"คนที่โดดเดี่ยวที่สุด คือคนที่ใจดีที่สุด
และคนที่เศร้าที่สุดนั้นยิ้มได้สดใสมากที่สุด
นั่นเป็นเพราะว่า
คนเหล่านั้นไม่ต้องการให้คนอื่น
ได้รับความเจ็บปวดเช่นเดียวกับเขา"
***คำเตือน มีสปอยล์***
ประโยคข้างต้นที่เห็นนี้ ปรากฏในตอนท้ายของเรื่อง Hope หรือ 소원 ซึ่งฉายในปี 2013 และเป็นคำพูดที่บ่งบอกตัวตนของ "อิมโซวอน" สาวน้อยในเรื่องได้เป็นอย่างดี
จุดเริ่มต้นที่เราได้มีโอกาสดูหนังเรื่องนี้ เกิดจากการฟังเพลงจีนเพลงหนึ่งชื่อ 负重一万斤长大 (เติบโตด้วยการแบกรับนับหมื่นชั่ง) ของไท่อี้ค่ะ ด้วยความที่ฟังตอนแรกก็คิดว่าคงจะเป็นเพลงที่พูดถึงความกดดันของการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ แต่พอลองหาความหมายก็ต้องเอะใจกับเนื้อเพลงที่พูดถึงการตั้งท้อง จนได้ลองหาที่มาของเพลงไปเรื่อยๆ และพบว่า ไท่อี้ ศิลปินเจ้าของเพลงนั้นได้แรงบันดาลใจมาจากหนังเกาหลีเรื่อง Hope และนั่นคือจุดเริ่มต้นของน้ำตาที่หยดแหมะไม่หยุดตั้งแต่ต้นจนจบ
Hope หรือ 소원 (โซวอน) เป็นทั้งชื่อหนัง และชื่อของสาวน้อยวัย 8 ขวบ ที่เริ่มต้นมาเราจะเห็นได้ว่าเธอเป็นเด็กหญิงน่ารักสดใสเหมือนเด็กทั่วๆ ไป มีพ่อทำงานในโรงงานแห่งหนึ่ง ที่บ้านเปิดร้านขายของชำที่ชื่อเดียวกับเธอ โดยมีแม่เป็นคนดูแล
แต่แล้ววันหนึ่ง ในวันที่ฝนตกหนักตั้งแต่เช้า โซวอนที่เดินทางไปโรงเรียนเองคนเดียวได้พบกับคุณลุงแปลกหน้าที่ยืนตัวเปียกขวางทางอยู่ และนั่นคือจุดเริ่มต้นฝันร้ายของครอบครัวเธอ
โซวอนถูกลักพาตัวไปข่มขืน กระทำชำเรา ได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงทั้งร่างกายและจิตใจ เธอถูกตัดลำไส้ใหญ่ และทำทวารเทียมขึ้นที่บริเวณหน้าท้องเพื่อให้เธอสามารถมีชีวิตรอดได้ต่อไป
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสร้างความเจ็บปวดให้ทั้ง อิมดงฮุน (พ่อ) และ มิฮี (แม่) เป็นอย่างมาก ทั้งคู่ต้องการให้จับตัวคนร้ายมาลงโทษให้ได้ แต่จำเป็นต้องให้โซวอนให้การ ตำรวจถึงจะมีหลักฐานเพื่อออกหมายจับ แม้ในตอนแรกมิฮีจะไม่เห็นด้วย เพราะไม่อยากให้โซวอนต้องนึกถึงความโหดร้ายที่ตัวเองเจอ แต่สุดท้ายเพื่อให้คนร้ายถูกจับ กระบวนการสอบสวนจึงเริ่มขึ้น โดยได้มีนักบำบัดที่ดูแลบ้านสำหรับเด็กที่โดนข่มขืนมาเป็นผู้ช่วย ซึ่งโซวอนก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โซวอนก็ไม่ยอมปริปากพูดอีกเลย
ทั้งหมดที่เล่ามานี้ ยังไม่ถึงครึ่งแรกของหนัง แต่ก็ทำเอาคนดูอย่างเราน้ำตาหยดแหมะๆ แทบจะทุกนาที ยิ่งตอนที่ดงฮุนอุ้มลูกหนีฝูงนักข่าวซอมบี้ ที่กระหายแต่จะทำข่าวโดยที่ไม่สนใจอะไร เขาต้องวิ่งอุ้มลูกขึ้นทางบันไดหนีไฟมาห้องพักผู้ป่วยพิเศษ ทำให้ถุงทวารเทียมแตกจนหกเลอะเตียง ดงฮุนพยายามที่จะทำความสะอาด แต่ภาพที่เกิดขึ้นมันดันไปคล้ายกับช่วงเวลาที่โซวอนถูกทำร้ายมากเสียจนเหมือนเห็นภาพซ้อนทับ โซวอนถึงขั้นออกปากไล่พ่อตัวเองให้ออกไป และเกิดอาการช็อก
หลังจากวันนั้นโซวอนก็เกิดอาการกลัวผู้ชาย แม้กระทั่งพ่อของตัวเอง แต่ดงฮุนก็ไม่ยอมแพ้ เขาลงทุนใส่ชุดมาสคอต โคโคมง ที่ลูกสาวชอบ แอบไปหาที่ห้องพักตอนกลางคืนทุกวัน และถึงจะออกจากโรงพยาบาลแล้ว เขาก็ยังใส่ชุดโคโคมงตามดูแลเธอตลอดเวลา ทั้งช่วงเช้าตอนไปโรงเรียน ช่วงพัก และตอนกลับบ้าน
