เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Music Is My AestheticPieces of Mind
"Blossoms" อินดี้ร็อครุ่นใหม่กับความฝันที่ยิ่งใหญ่
  • Blossoms (2013 - present)

    Official Website I Facebook I Twitter I Instagram

    ครั้งนี้เราจะมาแนะนำให้ทุกคนรู้จักกับ 'Blossoms' วงดนตรีแนว อัลเทอร์เนทีฟ/อินดี้ร็อค จากเมือง Stockport ประเทศอังกฤษ โดยวงมีสมาชิกด้วยกันทั้งหมด 5 คน (เรียงจากซ้ายไปขวา) ได้แก่

    • Joe Donovan - กลอง
    • Myles Kellock - คีย์บอร์ด
    • Josh Dewhurst - กีต้าร์
    • Tom Ogden - ร้องนำ, กีต้าร์
    • Charlie Salt - เบส

    เรารู้จักวงนี้ครั้งแรกจากเพลง Charlemagne โดยความบังเอิญตอนเสิร์ชเพลงฟังไปเรื่อยๆ ในยูทูป ฟังครั้งแรกก็ติดใจเลย มันมีกลิ่นอายความเป็นอินดี้ป๊อปผสมกับซาวนด์ยุค 80's ทำให้ติดหูได้ไม่ยาก โดยเพลงนี้ได้ James Skelly จาก The Coral มาโปรดิวซ์ให้ด้วย


    เราได้อ่านบทสัมภาษณ์ของพวกเขาจาก Northern Noise (21st September 2014) พวกเขาพูดถึงจุดเริ่มต้นของวง ทอมและโจเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม ต่างคนต่างมีวงเก่ากับเพื่อนๆ ของตัวเอง โดยก่อนหน้านั้นโจอยู่วงเดียวกับชาร์ลีและเคยไปดูวงของทอมกับเพื่อนๆ ซ้อม ภายหลังต่อมาทอมจึงตั้งวงขึ้นมาใหม่โดยได้โจและชาร์ลีมาร่วมด้วย หลังจากนั้นไม่นานไมลส์ก็เข้ามาสมทบ

    โดยชื่อวง Blossoms นั้นโจบอกว่าได้มาจากชื่อผับๆ หนึ่งในเมืองแมนเชสเตอร์ และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทอมอยากจะมีวงดนตรีที่รวมคนที่ชอบดนตรีแนวเดียวกันกับเขา โดยเมื่อถามว่าแนวเพลงของพวกเขาต่างจากแนวที่เคยทำกับวงเก่าๆ ไหม ทุกคนตอบพร้อมกันเลยว่า แตกต่างอย่างสิ้นเชิง

    เมื่อถามว่าใครเป็นคนแต่งเพลงให้กับวง โจบอกว่าทอมจะเป็นคนคิดซาวนด์กีต้าร์และเนื้อเพลงบางส่วนมาก่อน จากนั้นจะนำมาให้ทุกคนดูอีกรอบ เขาบอกว่ามันเป็นการดีกว่าที่จะให้แค่คนเดียวเป็นคนแต่ง พวกเขาทุกคนจะช่วยกันโดยเริ่มจากสิ่งที่ง่ายๆ ก่อนแล้วค่อยต่อยอดให้มันมีเอกลักษณ์ งานจึงออกมาเป็นธรรมชาติมากๆ

    มาถึงเรื่องแรงบันดาลใจในการแต่งเพลง โจบอกว่าเขามักได้ไอเดียมาจากภูเขาหรือแสงอาทิตย์ตก ทอมบอกว่าเป็นตอนที่เขาเลิกกับแฟนคนแรกที่คิดจริงจัง เพลงของพวกเขาเลยมักเกี่ยวของกับตัณหาราคะ ไมลส์บอกว่ามีคนบอกว่ามันเหมือนเป็น 'Painting the visions of decaying romance' บ้างก็ว่าเพลงของพวกเขาเหมาะจะเอาไปประกอบหนังของ Quentin Tarantino

    สื่อทางดนตรีชอบเปรียบเทียบแนวเพลงของพวกเขาว่าเหมือนกับแนวไซคีเลดิคยุค 60's แต่ชาร์ลีบอกว่าไม่อยากจะให้นิยามแบบนั้นหรอกนะ แต่ก็ไม่อยากให้คนนิยามพวกเขาว่าเป็น Next Oasis หรืออะไรทำนองนั้นเหมือนกัน พวกเขาบอกว่าเพลงของพวกเขาเป็นแนว psych-pop ที่มี sub-genre คือ ethereal nostalgic sonanance ซึ่งพวกเขาคิดกันขึ้นมาเล่นๆ และยังไม่รู้ว่ามันหมายถึงอะไรด้วยซ้ำ... ทอมบอกว่าที่สื่อชอบเรียกพวกเขาว่าเป็นแนวไซคีเลดิค อาจเกิดจากช่วงแรกที่พวกเขาชอบแต่งตัวเป็นทีมแบบใส่เสื้อคอเต่าสีดำ พร้อมห้อยสร้อยแบบ Derek Trotter กับสกินนี่ยีนส์

