เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ดูแล้วมาคุยjph
[Review] Grave of the Fireflies หนังดีที่ขอดูแค่ครั้งเดียว
  • “ในคืนวันที่ 21 กันยายน ปีโชวะที่ 20 เป็นวันที่ผมตาย”


    เป็นหนึ่งในฉากเปิดที่อิมแพ็กที่สุดตั้งแต่ดูหนังมา สำหรับ Grave of Fireflies หรือในชื่อไทยว่า สุสานหิ่งห้อย หนึ่งในอนิเมชันที่ได้ชื่อว่าเป็น Masterpiece จาก Studio Ghibli ที่พึ่งมาลงใน Netflix เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา

    หลังจากได้ยินกิตติศัพท์ของเรื่องนี้มายาวนาน บ้างก็ว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่ดูครั้งเดียวพอ บ้างก็ว่าหดหู่สุด ๆ ทำเอาขยาดจนไม่กล้าดูแม้จะมีซีดีอยู่ที่บ้านมาเป็นเวลาหลายปี แต่เมื่อ Netflix เอามาเสิร์ฟถึงหน้าแรกก็ตัดสินใจว่าครั้งนี้แหละจะลองสัมผัสความรู้สึกแบบที่คนอื่น ๆ ว่ากันดูสักครั้ง


    (Spoiler Alert: เปิดเผยเนื้อหาสำคัญของภาพยนตร์)



    สุสานหิ่งห้อย เป็นเรื่องราวของสองพี่น้อง เซตะ และ เซซึโกะ ที่ต้องกลายเป็นเด็กกำพร้าเพราะสงคราม ช่วงแรกทั้งสองคนไปอาศัยอยู่บ้านป้าที่เป็นญาติ แต่ด้วยความอึดอัดใจที่ป้ามักจะพูดจาและปฏิบัติกับทั้งสองคนไม่ดี และทิฐิแบบเด็ก ๆ ทำให้เซตะผู้เป็นพี่ชายตัดสินใจพาเซซึโกะออกมาอยู่กันเองสองคนในถ้ำที่ดูเหมือนเป็นหลุมหลบภัย ท่ามกลางความยากลำบากและขาดแคลนในภาวะสงคราม ท้ายที่สุดเซซึโกะก็เสียชีวิตจากภาวะขาดสารอาหาร และเซตะเองก็ตายตามไปภายหลัง

    เรียกว่าโดนตีหัวเข้าอย่างจังตั้งแต่ฉากเปิดเรื่องที่เริ่มต้นมาด้วยประโยคแรกที่กล่าวไป พร้อมกับภาพที่เซตะนอนตายในสภาพคนเร่ร่อนอยู่ที่สถานีรถไฟ สิ่งแรกที่หนังเลือกจะบอกกับคนดูคือตัวเอกของเรื่องอย่างเซตะจะตายแน่ ๆ ในตอนท้าย ไม่ว่าระหว่างทางจะเป็นอย่างไร ซึ่งเป็นความตั้งใจของผู้กำกับ ทาคาฮาตะ อิซาโอะ เองตั้งแต่ทีแรก เขาให้เหตุผลว่า นี่เป็นวิธีที่เขาจะลดความเจ็บปวดของผู้ชมได้แน่นอนว่านอกเหนือจากนั้นฉากเปิดนี้ยังทำงานกับผู้ชมในแง่ที่ทำให้ผู้ชมระแวดระวังตลอดเวลาว่าเหตุการณ์ร้าย ๆ จะเกิดขึ้นในส่วนใดของเรื่องอีก



    การตัดสินใจของพี่ชาย และราคาแห่งทิฐิที่ต้องจ่าย

    แม้ฉากหลังของหนังจะเป็นสงครามโลก การแสดงให้เห็นถึงความเจ็บปวด ความโหดร้าย และการสูญเสียที่เกิดจากสงคราม แต่สิ่งที่ขับให้หนังทั้งเรื่องเดินไปตามเส้นทางแห่งความโหดร้ายดูจะเป็นเรื่องของ “ทิฐิและความหยิ่งยโส” ของพี่ชายอย่างเซตะที่เลือกจะพาน้องสาวออกมาลำบากเพียงเพราะไม่อยากทนอยู่กับป้าที่ชอบพูดจาใจร้ายใส่ ซึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการเลือกครั้งนั้นเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ทั้งเซซึโกะและเซตะต้องตาย

