบรรยากาศการมองเห็น หรือจุดโฟกัสที่ไกลออกไป ก็ช่วยดวงตาได้นะ แต่ที่จริงก็ไม่ควรจ้องนานจนเกิดอาการปวดตาหรือปวดหัว
    - พกหมวกช่วยได้ กับสภาพอากาศแดดแรงแสงจ้าของบ้านเรา เพราะหมวกก็ไม่ได้หนักอะไร พกติดกระเป๋าไว้ก็เป็นประโยชน์นักเชียว อาจจะเลือกหมวกที่ีพกง่ายพับได้ ก็สะดวกดี


    สุดท้าย

    - ไม่คิดว่าจะเขียนมายาวขนาดนี้ แต่มาเล่าจากอาการของตัวเอง เผื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นบ้างไม่มากก็น้อย (คำนำรายงานสมัยมัดยมชัดๆ)
    - การรักษาและสังเกตอาการตัวเอง จนปรับการใช้ยาหยอดตานั้น อาจไม่ใช่หรือถูกต้องที่สุด หากใครประสบปัญหานี้ ควรพบแพทย์ดีกว่าจะได้รักษาและดูแลได้ถูกต้องตามอาการของตัวเองค่ะ


    ขอบคุณภาพหน้าปกจาก minimore + ray-bans.ga

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in