เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
บันทึกการอ่านmenalin
ถ้าโลกนี้ไม่มีแมว...จะดีกว่าหรือเปล่านะ?
  • "มนุษย์นั้นพยายามจะได้อะไรมา โดยไม่ให้เสียอะไรไปเลย แต่ที่สุดแล้วมันก็ไม่ต่างอะไรจากการขโมย ตอนที่มีคนได้อะไรไปนั้น ก็มีใครสักคนต้องเสียอะไรไปสักอย่างอยู่ดี ความสุขของคนหนึ่งก็คือความทุกข์ของอีกคนนั่นเอง"
    - แม่ (หน้า 52)



    "ถ้า โลกนี้ ไม่มี แมว (If Cats Disappeared from the World)"

    ผู้เขียน: Genki Kawamura
    ผู้แปล: ดนัย คงสุวรรณ์
    Max Publishing, พิมพ์ครั้งที่ 1, มกราคม 2559

    cr. ภาพ cover movie.sanook.com
    cr. ภาพปกหนังสือ readery.co
    cr. โปสเตอร์ภาพยนตร์ chill89.fm

              ตัดสินใจพุ่งไปซื้อหนังสือเล่มนี้ทันทีหลังจากดูหนังจบ ถ้าแมวตัวนั้นหายไปจากโลกนี้ (If Cats Disappeared from the World) สร้างจากนิยายขายดีในญี่ปุ่นเรื่อง 世界から猫が消えたなら‬ (Sekai kara neko ga kietanara) หรือในชื่อเรื่องภาษาไทยว่า "ถ้า โลกนี้ ไม่มี แมว" นิยายเรื่องนี้เริ่มต้นจากกระแสใน LINE (ตามข้อมูลที่ระบุในคำนำสนพ. ในเล่ม นิยายเรื่องนี้นับเป็นนิยาย LINE เรื่องแรก) และหลังจากตีพิมพ์ออกมายอดขายก็พุ่งสูงทีเดียว

              ชายหนุ่มอายุ 30 ปี ประกอบอาชีพเป็นบุรุษไปรษณีย์ เขาใช้ชีวิตอยู่กับเจ้ากะหล่ำ แมวของเขาแบบเรื่อย ๆ เฉื่อยชาเป็นมนุษย์สายชิลมาตลอด แต่แล้วเขาก็ได้รับข่าวร้ายว่ามีก้อนเนื้ออยู่ในสมองและจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน และเหมือนโชคชะตาจะยังไม่สาใจ เขายังได้พบกับเจ้า "ปีศาจ" ที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับเขาเปี๊ยบโผล่มารอเขาถึงในบ้าน พร้อมแจ้งข่าวว่าเขาจะตายในวันพรุ่งนี้ แต่! หากเขาอยากจะมีชีวิตต่อ เจ้าปีศาจก็จะช่วยยืดเวลาให้ได้มีลมหายใจต่อไปอีกหนึ่งวัน แลกกับการทำให้บางอย่างหายไปจากโลกนี้ โดยเจ้าปีศาจจะเป็นผู้กำหนดเองว่าจะให้อะไรหายไปในแต่ละวัน ในเมื่อยังไม่อยากตาย เขาจึงตัดสินใจรับข้อเสนอนั้น ด้วยคิดว่าของบางอย่างถึงหายไปก็คงไม่เป็นไร แต่มันจะไม่เป็นไรจริง ๆ หรือ?


              กับตัวหนังนั้นเราประทับใจและชอบเอามาก ๆ เป็นหนังที่ดูแล้วยิ้ม สลับกับร้องไห้อยู่ตลอดเรื่อง มันมีอะไรให้คิด ส่งสารกระแทกไตอยู่ตลอด นักแสดงก็เล่นดีงามอะ เลยตัดสินใจว่าต้องอ่านเวอร์ชั่นนิยายให้ได้ ตอนแรกก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมากกับตัวหนังสือ เพราะเราคิดว่าเราดูหนังมาแล้ว พล็อตก็รู้แล้ว ร้องไห้ก็ร้องมาแล้วตอนดูหนัง เพราะงั้นกับหนังสือก็น่าจะเฉย ๆ (อารมณ์รับวัคซีนมาก่อนแล้วว่างั้นเหอะ) แต่ปรากฏว่าเราคิดผิดค่ะ

              ด้วยความประมาทก็พกติดตัวไว้อ่านบน BTS ระหว่างเดินทางไปทำงาน ทำไมถึงประมาทอะเหรอ ก็อ่าน ๆ ไปดันเกิดอินแล้วน้ำตาจะไหล จะร้องไห้มันบน BTS เอาน่ะสิ หนังสือบ้าไรไม่รู้ มีแต่ประโยคเด็ดกระแทกลิ้นปี่ อ่านแล้วจุก shift หาย น้ำตารื้น สูดน้ำมูกฟืด ๆ นี่ถ้าอ่านอยู่บ้านคงได้อินน้ำหูน้ำตาไหลแบบไม่มีกั๊กไปแล้ว คือด้วยวัยมันเท่ากับพระเอกพอดี แล้วสไตล์การใช้ชีวิตก็คล้ายคลึง จัดเป็นมนุษย์สายชิลคนหนึ่ง ไม่มีอะไรหวือหวาหรือน่าตื่นเต้น แล้วไหนจะปมเรื่องครอบครัวอีก มันโดนจริง ๆ เรื่องนี้

