ในอดีต ความตายถูกออบโล้มด้วยปกรนัมเทพเจ้า สังคมต่างๆ ในยุคนั้นมีความเชื่อว่าวิญญาณของผู้ตายจะยังคงมีชีวิตอยู่ต่อไปหลังตายไปแล้ว ในสังคมกรีก เพลโต (trans. 1976) ได้สะท้อนความเชื่อนี้ผ่านแนวคิดเกี่ยวกับหนทางไปสู่ความรู้อันบริสุทธิ์สูงสุด แนวคิดนี้เชื่อว่าการได้ความรู้อันบริสุทธิ์สูงสุดสามารถกระทำได้เฉพาะตอนที่ความตายได้แยกดวงวิญญาณออกจากร่างไปแล้วเท่านั้น ความเชื่อเช่นนี้จึงสร้างภาพความตายว่าเป็นภาวะที่จิตวิญญาณได้แยกออกจากกาย ผมขอกล่าวเช่นนี้ว่า ผู้คนในสมัยนั้นไม่ได้มองความตายเป็นเรื่องที่น่าหวาดกลัวหรือไม่น่าอภิรมณ์แต่อย่างใด ในเชิงสังคมเอง หลายๆ อารยธรรมมีพิธีกรรมจัดเตรียมศพให้พร้อมสำหรับชีวิตหลัังความตาย ผู้อ่านน่าจะเคยได้ยินเรื่องการทำมัมมี่มาบ้างไม่มากก็น้อย สิ่งที่ผมอยากชวนให้ลองคิดคือ พิธีกรรมการทำมัมมี่เองก็จัดว่าเป็นพิธีการที่ได้รับอิทธิพลจากแนวคิดหลังความตายเหมือนกัน สิ่งที่น่าสนใจคือ เมื่อเชื่อว่าวิญญาณของผู้ตาย "แค่" ออกจากร่างไป การทำพิธีศพจึงไม่ใช่การเผา อารยธรรมต่างๆ ในยุคนี้ล้วนใช้การฝังโดยบรรจุในหีบหรือโลง นอกจากนี้ในบางอารยธรรมเช่น อารยธรรมจีน มีการสร้างวัตถุ อาทิ เครื่องใช้ไม้สอยไว้รอบๆ ตำแหน่งที่ขุดหลุมฝังศพโดยเชื่อว่าผู้ตายจะได้ใช้ของเหล่านี้ในภพภูมิหลังความตาย
การตายดีในสมัยนี้จึงหมายถึงการที่ศพได้รับการปรนนิบัติอย่างถูกต้องเหมาะสมเพื่อใช้ชีวิตในภพภูมิหลังความตายอย่างราบรื่น การปรนนิบััตินี้ โดยปกติเป็นเรื่องส่วนตัวที่ทำกันภายในครอบครัวและคนสนิทเท่านั้น ผมอยากชวนให้ผู้อ่านคิดตามว่าอันที่จริงแล้วเรื่องของความตาย การตาย และการปฏิบัติเพื่อนำไปสู่การตายที่ดีเป็นเรื่องในพื้นที่ส่วนตัวมาโดยตลอด ภาพการรับแขก หรือป่าวประกาศพิธีฌาปณกิจศพแบบทุกวันนี้เพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่นานเมื่อเทียบกับขนบเช่นนี้
ในส่วนถัดไปผมจะนำผู้อ่านไปสู่แนวคิดเกี่ยวกับความตายในสังคมก่อนสมัยใหม่ โดยเฉพาะในวัฒนธรรมตะวันตกที่แนวคิดเกี่ยวกับความตายมีการเปลี่ยนแปลงกลับไปกลับมาอย่างมากในช่วงนี้
จากอดีตที่ถูกโอบล้อมด้วยศาสนาและความศักดิ์สิทธิ์ ความตายในยุคปัจจุบันกลับอยู่ในกำมือของวิทยาศาสตร์อย่างหมดสิ้น การแพทย์สมัยใหม่เข้ามาแทรกแทรงความตายตั้งแต่ความตายยังเป็นแค่เค้าลางของผู้ป่วย การแพทย์สมัยใหม่พยายามเลี้ยงความตายให้ช้าลงด้วยความพยายามในการยื้อชีวิตของผู้ป่วยโดยการใช้นวัตกรรมทางการแพทย์ต่างๆ การปฏิบัติเช่นนี้กลายเป็นมาตรฐานใหม่ของการตายที่ดีซึ่งถูกมองว่าเป็นการตายที่ได้ต่อสู้อย่างที่สุดแล้วกับยมทูต