    ตัวละครเซตะเป็นที่ถกเถียงในกลุ่มคนดูเป็นอย่างมาก การกระทำทั้งหมดของเซตะไม่ว่าจะเป็นการพาน้องออกจากบ้านป้ามาลำบาก หรือการลักขโมยทั้ง ๆ ที่ในภาวะสงครามทุกคนล้วนเดือดร้อนกันอยู่แล้ว อาจเรียกได้ว่าเป็นการกระทำที่ออกจะเกินรับไหวในฐานะที่เป็นตัวเอกของเรื่อง แต่การดีไซน์ตัวละครเซตะด้วยการใส่ความไร้เดียงสาแบบเด็ก ๆ หรือความสิ้นหวังในภาวะสงคราม ทำให้เราไม่สามารถเกลียดหรือตำหนิตัวละครนี้ได้อย่างเต็มที่ ความรู้สึกที่มีต่อเซตะจะเป็นความสงสารผสมกับความโกรธและขัดใจ ตัวละครเซตะถูกออกแบบมาตามสไตล์ของตัวละครหลักแบบ Tragic Hero หรือตัวละครเอกของเรื่องราวโศกนาฏกรรมที่มักจะมีจุดบกพร่องบางอย่างและต้องพบตอนจบที่ตกต่ำนั่นเอง



    ลูกอม ความสุขรสหวานแสนสั้นราวกับชีวิตของหิ่งห้อย

    ตลอดทั้งเรื่องเราจะเห็นว่าสิ่งเดียวที่ทำให้เซตะและเซซึโกะยิ้มได้ก็คือลูกอมรสผลไม้ที่อยู่ในกล่องเหล็ก ลูกอมที่ไม่มีสารอาหารอะไรนอกจากน้ำตาลและกลิ่นของผลไม้ แต่ก็เป็นสิ่งเดียวที่มอบความสุขให้กับสองพี่น้องในวันที่โลกทั้งใบโหดร้ายกับพวกเขาเหลือเกิน และความสุขนั้นก็สั้นเพียงแค่ชั่วระยะเวลาที่ลูกอมละลายในปากเท่านั้น ไม่ต่างอะไรกับวงจรชีวิตของหิ่งห้อย ที่มักจะส่องแสงสว่างมากในยามมีชีวิตอยู่ แต่ก็แค่ช่วงสั้น ๆ ตามวงจรชีวิตของมันเท่านั้น



    กล่องลูกอมเป็นสิ่งสุดท้ายที่ติดตัวเซตะไปจนถึงวันที่เขาตาย เซตะเลือกเก็บเถ้ากระดูกของเซซึโกะไว้ในกล่องนั้น เพื่อเป็นตัวแทนของน้องสาวและนำมันติดตัวไปด้วยทุกที่ ถึงแม้ว่าในตอนสุดท้ายกล่องลูกอมและเถ้ากระดูกของเซซึโกะจะถูกทิ้งไปอย่างไม่ใยดีเหมือนกับเซตะที่ต้องตายอย่างไร้ค่าในสถานีรถไฟในตอนสุดท้าย



