เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Developเก้อvvkhxng
ทลายทุกความแบนต่อจากนี้ด้วย Flat 2.0
  • งานดีไซน์บนโลกนี้ถ้านับรวมๆ แบบหลายแขนงก็จะมีรูปแบบแตกต่างกันไป แต่ถ้าโฟกัสในงานออกแบบบนคอมพิวเตอร์โดยเฉพาะส่วน UI ไม่ว่าจะเป็นแอพพลิเคชั่นหรือเว็บไซต์ที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ ต้องบอกว่ามันถูกเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ถ้าย้อนกลับไปตั้งแต่ยุคที่ iPhone เฟื่องฟู งานออกแบบจะเน้นไปในแนวทางที่เราเรียกว่า Skeuomorphism (ไม่รู้ว่าอ่านยังไงเหมือนกัน แต่น่าจะอ่านว่า "สกึมมอร์ฟิซึ่ม" มั้งนะ) โดยการออกแบบนี้จะเน้นให้องค์ประกอบของวัตถุต่างๆ มีความเสมือนจริงมากขึ้น หรือมีความนูนๆ เงาๆ แบบ 3D ให้รู้สึกเหมือนกับมองเห็นวัตถุชิ้นนั้นแล้วไม่ขัดใจ เพราะผู้ใช้จะชินกับหน้าตาของมันอยู่แล้ว เช่นแอพเครื่องคิดเลขหรือแอพเข็มทิศของ iOS สมัยก่อน ตามภาพด้านล่าง หรือถ้าเป็นฝั่ง Windows ที่แต่ก่อนมีการออกแบบด้วย Aero ก็จะเห็นว่าพวก UI ต่างๆ ของโปรแกรมจะมีความเงาๆ วิ๊บๆ เมื่อใช้งาน นั่นคืองานออกแบบ UI สมัยก่อน

    ทีนี้มาในยุคต่อมา งานออกแบบ UI ก็เริ่มเปลี่ยนไป โดย Apple เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงนี้มาใช้งานก่อน แก้ไขหน่อย : ปี 2006 Microsoft ปล่อย Zune MP3 player ออกมา โดย UI ข้างในเริ่มมีการออกแบบที่เราเรียกกันว่า Flat Design UI มีความสะอาดและง่ายต่อการใช้งาน ทำให้ Microsoft ใช้ดีไซน์แนวนี้เป็นต้นมาจนถึง OS ของ Windows Phone 7 ด้วย และต่อมามีการปล่อย Windows ตัวใหม่ชื่อ Windows 8 ที่มีดีไซน์ในชื่อ Metro (จริงๆ แล้วก็คือการออกแบบ UI ให้ Flat นั่นแหละ) จน Microsoft ก็นำมาใช้จนถึงทุกวันนี้ และในปี 2013 เอง Apple ก็เลยเปลี่ยนจาก UI แบบเดิมเป็น Flat บ้างใน iOS 7 เป็นต้นมา โดยงานออกแบบแบบนี้จะเน้นอยู่ 3 เรื่องคือความเรียบง่าย สะอาดตา, ไม่มีเรื่องเงาหรือความนูนเป็น 3D อยู่ในองค์ประกอบและความคมชัด เน้นการใช้สีสันที่สดใส ปัญหาเกิดขึ้นทันทีเมื่อ Apple จะเริ่มเปลี่ยนมาใช้งานดีไซน์แบบนี้เพราะผู้ใช้เริ่มรู้สึกว่าไม่ชินกับการใช้งาน ตอนนั้นทำให้ Windows ที่ออก Windows Phone และ Windows 8 ออกมาเริ่มนำมาใช้งานบ้าง โดยมีหน้าตาแบบกรอบๆ เรียงกันที่เรียกว่า Tile ตอนนั้นก็ทำให้ Windows Phone เป็นที่จดจำหน้าตาเหมือนกัน เพราะว่าเอางาน Flat มาใช้ได้ดีกว่า Apple ซะงั้น แต่ไหนๆ Apple ก็นำเทรนด์เรื่องนี้มาตั้งแต่แรก ก็ทำให้คนทั่วโลกหันมาสนใจงาน Flat มาขึี้น โดยเฉพาะดีไซน์เนอร์จะทำงานได้สะดวกมากๆ เพราะไม่ต้องออกแบบให้มันมีความตื้นลึกเท่าไหร่ เพียงแค่ใช้เส้นและเลือกสีให้เหมาะสมก็พอแล้ว


    ในเมื่อ Flat มันมีผลดีกับดีไซน์เนอร์ แต่มันดันมีผลเสียในด้าน UX เหมือนกัน เช่น เราออกแบบเว็บไซต์นึงที่เน้นความ Flat ไปหมดทั้งเว็บ ไม่ว่าจะเป็นปุ่มหรือรูปภาพต่างๆ ที่อยู่บนเว็บ ปรากฎว่าทำให้ผู้ใช้ไม่รู้ว่าปุ่มอยู่ตรงไหน เพราะแต่ก่อนการดีไซน์ปุ่ม เราสามารถใส่สีแบบ gradients, ใส่ textures หรือใส่เงาจางๆ ไว้ที่ปุ่มด้านหลังก็ได้ ทำให้ไม่ต้องเอาเม้าส์ไป hover บนปุ่มก็จะรู้ว่านี่คือปุ่มนะ แต่พอทุกอย่างเป็น Flat ไปหมด มันทำให้แยกภาพกับปุ่มไม่ออก ดังเช่นการออกแบบของเว็บนี้