สิ่งที่ทำให้เรารู้สึกอบอุ่นใจตอนที่ดูเรื่องนี้ไม่ได้มีแค่ความรักของพ่อแม่ลูก แต่ยังมีเรื่องของคนรอบตัว ตอนที่ดูก็คิดว่าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ก็คงจะมีฉากผู้คนซุบซิบนินทาแน่ แต่พอเอาเข้าจริงไม่มีฉากแบบนั้นเลย มีแต่ฉากที่เพื่อนของดงฮุนและมิฮีคอยสนับสนุนให้กำลังใจ เพื่อนๆ ที่โรงเรียนเอาจดหมายมาแปะที่ประตูร้าน หรือแม้กระทั่งบรรดาผู้ปกครองของเด็กๆ ที่ตอนออกมาฉากแรกดูจะปากแจ๋วยังช่วยกันรวบรวมเงินบริจาคเพื่อช่วยเหลือครอบครัวของโซวอน
และถ้าไม่พูดถึงเรื่องนี้เลยคงไม่ได้ ที่เราบอกตอนแรกว่าประโยคนี้ "คนที่โดดเดี่ยวที่สุด คือคนที่ใจดีที่สุด และคนที่เศร้าที่สุดนั้นยิ้มได้สดใสมากที่สุด นั่นเป็นเพราะว่าคนเหล่านั้นไม่ต้องการให้คนอื่นได้รับความเจ็บปวดเช่นเดียวกับเขา" คือประโยคที่สื่อถึงโซวอนเพราะว่าโซวอนในเรื่องแทบไม่แสดงออกเลยว่าตัวเองเจ็บปวดออกมา น้องดูเข้มแข็ง เพียงแต่น้องเก็บทุกอย่างไว้ในใจ ความรู้สึกต่างๆ อย่างฉากที่คุยกับคุณป้านักบำบัด น้องเล่าว่าตัวเองมียาย และยายชอบบ่นทำนองว่า "ฉันจะตายแล้ว" พอคุณป้าถามว่ารู้ไหมว่าหมายความว่าอะไร น้องก็บอกว่า "ทำไมถึงได้เกิดมา"
หรืออย่างฉากที่น้องเล่าให้ฟังว่าตัวเองสวดมนต์ก่อนนอนทุกวันเพื่อขอให้ตื่นขึ้นมาแล้วเรื่องทุกอย่างไม่เคยเกิดขึ้น ความเจ็บปวด ความทรงจำที่ร้าย อยากให้กลับไปเป็นเหมือนเดิมก่อนหน้านั้น มันทำให้รู้ว่าฉากหน้าที่น้องยังยิ้ม หัวเราะ นั่นก็ทำเพื่อไม่ให้คนรอบข้างต้องเจ็บปวด
และในขณะเดียวกันผู้เป็นพ่อแม่เองก็เจ็บปวดไม่แพ้กัน ถึงขนาดที่คิดว่าทำไมเรื่องแบบนี้ต้องมาเกิดกับครอบครัวของตัวเอง ทำไมถึงไม่เกิดกับครอบครัวของคนอื่น มันเป็นความคิดที่ดูใจร้าย แต่เพราะในตอนนั้นความเจ็บปวดที่เผชิญมันเกินรับไหว จึงได้คิดถึงในสิ่งที่ไม่ควรคิด เพราะเมื่อมนุษย์เราเจอเรื่องที่ร้ายแรงจนเกินรับไหวก็คงมีบ้างบางครั้งที่อยากโยนมันไปให้คนอื่นจริงไหมคะ
พอดูหนังแบบนี้แล้วเราเชื่อว่าหลายคนก็คงหวังให้ผู้ร้ายถูกจับและได้รับบทลงโทษที่รุนแรง แต่ในหนังเองก็ไม่ได้ต่างจากเรื่องจริงนัก เพราะถึงผู้ร้ายจะถูกจับ แต่เพราะข้ออ้างว่าตัวเองติดเหล้าจนจำอะไรไม่ได้ ทำให้เขาได้รับโทษแค่เพียง 12 ปีเท่านั้น ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เขาก็เคยทำเรื่องไม่ดีจนติดคุกมาหลายรอบแล้ว จนเราอดคิดไม่ได้จริงๆ ว่ากฎหมายลงโทษคนชั่วได้ แต่ก็ไม่มากพอ และที่น่าเศร้าไปกว่านั้นคือการที่เรื่องนี้สร้างขึ้นมาจากเหตุการณ์จริงเมื่อปี 2008 และคนร้ายตัวเองจริงก็เพิ่งจะถูกปล่อยตัวเมื่อช่วง ธ.ค. ปี 63 นี่เองค่ะ
สุดท้ายแล้วหนังเรื่องนี้ก็ทำให้เรารู้สึกอะไรหลายๆ อย่าง ทั้งเศร้า เสียใจ สะเทือนใจ โกรธ และอบอุ่นหัวใจผสมปนเปไปในระยะเวลา 2 ชั่วโมงกว่าๆ ที่ทำเอาดูจบแล้วตาบวมเป็นกบ ดูจบแล้วเราก็ได้แต่หวังว่าเรื่องพวกนี้จะหมดไปจากโลกของเราในสักวันหนึ่งที่ไม่รู้ว่าจะมาถึงเมื่อไหร่ เพื่อที่จะได้ไม่มีใครเจ็บปวดอีก
เครดิตรูปภาพ: https://movie.daum.net/moviedb/contents?movieId=77138
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in