เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
My First Storyนักเขียนหน้าใหม่หัวใจดวงเก่า
"ทำอะไรก็ได้ที่ตัวเองแฮปปี้"
  •    "ผมยิ้มกว้างและตอบโอเค (ส่วน บ.ก. ตอบตกลง)"
        
       ประโยคสุดท้ายจากหนังสือตอนพิเศษของเบนซ์ ธนชาติ นักเขียนที่ได้รับฉายาว่ายียวนกวน__ที่สุด (จากฉันเอง) เพิ่งจบลงไปเมื่อครู่ รู้ตัวอีกทีฉันก็มาโผล่อยู่บนเรือกลางน้ำอันไหลเชี่ยว ที่รุนแรงและส่งกลิ่นที่สุดในมหานครบางกอกแห่งนี้ (หรือที่เรียกว่าคลองแสนแสบที่หลาย ๆ คนคงรู้จักกันดี) การเดินทางกลับบ้านของฉันไม่มีอะไรมาก ขึ้นรถลงเรือ ชีวิตประจำวันก็มีอยู่แค่นี้แหละ 

       สารภาพตามตรงเลยว่า ตอนแรกก็คิดอยู่นานมาก เห้ยเปิดบทแรกทั้งทีก็ต้องมีข้อคิดดี ๆ ฝากผู้อ่านสักหน่อยไหม แต่นั่นละ..คิดเท่าไรก็ไม่รู้ว่าจะให้ข้อคิดอะไรกับทุกคนดี เพราะทุกวันนี้แค่คิดเมนูข้าวกลางวันของทุกวันให้ต่างกันได้ยังยากเลย หรือจะรอจนมีเรื่องราวสนุกเกิดขึ้นในชีวิต ก็คงจะไม่ได้เขียนกันเป็นแน่ เพราะชีวิตช่วงนี้ก็ค่อนข้างเปื่อยเสียเหลือเกิน 

       จะว่าไป ถ้าให้พูดเรื่องราวของชีวิต ก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องงาน และหัวข้อที่น่าเขียนถึงที่สุด ก็คงจะเป็นหัวข้อเกี่ยวกับ "น้องฝึกงานคนแรก" ใช่แล้วน้องฝึกงานคนแรกในชีวิตของเรา กำลังจะฝึกงานจบวันนี้

       นี่ชีวิตของฉันเดินทางมาไกลจนมีน้องฝึกงานของตัวเองแล้วหรือนี่ จากไอเด็กฝึกงานเตาะแตะ ที่ร้อนวิชาขั้นสุด เลยไปฝึกงานถึงสามที่ ในวันนี้เขามีเด็กฝึกงานของตัวเองแล้วนะครับ

       คงสงสัยกันละสิว่า มหาลัยอะไรถึงให้นักศึกษาฝึกงานถึงสามที่ (ไม่บอกหลอกอิอิ) จริง ๆ ก็อยากเล่าแหละ (เอ้าไอนี่ สรุปจะเอาไงห้ะ หลาย ๆ คนคงบ่นอยู่ในใจ) จริง ๆ ก็อยากจะเล่าให้ฟังแหละ แต่มันคงยาวมาก ถ้าอยากให้เล่าลองคอมเมนต์กันมานะ กลับมาที่เรื่องน้องฝึกงานของเรากันดีกว่า

       เอาจริง ๆ เรื่องนี้ดูเหมือนจะเหมาะกับน้องฝึกงานหลาย ๆ คน ที่กำลังหาตัวเองอยู่ว่าจะไปฝึกงานที่ไหน จบไปจะทำงานอะไร จะเป็นฟรีแลนซ์ดีไหม ชื่ออาชีพนี้โคตะระเท่เลยใช่ไหมละ แต่อย่าว่าแต่น้องฝึกงานเลยครับ ทุกวันนี้คนทำงานอย่างเรา ก็ยังหาตัวเองไม่เจอเหมือนกัน แต่ทุกคนเชื่อไหม สิ่งที่เราได้จากน้องฝึกงานก่อนจบ ไม่ใช่ไฟล์งานสวย ๆ ที่ใส่ชื่อว่า "final " ได้ตั้งแต่ draft 1 แต่เป็น คำพูดที่น้องบอกพี่ในทีมอย่างพวกเราว่า 

       "ทำอะไรก็ได้ที่ตัวเองแฮปปี้" 

       และใช่ครับ ประโยคนี้ไม่ใช่ประโยคสวย ๆ ที่เราพูดกับน้องฝึกงานที่เพิ่งจบและไฟแรงแต่อย่างใด แต่มันคือประโยคที่น้องฝึกงานบอกกับพี่ ๆ ทำงานแบบพวกเรานี่แหละ
      
       หลายคนคงไม่เคยเจอน้องฝึกงานที่ไหนพูดกับพี่แบบนี้ ซึ่งพอเรามาเขียน เราก็เริ่มไม่แน่ใจเหมือนกัน ว่าทีมเราเป็นกันเองเกินไป หรือเราทำตัวไม่ค่อยน่าเคารพเท่าไรกันแน่ (ภาวนาให้เป็นอย่างแรก555)