    หรือจะเป็นเรื่องความไม่มีมิติของวัตถุ โดยปกติมิติจะมี x, y แล้วก็ z แต่พอเป็นงานแบบ Flat มันไม่มีความ 3D ทำให้มิติ z มันหายไป จริงๆ พูดง่ายๆ ว่า ผู้ใช้จะต้องใช้เวลาพอสมควรในการหาว่าองค์ประกอบทั้งหมดว่ามีความสัมพันธ์อย่างไร และ Flat ทำให้ความเข้าใจของผู้ใช้มีระยะเวลามากขึ้น เพราะจริงๆ กฎของ UX จะบอกว่า เมื่อผู้ใช้เข้ามาใช้งานเว็บหรือแอพของเรา จะต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจต่อการใช้งานให้น้อยที่สุด นั่นเอง

    และที่สำคัญ Flat Design มีผลกระทบในทางลบต่อ UX พอสมควร ยกตัวอย่างง่ายๆ ก็เช่น Windows Store ใน Windows 8 ที่แต่ก่อนทำให้ผู้ใช้ไม่ค่อยเข้าใจในการใช้งานเท่าไหร่ หรือจะเป็นบางเว็บไซต์ที่เน้นให้เว็บสะอาดสะอ้านแต่ว่าไม่คำนึงถึงเรื่องของผู้ใช้เลย ทำให้มีปัญหาของ UX พอสมควร 
  • เกริ่นมาซะย๊าวยาว เข้าเรื่อง Flat 2.0 ซะที คือ Flat 2.0 เนี่ย มันเป็นสิ่งที่มาตั้งแต่ปี 2014 โดยมีนักออกแบบนามว่า Ryan Allen เค้าได้นิยามไว้ว่า

    Flat 2.0 is an evolution, not a revolution.

    แปลเป็นภาษาไทยว่า Flat 2.0 เป็นการวิวัฒนาการ ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงใหม่ คือคุณ Allen เค้ามองว่างาน Flat เวอร์ชันเก่ามันทำให้มีผลกระทบกับ UX เอามากๆ เค้าเลยนิยามมันขึ้นมา โดยทลายความคิดเก่าๆ ของ Flat ออกไปหมดสิ้น ไม่ว่าจะเป็น
    • ใส่ Highlight ลงไปได้แล้ว
    • อยากเล่นสีแบบ Gradient หรอ ทำเลย!
    • ใช้สีอ่อนมาเล่นกับสีแรงๆ ก็จัดไป
    • อยากได้เงาลงปุ่ม เอาเล้ย
    • และไม่จำเป็นต้องใช้สีสดๆ ในการออกแบบอีกแล้ว เย้


    ยกตัวอย่างดังภาพบนนี้ จะเห็นว่าภาพซ้ายนั้นเป็น Flat แบบที่เรียบแป้ ไม่มีอะไรเลย แต่ถ้ามองฝั่งขวาที่เป็น Flat 2.0 จะเห็นว่ามีการใส่เงาลงไป รวมถึงมีความตื้นลึกขององค์ประกอบออกมา ทำให้มีความน่าสนใจเอามากๆ

    จริงๆ แล้วงาน Flat 2.0 มันก็เริ่มได้รับความนิยมมานานแล้ว แต่พอ Google ออกสิ่งที่เรียกว่า Material Design ออกมาในปี 2014 ทำให้มีคนสนใจงาน Flat 2.0 มากขึ้น เพราะ Material Design ทลายทุกข้อจำกัดของ Flat ออกไปหมดเลยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการใช้เงาในงานออกแบบ, มิติ z ของวัตถุที่สวยงามมากขึ้น การใช้องค์ประกอบที่ทำให้เข้ากับงานของเราและความเสมือนจริงทางด้านการเคลื่อนไหวไม่ว่าจะเป็นการคลิ๊กปุ่มหรือทำการตอบสนองเมื่อผู้ใช้กระทำต่อวัตถุนั้นๆ เพราะจริงๆ Material Design มันเป็นทฤษฎีอย่างหนึ่งที่ Google สร้างมันออกมาด้วยนิยามของวัตถุบนกระดาษ ทำให้เรารู้สึกว่ามันมีความเสมือนจริงมากขึ้นนั่นเอง 


    สรุปแล้ว Flat 2.0 ไม่มีอะไรใหม่ แต่มันคือการต่อยอดจากของเดิมที่มีปัญหาให้ได้รับการแก้ไขแล้ว ทำให้ปัญหาที่เกิดกับฝั่ง UX แก้ไขได้ซะที รวมถึงมีความยืดหยุ่นในการออกแบบด้วยงาน Flat มากขึ้น มีความสวยงามและใช้งานได้จริง แต่อนาคตของ Flat ก็ยังคงน่าจะดำเนินต่อไปตามแนวคิดและวิวัฒนาการของตัวมันเอง ในอนาคตเองก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะมีการออกแบบสมัยใหม่แบบไหนออกมา แต่เชื่อเถอะว่า Flat 2.0 มันน่าจะไม่ไปก่อนวัยอันควรหรอก ;)

    <!---------

    ข้อมูลจาก design shackdappergentlemenhongkiat

    ---------->

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in