Nikko เป็นเมืองมรดกโลกที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจาก UNESCO เมืองนี้ตั้งอยู่ห่างจากโตเกียวไม่มากนัก ในตอนแรกเราลังเลว่าจะไปเป็น day trip เช้าเย็นกลับ หรือค้างคืนดี พอลองถามเพื่อนที่เคยไปและหาจากข้อมูลในเน็ต เลยตัดสินใจว่าจะไปเที่ยว 2 วัน 1 คืน
จองที่พักก่อนวันจริงแค่สี่วันเท่านั้น โชคดีที่ยังไม่เต็ม วันพฤหัสของสัปดาห์นั้น เราไปที่อิเคะบุคุโระเพื่อจะซื้อตั๋ว Nikko Pass World Heritage Area ของ Tobu ในราคา 2000 เยน ซึ่งราคานี้ครอบคลุมค่ารถไฟจาก Asakusa ไป Nikko และค่ารถบัสไม่จำกัดเที่ยวภายในบริเวณที่กำหนดไว้ สามารถใช้ได้ 2 วัน ที่คิดไว้คือจะนั่งรถไฟ Local ไป แต่พอคุยกับพนักงาน เค้าบอกว่ามันจะใช้เวลาถึง 3-4 ชั่วโมง และ transfer หลายรอบกว่าจะถึง เลยยอมจ่ายเพิ่มเพื่อนั่งรถไฟ Limited Express ทั้งขาไปและขากลับ กลายเป็นว่าหมดไป 5000 เยนได้แล้วกับค่าเดินทางอย่างเดียว พนักงานตรง Tourist Information Center ให้ข้อมูลดีมาก เราเข้าไปคุยกับเขาเป็นภาษาญี่ปุ่นเพราะอยากฝึก ไหนๆก็อยู่ญี่ปุ่นทั้งที ถ้ามีโอกาสได้ลองใช้ก็รีบใช้ดีกว่า แต่บางจุดที่สื่อสารกันงงๆ เค้าก็จะอธิบายเราเป็นภาษาอังกฤษได้
May 18
ตื่น6.30 เพราะต้องนั่งรถไฟไปสถานี Asakusa เพื่อขึ้นรถไฟ Limited Express ไป Nikko ใช้เวลา 2 ชั่วโมงในการเดินทาง ในรถที่นั่งดีมาก คุ้มค่ากับเงินที่เสียไปจริงๆ มีโต๊ะให้วางของ มีหน้าต่างบานใหญ่ให้ชมวิวระหว่างนั่ง มีพนักงานเข็นรถขายขนมกับเครื่องดื่ม ถ้าจิบกาแฟแล้วชมวิวนี่ได้ฟีลสุดๆ เราก็นั่งถ่ายรูปไปเรื่อย ดูแผนที่ประกอบไป ยอมรับว่ารอบนี้ไม่ได้หาข้อมูลมาดีเท่าไหร่ เรื่องที่เที่ยวก็ยังงงๆสับสนอยู่
มาถึงที่สถานี Tobu Nikko ตอนสิบโมงกว่าๆ บรรยากาศที่นี่แตกต่างกับโตเกียวมากๆ มีความชนบท ใกล้ชิดธรรมชาติ ร้านสะดวกซื้อใกล้ๆไม่มี ต้องเดินไป4-5นาทีกว่าจะถึง แถมมีแค่ Family Mart ที่เดียวด้วย ก่อนอื่นเราก็นั่งบัสไปแถวที่มีวัดเยอะๆ แล้วก็เดิน มีทางนึงเราเดินขึ้นเขาไปประมาณ20นาที เพราะเช็คจากใน google maps มันมีวัดข้างบนที่มีคนรีวิวเยอะอยู่ ระหว่างทางเราไม่เจอใครเลยตอนขึ้น บรรยากาศวังเวงมาก มีแต่ต้นไม้รายล้อม พอขึ้นไปถึงปุ๊บ ปรากฏว่าวัดปิดปรับปรุง... เสียเที่ยวมากเลย
หลังจากนั้นก็นั่งบัสไป Nikko Toshogu Shrine ที่เป็นศาลเจ้าชื่อดัง เสียค่าเข้า 1300 เยน แอบคิดว่าแพง แต่ที่นี่ดังจริงเลยยอมจ่ายไป เราเดินดูข้างในไปซักพัก รู้สึกมันก็สวยนะ แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นว้าวเบอร์นั้น หรืออาจจะคาดหวังมากไปไม่รู้
