2017.12.28
มาต่อกันอีกหนึ่งคาเฟ่ แต่ไม่ใช่ที่อารีย์นะ (เป็นทริปทัวร์อารีย์ที่แถมคาเฟ่ที่เพลินจิตมาหนึ่งร้านแหละ) จริงๆร้านนี้ก็มีที่อารีย์ แต่เราอยากมาที่เพลินจิตมากกว่า ร้านสวยกว่าอะ แหะๆ
พอทัวร์อารีย์เสร็จ เรากับเพื่อนก็จะนั่ง bts กลับมาเพลินจิต แต่ด้วยความที่เบลอจัด นั่งเม้าท์กันเพลินจนนั่งเลยสถานีมาไกลโคตรๆ เสียเวลาไปโดยใช่เหตุอีกแล้ว5555 นั่งเลยเพลินจิตแบบไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น เสียงประกาศก็ไม่ได้ยิน เรากับเพื่อนก็มองหน้ากันงงๆว่าทำไมไม่ได้ยินว่าสถานีเพลินจิตสักที สรุปนั่งผ่านมาแล้วจ้ะ ผ่านมาหลายสถานีแล้วด้วย อะไรจะเบลอได้ขนาดนี้หรอคนเรา orz
ในเมื่อเราเสียเวลาไปแล้ว เราก็เลยเสนอกับเพื่อนว่า งั้นหาร้านกินข้าวเที่ยงก่อนมั้ย (จริงๆก็ข้าวเช้าด้วย เพราะยังไม่ได้กินอะไรเลย) และแน่นอนว่าอีกสองคนก็ไม่ได้กินจ้า เลยสรุปได้ว่า โอเค หาร้านกินข้าวกันก่อน ด้วยความที่ใช้พลังงานมาเกือบครึ่งวันแล้ว เราก็นึกถึงแต่เนื้อย่างอะเนอะ ก็เลยชวนเพื่อนไปกินโคชิแรที่ทองหล่อ เป็นร้านประจำเราด้วย นึกอะไรไม่ออกก็นึกถึงร้านนี้ตลอดเลยอะ คือมันอร่อยที่สุดแล้วอะ สำหรับเรานะ แต่ถ้าใครมีร้านแนะนำอีกก็บอกกันได้ เผื่อเราได้ไปลองแล้วเราอาจจะเปลี่ยนใจขึ้นมา 5555 (ได้เหรอวะ)
นั่งกินเนื้อย่างอยู่ประมาณสองชั่วโมงได้ คืออัดกันแบบกะอิ่มท้องมื้อเดียวจบ แล้วก็เออ อิ่มจริง อิ่มจนแบบถ้าไปคาเฟ่ต่อคือจะสั่งแต่เมนูน้ำอะ เพราะกินต่อไม่ไหวแล้ว แน่นท้องมาก แต่ใครจะไปคิดว่าพอมาคาเฟ่นี้แล้วเพื่อนเราจะสั่งเมนูจานหลักมากินต่อ... ยอมใจมากเว่อร์ ตอนแรกนึกว่ามันสั่งผิด แต่มันบอกสั่งมาจริงๆ เห็นรูปในเมนูน่ากินเลยอยากลอง เออ เพื่อนคนจริงเว่อร์ แต่ที่สงสัยคือยังยัดได้อีกเหรอวะ ที่กินเนื้อย่างไปนี่ก็เกินเบอร์มากๆแล้วอะ แล้วนั่งกินกันแบบเงียบมาก ไม่สนใจสิ่งใดทั้งนั้น ขอย่างหมูย่างเนื้อกินก่อนงี้ กระเพราะจะแตกอยู่แล้ว ณ จุดๆนั้น ก็ยังคิดเล่นๆเหมือนกันว่านี่คือสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าผู้หญิงจริงๆหรอ ต้องกินดุอะไรเบอร์นี้กันอะ กลัวแล้วเด้อ (แต่ก็กินต่อค่ะ)