              หากให้ list รายการสิ่งที่อยากทำก่อนตายออกมา เชื่อว่าเราและอีกหลาย ๆ คน หรืออาจจะทุกคนน่าจะมีรายการอยู่ในหัวมากมาย ทั้งเรื่องที่ท้าทาย ตื่นเต้น หรือน่าซาบซึ้ง อย่างเช่นการไปเที่ยวรอบโลก บอกรักคนที่แอบชอบ เล่นกีฬาผาดโผน ฯลฯ แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องตายจริง ๆ มันจะมีสักกี่อย่างกันที่เราอยากจะทำจริง ๆ หรือทำได้จริง ๆ อย่างพระเอกของเรื่องนี้ เมื่อรู้ตัวว่าจะตายในอีกไม่ช้า เขากลับนึกรายการที่อยากทำก่อนลาโลกนี้ไปได้ไม่ถึง 10 อย่าง และพอนึกถึงสิ่งที่อยากทำพวกนั้นดูแล้วก็เหมือนจะไม่มีความหมายอย่างที่เคยคิด เมื่อทราบข่าวร้าย สิ่งที่เขานึกถึงกลับมีเพียงเรื่องที่เรียบง่าย อย่างยังมีหนังสืออีกกี่เล่มที่ยังไม่ได้อ่าน หนังอีกกี่เรื่องที่ยังไม่ได้ดู และบัตรสะสมแต้มร้านซักแห้งที่สะสมใกล้ครบแล้ว ง่าย ๆ อย่างนั้นเอง

    "ว่าแต่...สิ่งที่อยากทำก่อนตายนี่จริง ๆ แล้วมันก็ไม่ได้มีอะไรเท่าไหร่เลยนะครับ"
    "เหรอครับ?"
    "ต่อให้มีก็ไม่ถึงสิบอย่างแน่ ๆ หรือต่อให้ถึง ก็คงมีแต่เรื่องไม่เป็นเรื่อง
    ผมคิดว่านะ"
    (หน้า 28)

              พล็อตในหนังนั้นดัดแปลงไปจากตัวนิยายบางส่วน เช่น คนที่เก็บเจ้าผักกาดมาเลี้ยงในนิยายคือแม่ แต่ในหนังจะเป็นพระเอกตอนเด็กไปเจอมันถูกทิ้งอยู่ข้างทาง ซึ่งเอาจริง ๆ เราชอบบทแบบในตัวหนังมากกว่า โดยเฉพาะเรื่องราวระหว่างพระเอก กับเพื่อนที่ชื่อทสึทาย่า เราร้องไห้กับช่วงเวลานี้ของหนังพอ ๆ กับตอนที่เล่าเรื่องเจ้าผักกาดกับแม่เลยแหละ ในหนังสือนั้นอ่านแล้วก็ยังน้ำตาซึมนะ แต่ปมและน้ำหนักของความสัมพันธ์มันไม่กระแทกเข้าไตเท่าแบบในหนัง แต่ว่าบางประเด็นหนังสือก็อธิบายขยายความได้มากกว่าหนังนะ


              ไม่ว่าจะเป็นในหนัง หรือในนิยาย คนดู/คนอ่านจะได้ติดตามพระเอกและเจ้ากะหล่ำทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมาพร้อม ๆ กัน หลังจากที่สิ่งของแต่ละอย่างหายไปในแต่ละวัน เริ่มจาก โทรศัพท์, หนัง, นาฬิกา เรื่อยมาจนถึงข้อเสนอสุดท้าย นั่นก็คือ "แมว" พระเอกก็ได้คิดย้อนไปยังความทรงจำที่เกี่ยวพันกับสิ่งเหล่านั้น กับผู้คนรอบตัว และค่อย ๆ ตระหนักรู้ถึงคุณค่าและค้นพบความหมายของแต่ละสิ่งที่เคยมี

              "ถ้า โลกนี้ ไม่มี แมว" เป็นหนังสือดีอะ โคตรดี เราแนะนำให้อ่านเลยเรื่องนี้ อ่านแล้วลองตอบคำถามที่ผู้เขียนทิ้งไว้ในแต่ละหน้า แต่ละตอน ว่าเราหาคำตอบให้ตัวเองได้ไหม บางครั้งสิ่งที่หายไปก็ให้คำตอบของบางเรื่องกับเราได้ดีกว่าสิ่งที่ยังคงอยู่

              ว่าแต่ ถ้าฉันตายไป จะมีใครเสียใจ หรือร้องไห้ให้กับฉันบ้างหรือเปล่านะ...?

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in