พอใกล้เวลาเช็คอินที่พักเราก็นั่งบัสกลับมาแถวสถานีแล้วเดินมา ที่พักเป็น guesthouse เล็กๆ ใน1ห้องนอน 4 คนหญิงล้วน มีเตียง bunk bed 2 เตียง เราไม่มีปัญหากับการนอนรวมกับคนไม่รู้จัก เน้นประหยัดเงินมากกว่า 5555555 จะว่าไป สองคืนแรกที่มาถึงญี่ปุ่น เรายังเข้าพักที่แชร์เฮาส์ไม่ได้ เราเลยต้องหาโรงแรมนอนเอง2คืน เราเลือกนอนโฮสเตลที่ฟีลคล้ายๆแคปซูล เป็นช่องเรียงกันเป็นตับๆสองชั้นแล้วมีม่านกั้นไว้ เจอคนนอนกรน2คืนเลย คืนที่สองคือกว่าจะได้หลับก็ตีสี่เพราะเสียงกรนดังมากก ถ้าใครเป็นคนนอนยากไม่แนะนำให้นอนแบบนี้ เพราะอาจจะโชคร้ายเจอคนนอนกรนแบบเราก็ได้
ตอนที่เช็คอิน ผู้ชายตรงเคาน์เตอร์ที่น่าจะเป็นเจ้าของหน้าตาดีมากกก พอกรอกข้อมูลเช็คอินเสร็จ เค้าก็พาไปแนะนำคร่าวๆ แล้วก็บอกอีกด้วยว่าถ้ามีปัญหาตรงไหนให้เคาะประตูเรียกได้เลย เค้านอนอยู่ห้องนี้ หรือถ้าอยากให้แนะนำที่เที่ยวใน Nikko ก็ถามได้เสมอ หล่อแล้วยังใจดีอีก คนเรา พอเอาของไปวางเสร็จก็ออกมาเที่ยวต่อ รอบนี้นั่งไปที่สะพาน Shinkyo Bridge ตรงนี้สวยมากๆ เรารัวชัตเตอร์ไม่หยุดเลย เป็นวิวธรรมชาติที่สวยที่สุดที่เคยเห็นตลอด18ปีที่เกิดมา
วันนี้ตั้งใจมากๆที่จะมาแช่ออนเซ็นครั้งแรกในชีวิต ทำใจมาตั้งแต่แรกแล้วว่าจะไม่เขินอาย แต่ดันประจำเดือนมาพอดีเลยอดแช่ไป เซ็งมาก Nikko ดังเรื่องออนเซนด้วย มีเมืองออนเซนหลายที่เลย ตั้งใจจะไปตอนกลางคืนของวันแรกด้วย แต่พอเป็นอย่างนี้ก็ไม่มีแพลนแล้ว เพราะเมืองนี้ตอนกลางคืนไม่มีอะไรให้ดูให้เที่ยวเลย เราเดินเล่นแถวที่พักแถวสถานีประมาณครึ่งชั่วโมง เสียบหูฟังเดินตามทางไปเรื่อยๆ แทบไม่เจอผู้คนเลย มีรถแล่นผ่านแค่บางที เราเดินมาจนเจอแมว 5 ตัว ไม่รู้ว่ามีใครเป็นเจ้าของมั้ย เล่นกับมันไปซักพักนึงก็ถอดใจ หยิ่งกันเหลือเกิน ไม่ยอมให้เข้าใกล้เท่าไหร่เลยก่อนจะเข้านอน พี่คนจีนก็เดินมาให้พาสไปทะเลสาบ Chuzenji (เพราะว่าเราซื้อพาสที่มันไม่ครอบคลุมเส้นทางบัสไปทะเลสาบอันนี้มา ตั้งใจจะมาซื้อพาสเพิ่มทีหลัง) พาสนี้ใช้ได้ 2วัน ซึ่งเค้าใช้ไปแล้ววันนึง เราก็เอาไปใช้สำหรับพรุ่งนี้ต่อได้ เรารู้สึก thankful มากๆ ได้เจอคนใจดี ได้ประหยัดเงินไปโดยไม่คาดคิด ที่จริงตอนเย็นเราไปที่ Tourist Info Center ในสถานี Tobu Nikko มาแล้ว ตั้งใจจะซื้อพาสไปทะเลสาบอันนี้นี่แหละเพราะไม่อยากเสียเวลาแวะมาซื้อตอนเช้าวันพรุ่งนี้ แต่โชคดีที่เค้าปิดทำการพอดีเราเลยไม่ได้ซื้อ
แล้วคืนนี้ก็ได้ยินเสียงกรนอีกแล้ว หนีไม่พ้นจริงๆอ่ะ นอนรวมกับคนอื่นกี่ครั้งก็เจอคนนอนกรนตลอด แต่รอบนี้ก็ยังพอหลับได้อยู่
May 19