    งานภาพที่เล่าเรื่องความตายออกมาได้อย่างไร้เดียงสา

    ถ้าพูดถึงอนิเมชันจาก Studio Ghibli แล้ว สิ่งที่มาควบคู่กับเนื้อเรื่องมากคุณภาพแล้ว ก็ต้องเป็นเรื่องของความสวยงามของภาพที่ฉายบนจอให้เราเห็น ทั้งสีสันและการจัดองค์ประกอบภาพ ซึ่งสุสานหิ่งห้อยเองก็ไม่ต่างกัน แม้เรื่องราวที่เล่าจะประกอบไปด้วยความหดหู่ ความรุนแรง และความตาย ภาพที่สะท้อนออกมากลับเต็มไปด้วยภาพสีสันสวยงามเหมือนออกมาจากมุมมองของเด็ก ทุ่งหญ้าสีเขียวตัดกับท้องฟ้าสีฟ้าสดใส หรือแม้แต่ฉากที่ไปดูหิ่งห้อยตอนกลางคืน แสงของหิ่งห้อยส่องสว่างไปที่หน้าของสองพี่น้องราวกับจะบอกว่ายังมีความหวังเหลืออยู่ ส่วนอีกฉากที่ติดตาตรึงใจที่สุด เป็นฉากที่สองพี่น้องไปเล่นน้ำทะเลด้วยกัน เซซึโกะเดินไปตามชายหาดและไปเห็นศพคนตายนอนอยู่ เซซึโกะถามพี่ชายอย่างไร้เดียงสาว่า ทำไมเขาถึงมานอนตรงนี้ ส่วนเซตะพี่ชายเองกลับตอบว่า อย่าไปมองเลย เพียงเท่านั้น



    แต่ถ้าให้พูดตามจริง Contrast ของเนื้อเรื่องอันโหดร้ายกับภาพที่แสดงความสดใสแบบเด็ก ๆ ไม่ได้ทำให้หนังเรื่องนี้ใจดีกับเรามากขึ้นเลย ซ้ำร้ายยิ่งทำให้รู้สึกว่าโลกที่ควรจะสดใสของเด็ก ๆ กลับต้องเผชิญเรื่องโหดร้ายอย่างสงคราม ตลอดการดูให้ความรู้สึกเหมือนมีคนเล่าเรื่องที่โหดร้ายที่สุดในชีวิตด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่เรียบเฉย ไม่รู้สึกรู้สา ยิ่งตอกย้ำถึงความใจร้ายของสงครามและตัวหนังเอง



    ประสบการณ์ที่สวยงามที่ทั้งชีวิตขอเจอเพียงครั้งเดียว

    หลังจากที่ดูจบ ต้องบอกว่าเป็นสุดยอดอนิเมชันเรื่องหนึ่ง ทั้งเรื่องการดำเนินเรื่องและงานภาพ อีกทั้งหนังยังมอบประสบการณ์หลังการดูที่ชีวิตนี้คงจะลืมไม่ลง แต่เป็นประสบการณ์ที่ขอไม่ดูซ้ำอีกน่าจะดีกว่า

    ส่วนใครที่ยังไม่เคยสัมผัส อยากให้ลองชมดูสักครั้ง รับรองได้เลยว่าหนังเรื่องนี้จะทิ้งอะไรบางอย่างไว้ในใจคุณตลอดไปอย่างแน่นอน.


    (Trigger Warning: ไม่แนะนำให้ดูหากอยู่ในภาวะจิตใจไม่มั่นคง หรือรู้สึกเศร้า)



    REF: https://www.cbr.com/grave-of-the-fireflies-review/

    https://en.wikipedia.org/wiki/Grave_of_the_Fireflies


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
amelia2 (@amelia2)
RETRIEVING STOLEN BITCOIN & USDT THROUGH HACKER JUDAS

After being persuaded by a friend on Instagram, I decided to invest $24,000 in a promising opportunity. Initially, everything appeared legitimate, with enticing offers and glowing testimonials that made me believe I was on the verge of financial success. However, this excitement quickly turned into despair. Their website promised help for individuals like me who had fallen victim to fraudulent platforms. Skeptical yet hopeful, I reached out to them. The initial consultation was reassuring; The process was straightforward, and their transparent communication eased my anxiety. They provided regular updates on the status of my case, which helped me feel more in control. To my astonishment, within just a week, I received confirmation that Judas was able to recover my funds. It was an exhilarating moment; after all the stress and uncertainty, I could finally see the light at the end of the tunnel. When I got my $24,000 back, I felt an immense weight lift off my shoulders. Judas not only recovered my money but also restored my faith in seeking help when in distress. If you find yourself in a similar situation, I urge you to reach out to them before it’s too late. It’s easy to feel lost and overwhelmed, but you don’t have to face it alone. With the right support, you can reclaim what’s rightfully yours and move forward with renewed confidence.
Site : https://hackerjudasrecovery.info/
Email: hackerjudas9@gmail . com
whatsapp: +18075002291