หลังจากอิ่มท้องกับมื้อกลางวันผสมมื้อเช้าไปแล้วนั้น เราก็เดินทางกลับมายังเพลินจิตค่ะ ทีนี้ไม่นั่งเลยแล้วด้วย นี่ตั้งใจฟังประกาศมากเว่อร์ คือพอได้ยินคำว่าสถานีเพลินจิตปุ้บ เรากับเพื่อนก็กระเด้งตูดทันที ไม่มีคำว่าพลาดอีกเป็นครั้งที่สองอะบอกเลย5555 พอลงจากสถานีมาก็จะงงๆทางนิดหน่อย คือด้วยความที่หลงอารีย์มาแล้วครั้งนึงอะ มันก็เลยมีความกังวลปนกลัวนิดๆว่าจะพาเพื่อนเดินผิดอีกไง เออ แล้วก็ผิดอีกแล้วแหละ5555555 เอาตรงๆนะ เราเป็นคนที่แบบ ถ้าโดนเพื่อนไซโคให้ทำอะไรสักอย่างนึงอะ เราก็เต็มใจที่จะทำแหละ ถึงแม้ผลมันจะออกมาทุลักทุเลก็ตาม อย่างเช่น เรื่องการนำทางแบบนี้ เป็นต้น... ดูในรีวิวบอกว่าร้านหาง่ายมาก เดินลงมาจากสถานีก็เจอเลย ซึ่งเราแบบ ไหนอะ ร้านอยู่ไหน ทำไมนี่ไม่เห็นเจอแบบคนอื่นเลยวะ หรือลงผิดฝั่ง หรือมาคนละสาขา บลาๆๆ ยิ่งพอใช้ map ยิ่งเพิ่มความสับสนในชีวิตเข้าไปใหญ่เลยอะ คือเชื่อถือไม่ได้มากเว่อร์ เพราะมันพาเราหลงหนักเว่อร์! จนแบบ ไม่ไหวละ ต้องการความช่วยเหลือ เพราะถ้าขืนยังเดินแบบไม่รู้ทิศรู้ทางแบบนี้ก็คงไปไม่ถึงร้านอะจริงๆ เป็นอะไรที่เหนื่อยมาก เหนื่อยกับการตามหาร้านเนี่ย ฮ่อย
และในที่สุด เราก็เจอร้านแล้ว!
ด้วยความช่วยเหลือจาก special guest ของเราเอง (น้ำตาจะไหล)
พอเห็นหน้าค่าตาของร้านที่เราตามหาแล้วน้ำตามันก็จะไหลจริงๆนะ ความรู้สึกเหมือนแบบ เออ ร้านนี้แหละที่ตามหา ร้านที่เหมือนในรีวิวที่เราดู ร้านที่คนแนะนำว่าต้องมา เออมันใช่ ร้านนี้นี่แหละ ร้าน Bar Storia ที่เพลินจิตนี่แหละ โฮ TvT แอบคิดในใจอีกแล้วว่าทำไมเราต้องมีความรู้สึกลำบากก่อนจะสบายแบบนี้ด้วยนะ ไอความรู้สึกที่แบบเมื่อไหร่จะเจอ เมื่อไหร่จะถึง แล้วพอเจอปุ้บ เออ ก็ไม่ได้หายากนี่หว่า (แต่ความเป็นจริงนั้น...)