ตื่น 7 โมง รีบแต่งตัว เช็คเอาท์ออก หนึบใจแปลกๆตอนบอกซาโยนาระกับคุณยายและพี่คนจีน เขาใจดีกับเรามากๆเลย น่าเสียดายที่จะเป็นครั้งเดียวและครั้งสุดท้ายที่ได้เจอกัน บัสไปทะเลสาบมีรอบตอน 7.57 มันใช้เวลา 45 นาทีกว่าจะไปถึง เราวิ่งมาทันขึ้นรถพอดี เกือบต้องรอบัสอีกรอบไปอีกชั่วโมงนึงแล้ว ระหว่างทาง ถึงเราจะแอบง่วงแต่ก็พยายามไม่หลับ ดูวิวไปเรื่อยๆ เส้นทางรถบัสจะผ่านทางโค้งท่ี่เรียกว่า Irohazaka Slope มีทั้งหมด 48 โค้ง ตามจำนวนตัวอักษรฮิรางานะของญี่ปุ่น
ลงจากรถมาก็สัมผัสได้ถึงความหนาวทันที หนาวจนปากสั่นเลย อาจเป็นเพราะมันเป็นตอนเช้าอยู่ด้วยแหละ เราก็เดินไปเรื่อยๆ หลงทางอยู่แป๊ปนึง จนเจอ Kegon Falls รูปข้างล่างถ่ายจากจุด observatory ฟรี เห็นสายรุ้งด้วย สวยมากๆกินข้าวเที่ยง มีร้านอาหารประมาณ5-6ร้านให้เลือก เราเข้าไปคาเฟ่ที่ทั้งร้านมีแค่เราคนเดียว กินพิซซ่าอย่างเหงาๆ พนักงานก็มาชวนคุยนิดนึงด้วยว่าไปน้ำตก Kegon มาหรอ
พอออกมาก็เดินไปดูแถวทะเลสาบ แล้วก็ขึ้นรถบัสมุ่งหน้าไป Ryuzu Falls น้ำตกอีกที่นึงที่พาสไม่ครอบคลุม ต้องจ่ายเงินเพิ่ม แต่ก็คุ้มค่าจริงๆอ่ะ อันนี้เป็นน้ำตกทางยาวที่ลาดชันมาเรื่อยๆเลย
เจอคนนั่งวาดรูปน้ำตกด้วย จริงๆมาญี่ปุ่นแล้วเห็นคนนั่งวาดรูปวิวค่อนข้างบ่อยเลย ที่ไทยแทบไม่เคยเห็น อาจจะเป็นเพราะอยู่กรุงเทพที่มันไม่มีวิวธรรมชาติให้ดูเยอะด้วยแหละมั้ง
กว่าจะมาถึงสะพานแขวนตรงนี้ได้ ก็เดินผ่านทางเปลี่ยวๆ รอบๆมีแต่ต้นไม้ ได้ยินเสียงรถข้างนอกแต่ไม่มีทางให้เดินออกไปถนน เดินอยู่คนเดียวเกือบ 20 นาทีได้กว่าจะหาทางออกเจอ จริงๆก็แค่ตรงไป แต่ระหว่างทางมันรู้สึก insecure แปลกๆ เพราะดันไปนึกถึงเรื่องป่าแถวภูเขาไฟฟูจิที่มักจะมีคนไปฆ่าตัวตาย จนกลัวว่าถ้ามองไปแล้วดันเจอศพคนแขวนอยู่บนต้นไม้จะทำไงดี พารานอยด์ขนาดนั้นเลยแหละ
เกือบไม่ทันบัสกลับสถานี ตอนแรกก็มารอท่ี่ bus stop แล้ว แต่พอหยิบแผนที่มาดู เพิ่งมาเห็นว่าstopที่เรามารอไม่ครอบคลุมใน Nikko Pass ของเรา เลยต้องวิ่งสุดชีวิตมาอีก stop ที่อยู่ใกล้ๆ โชคดีที่ขึ้นทันพอดี แวะแฟมิลี่มาร์ทซื้อมื้อเย็นแป๊ปนึง แล้วก็รีบวิ่งขึ้นรถไฟกับโตเกียว รอบ 18.11เราก็เกือบขึ้นรถไฟไม่ทัน วันนี้หวุดหวิดขึ้นรถไม่ทันสองรอบแล้ว 55555555 รถไฟญี่ปุ่นยิ่งตรงเวลาอยู่ด้วย ไม่อยากนึกภาพเลยถ้าตกรถจะเป็นไง ระหว่างทางเราก็กินโอนิกิริ นั่งอ่านคันจิที่ต้องใช้สอบในวันพรุ่งนี้ สองวันนี้เอาแต่เที่ยวจนไม่มีเวลามานั่งอ่านเลย ตอนประมาณ 2 ทุ่ม รถไฟก็มาถึงที่ Asakusa
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in