       ประโยคนี้ถูกเอ่ยออกจากน้องฝึกงาน เมื่อเพื่อนในทีมมาปรึกษาเรื่องบางอย่างกับพวกเรา ซึ่งฉันได้ให้คำแนะนำกับเพื่อนไปเยอะมาก ๆ เลยโยนคำถามไปให้น้องฝึกงานตอบบ้าง เพราะกลัวบทสนทนาในวงจะกร่อย เนื่องจากน้องไม่ค่อยได้พูดเท่าไรนัก 

       คำตอบของน้องทำเอาเซอร์ไพรพ์ เพราะคำตอบสุดท้ายของคำอธิบายเหตุผลล้านแปดเกี่ยวกับการเลือกทางเดินของชีวิต คือการทำอะไรก็ได้ที่ตัวเองแฮปปี้ (และไม่ทำให้ใครเดือดร้อน) ถ้าทำแล้วมีความสุขก็ทำไปเถอะ เชื่อเถอะว่านั่นคือทางเลือกที่ดีที่สุดกับ 'ใจ' ของคุณแล้ว

       จริงอยู่ที่มนุษย์เราเป็นสัตว์สังคม ทำให้การตัดสินใจอะไรก็ขึ้นกับคนรอบข้างด้วย แต่ถ้าเรื่องไหนที่เป็นเรื่องของเรา และเราเป็นผู้ตัดสินใจเองได้แล้วละก็ อยากให้ทุกคนลองตั้งคำถามกับตัวเองว่า "ตัวเองแฮปปี้แล้วหรือยัง" แล้วทางที่เลือกนี่ "ทำให้ตัวเองแฮปปี้จริง ๆ หรือเปล่า"

       พูดถึงเรื่อง "แฮปปี้หรือการมีความสุข" ทำให้คิดย้อนไปตอนที่เพิ่งรู้ข่าวว่าคุณย่ากำลังจะเสีย ไม่แปลกที่เราจะเสียใจ เพราะเราสนิทกับคุณย่ามาก แต่คำถามที่แล่นเข้ามาในหัวตอนนั้นคือ "มีอะไรอีกไหมที่เราอยากทำ" และคำตอบก็คือไม่มี แต่ถ้าจะให้มี..ก็คงไปดูใจกันครั้งสุดท้าย และอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขให้นานที่สุด

       ที่ตอบว่า "ไม่มี" เพราะเราเลือกทำในสิ่งที่แฮปปี้ที่สุดกับคุณย่าไว้ตั้งแต่ก่อนที่ท่านจะเสียแล้ว ไม่ว่าจะเป็นคุยกับคุณย่าจนกว่าย่าจะวางสาย วีดีโอคอลเปิดกล้องเห็นหน้ากันแบบวัยรุ่นยุคใหม่ (ลืมบอกไปว่าย่าอายุ 91 แล้วนะ) บันทึกคำอวยพรที่ย่าให้ก่อนวางสายทุกครั้งมาเป็นเวลาปี ๆ และกอดย่าทุกทีเวลาที่เดินจากกัน 

       ทำให้เมื่อเราคิดย้อนกลับไป ก็ได้คำตอบเช่นเดิม ว่าเราทำทุกอย่างที่เราอยากทำและเราแฮปปี้ที่สุดแล้ว หรือแม้แต่สิ่งที่ทำให้เขาแฮปปี้ เราก็ทำให้เขาแล้วเช่นกัน  เพราะงั้นการจากลาครั้งนี้ จึงไม่มีอะไรที่ต้องห่วง นอกจากการทำให้พวกเราได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตา และใช้เวลาที่เหลือด้วยกันอย่างมีความสุข

       ที่มาเล่าเพราะไม่อยากให้ทุกคนรอจนวันที่สายไป อย่างน้อยก็ใจดีกับตัวเองกันสักหน่อย หันไปถามตัวเองหน่อยว่า ครั้งสุดท้ายที่ถามตัวเองว่า "แฮปปี้มั้ย" คือตอนไหน ถ้าจำไม่ได้ก็ให้รีบถามตัวเองเสียตั้งแต่ตอนนี้ เพราะคนที่ควรใจดีด้วยมากที่สุด คือตัวเราเองนี่ละไม่ใช่ใครที่ไหน

       สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณน้องฝึกงานที่เคารพ ที่ให้ยืมประโยคเก๋ ๆ มาตั้งเป็นหัวข้อให้คนกดเข้ามาอ่าน จนมีข้อคิดดี ๆ เล็กน้อยฝากทุกคนจนได้ และถ้าน้องฝึกงานอยากจะได้ประโยคเก๋ ๆ เป็นคำแนะนำจากพวกพี่ก่อนฝึกจบไปแล้วละก็ อยากจะบอกกับน้องว่า 

       "ทำอะไรก็ได้ที่ตัวเองแฮปปี้" :) 
       - ขอให้โชคดีและมีความสุขกับทุกสิ่งที่เลือก -

       คิดถึงเสมอ จาก พี่ฝึกงาน (กลุ่มครีเอทีฟอะงานรองกินข้าวสิงานหลัก)


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
PunPattee (@fb1906051316072)
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆที่ทำให้ยิ้มได้นะคะ รวมทั้ง ประโยคที่ทำให้หันมาสนใจในความรู้สึกตัวเองมากขึ้น เป็นกำลังใจให้ค่ะ :)