ความตายในยุคที่การแพทย์สามารถทำนายและประเมินระยะเวลาที่คนหนึ่งคนจะมีชีวิตรอดอยู่ได้ก่อนร่างกายจะหมดสภาพลงเป็นความตายที่น่ากลัวที่สุดเท่าที่ประวัติศาสตร์เชิงวัฒนธรรมของมนุษย์มีมา ในยุคนี้ผู้คนต่างหวาดกลัวความตาย ความตายไม่ใช่เรื่องที่น่าอภิรมณ์นักถึงขั้นที่ผู้ป่วยใกล้ตายถูกผลักไสไล่ส่งจากคนในครอบครัวให้ไปอยู่ที่โรงพยาบาล โดยตรรกกะที่ว่าที่โรงพยาบาลมีอุปกรณ์รวมถึงบริการต่างๆ ที่พน้อมจะอำนวยความสะดวกให้กับผู้ป่วยมากกว่าที่บ้าน โรงพยาบาลนอกจากเป็นที่รักษาคนป่วยแล้วยังเป็นที่เก็บซ่อนความตายอันน่ารังเกียจในความคิดของคนที่ยังมีชีวิตอยู่ด้วย
เมื่อบุคคลเสียชีวิตที่โรงพยาบาล กระบวนการทางวิทยาศาสตร์กก็เริ่มแทรกแทรงการตายทันที หากไม่ใช่การตายด้วยการชราภาพ ร่างไร้วิญญาณของผู้ตายมักจะถูกชันสูตรอีกครั้งด้วยกระบวนการทางนิติวิทยาศาสตร์เพื่อระบุสาเหตุการตายที่แน่ชัด ในประเด็นนี้ผมชวนผู้อ่านมองอย่างนี้ว่า นี่เป็นยุคแรกๆ ที่ศพของผู้เสียชีวิตถูกปรนนิบัติเสมือนวัตถุชิ้นหนึ่ง ศพไม่ได้ถูกมองว่ามีความเป็นมนุษย์เท่ากับคนปกติ ความรู้วิทยาศาสตร์ลดคุณค่าความเป็นมนุษย์ของร่างไร้วิญญาณลงด้วยการใช้วิธีการต่าง ๆ ทั้งในเชิงความรู้และการใช้คำอ้างถึงที่ไม่สะท้อนความเป็นมนุษย์ เช่น ในตำราพยาบาลจะเรียกศพว่า body มากกว่าการใช้คำว่า descreased ที่แปลว่าผู้ตายหรือผู้เสียชีวิต เป็นต้น
ภาพที่น่าหดหู่ของความตายในกำมือของการแพทย์น่าจะเป็นภาพที่โหดร้ายระดับหนึ่ง เนื่องจากในทุกวันนี้การเคลื่อนไหวทางสังคมที่รณรงค์ให้การตายจบลงที่บ้าน รวมถึงการร่างกฎหมายให้สิทธิในการตัดสินใจที่จะจบชีวิตเป็นของผู้ป่วยทั้งหมดเริ่มมีให้เห็นมากขึ้น งานวิจัยทางสังคมต่างๆ ในปัจจุบันพยายามหาหนทางที่จะเพิ่มศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ให้กับผู้ที่อยู่ในบั้นปลายของชีวิต การแพทย์เองก็มีการปรับตัวเหมือนกัน แนวคิดการรักษาแบบประคับประคอง (palliative care) ได้รับการพูดถึงมากขึ้นและมีการนำไปปฏิบัติในผู้ป่วยที่ไม่สามารถรักษาได้หายขาดอย่างแพร่หลาย แรงขับเคลื่อนเหล่านี้เป็นตัวสะท้อนให้ผมรู้สึกว่า สังคมในปัจจุบันพยายามกลับไปวาดภาพการตายที่ดีใหม่อีกครั้ง การตายที่ได้กลับไปอยู่ในที่ที่คุ้นเคยท่ามกลางคนที่รัก
บทความนี้เป็นบทความที่ผมตั้งใจเขียนเพื่อเสนอภาพความตายที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาในสังคม ทว่ากลับไม่ได้กล่าวถึงสังคมไทยเลย อันที่จริงผมจงใจไม่กล่าวถึงเพื่อที่จะเชิญชวนผู้อ่านที่อ่านมาถึงตรงนี้ลองขบคิดจากไอเดียต่างๆ ที่ผมได้กล่าวไปดูว่าสังคมไทยเองมีภาพนี้หรือไม่? การตายดีของสังคมไทยเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหนในศตวรรษที่ผ่านมา? ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าผู้อ่านจะมีคำตอบในใจกันบ้างไม่มากก็น้อย ถ้ามีไอเดียอยากเล่าหรือนำเสมอพื้นที่คอมเมนต์ข้างล่างนี้ยินดีเปิดรับความคิดเห็นของทุกคนนะครับ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in