หน้าร้านคือโดดเด่นด้วยสีเขียวน้ำทะเลมาก เห็นละตื่นเต้น นี่ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องตื่นเต้น แล้วพอเข้าไปในร้านก็มีอีกความรู้สึกนึง เริ่มสงสัยตัวเองละว่าเป็นคนมีความรู้สึกแปลกๆเหมือนที่เพื่อนบอกจริงมั้ยนะ... แต่เราประทับใจบาร์ของร้านมากเลยอะ ตกแต่งสวยดี มองแล้วเหมือนอยู่ในร้านอาหารต่างประเทศ บรรยากาศก็ดีนะถ้าคนไม่เยอะมาก แต่ตอนที่เราไปนี่คนกำลังเต็มร้านเลยแหละ เราได้โต๊ะติดกับเคาท์เตอร์ เวลาสั่งก็จะง่ายหน่อย เพราะหันไปก็เจอพี่พนักงานเลย พอมาถึงช่วงดูเมนูนี่แหละ เราจำได้ทุกโมเมนท์5555 คือนั่งดูเมนูกันนานมาก นานแบบนานจริงๆ ไม่ใช่เพราะไม่รู้จะสั่งอะไรนะ แต่คือกำลังสำรวจเมนูด้วยความตั้งใจกันอยู่ ประทับใจเมนูของร้านมาก คือร้านทำเมนูแบบ tabloid (แท็บลอยด์) ตอนแรกเราก็เรียกไม่ถูกหรอก แต่เพื่อนเราเรียนเกี่ยวกับอะไรพวกนี้อยู่พอดี มันก็อธิบายให้ฟัง เราถึงจะอ๋อ ชอบมากเลยอะ ดูเพลินมาก รูปอาหารก็เป็นแบบภาพวาดสีน้ำ คือทุกอย่างในเมนูดีหมดเลย เหมือนหนังสือที่หน้าปกสวย เนื้อหาข้างในก็น่าอ่าน อะไรทำนองนั้น
นอกจากมีความประทับใจแล้ว ยังมีความตกตะลึงอีกด้วย,
เหตุเกิดจากเมื่อเรียกพี่พนักงานเก็บเงินนี่แหละ
สารภาพว่าราคาเมนูต่างๆแอบแพง บางเมนูก็คุ้มค่า บางเมนูเราว่าก็ยังเฉยๆ แต่พอมาเช็คราคาทั้งหมดแล้วเราก็ตกใจมาก ทำไมถึงเลยเถิดไปพันกว่าขนาดนี้... พออ่านดูดีๆ ทางร้านมีค่า service charge กับ VAT ด้วย ทำเราปาดเหงื่อเลยอะ5555 เอาตรงๆก็ชินกับค่าส่วนต่างอะไรพวกนี้แหละ แต่ไม่เคยโดนเยอะขนาดนี้อะ ก็เลยตกใจนิดหน่อย แต่ก็เข้าใจแหละ คาเฟ่ที่เป็นทั้งร้านอาหาร ขนมหวาน เครื่องดื่มต่างๆ มันก็เป็นปกติที่จะมีเรียกเก็บเพิ่มแหละเนอะ ไว้คราวหน้าถ้ามาอีก เราจะทำการบ้านมาให้แน่นกว่านี้ จะสั่งแบบเพลาๆ แล้วก็ไม่สั่งเยอะมากแล้ว555555 (จะทำได้มั้ยก็อีกเรื่อง) :p
ก็คงมีเท่านี้สำหรับการรีวิว Bar Storia del Caffè เพลินจิต
ไม่รู้ว่าจะเรียกรีวิวได้มั้ย เพราะก็บ่นๆไปตามสไตล์เหมือนเดิม (ขอโทษจริงๆนะ orz)
ไว้เจอกันใหม่ครั้งหน้าล่ะ :-)
*
Bar Storia del Caffè (Ploenchit)
888/63 ถนนเพลินจิต แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330
เปิดทุกวัน เวลา 07.00-00.00 น.
เมนูที่เราสั่ง
Fettuccine Seafood Arrabbiata (300 บาท)
Pacan Hazelnut Caramel Date Pudding with Vanilla Ice Cream (350 บาท)
Peach Italian Soda (100 บาท)
Vanilla Milk Shake (220 บาท)
*
สาขาอื่นๆ
Bar Storia del Caffé (Eight Thonglor)
G Floor, Eight, 55 ถนนสุขุมวิท แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร 10110
เปิดทุกวัน เวลา 08.30-22.30 น.
Bar Storia del Caffè (The Salil Hotel)
24 Soi Sukhumvit 57, แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร 10110
เปิดทุกวัน เวลา 06.00-23.00 น.
Bar Storia del Caffè (Ari 4 Nua)
ซอยพหลโยธิน 7 - ซอย อารีย์ 4 ฝั่งเหนือ แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร 10400
อา-พฤ เปิด 09.00-23.00 น. / ศ-ส เปิด 09.00-00.00 น.
:-)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in