    ความฝันของพวกเขาคือการได้เป็นวงดนตรีที่ยิ่งใหญ่ ได้เล่นตามงานเทศกาลดนตรีต่างๆ ได้ทัวร์รอบโลก และปล่อยซิงเกิ้ลออกมาเรื่อยๆ

    ______________________________


    อีกบทสัมภาษณ์ที่เราไปอ่านมาคือ Blossoms: from a scaffolding yard to the stars ของ The Guardian (28th January 2016) กล่าวถึงวงดนตรีจากสต็อคพอร์ทที่ได้ถ่ายทำมิวสิควิดีโอชิ้นแรกที่โกดังของญาติด้วยเงินเพียง 60 ปอนด์ ที่ในตอนนี้พวกเขาได้ไปแสดงสดเพื่อเป็นวงเปิดให้กับ The Libertines แล้วเป็นที่เรียบร้อย

    ในช่วงต้นปี 2014 ที่ตอนนั้นแฟนคลับของพวกเขามีอยู่เพียง 200 คน ในสต็อคพอร์ท พวกเขาประกาศกร้าวลงบนเว็บไซต์ว่าอยากให้ทุกๆ คนฟังเพลงของพวกเขา อยากให้ได้ยินเพลงของพวกเขาในทุกๆ ที่ พวกเขาอยากจะเป็นที่รู้จักเหมือนกับ Will Smith ยิ่งใหญ่พอๆ กับ The Smiths และเจิดจร้สเหมือนกับ Mr. Smith Goes to Washington

    ทอมบอกว่านั่นเป็นความคิดแบบขำๆ แต่ลึกๆ แล้วทุกคนก็อยากให้เป็นแบบนั้นแหละ เรื่องตลกก็คือคำพูดนั้นมันคือจุดเปลี่ยน เพราะทุกคนออกจากงานเพื่อที่จะมาทำทัวร์เลย

    สองปีถัดมา Blossoms กลายเป็นวงดนตรีจาก Greater Manchester ที่เป็นที่พูดถึงมากที่สุดในรอบหลายปี พวกเขาได้รับการยอมรับจาก Johnny Marr (อดีตมือกีต้าร์ของวง The Smiths) และ Ian Brown (นักร้องนำของ The Stone Roses) และในเดือนตุลาคมที่ผ่านมาก่อนที่จะมีอัลบั้มเดบิวต์ พวกเขาสามารถขายบัตรการแสดงสดที่ Ritz จำนวนกว่า 2000 ใบได้สำเร็จ ผลงาน EP อันยอดเยี่ยมทั้ง 4 ชุดของพวกเขาแสดงให้เห็นพัฒนาการจากวงดนตรีไซคีเลดิคสวมเสื้อคอเต่าสีดำไปสู่วงป๊อปครองชาร์ตที่มีอิเล็คโทรริฟและดิสโก้เบสไลน์อันโดดเด่นในซิงเกิ้ล At Most a Kiss


    ความสำเร็จของพวกเขานั้นพุ่งสวนทางกระแสหลัก วงของพวกเขาเป็นวงกีต้าร์วงเดียวที่ติดอยู่ในรายชื่อของ BBC Sound of 2016 shortlist และเป็นหนึ่งในสองวงจาก North of Oxford ใน longlists ทั้ง 15 รายชื่อ

    เรื่องราวภูมิหลังของสมาชิกทั้งหมดก็เรียกได้ว่าเป็นเรื่องโรแมนติค นั่นคือสมาชิกทุกคนเกิดที่โรงพยาบาลเดียวกันคือ Stockport's Stepping Hill โดย Tom Ogden พบกับ Joe Donovan เมื่อพวกเขาอายุ 13 ปี ในระหว่างไปทริปของโรงเรียน หลังจากนั้น Charlie Salt มือเบสอายุ 24 และ Josh Dewhurst มือกีต้าร์อายุ 21 ปี ก็เข้ามาสมทบกับวงผ่านทางการเจอกันที่โรงเรียนและปาร์ตี้ หลังจากลองผิดลองถูกกับวงอื่นๆ พวกเขาก็พบกับ Myles Kellock มือคีย์บอร์ดอายุ 21 ปี

    การถูกปฏิเสธนั้นนับว่าเป็นสิ่งกระตุ้นสำหรับพวกเขา "มันก็เหมือนกับที่ค่าย Decca พูดกับ The Beatles ว่า 'ยุคของวงกีต้าร์มันจบไปแล้ว' นั่นแหละ" ทอมพูด "ผมเลยคิดว่า 'ก็ได้ งั้นเราจะทำเพลงให้ดีกว่าเดิม'"

    ห้องอันคับแคบในโกดังของปู่ของชาร์ลีนั้นเป็นสถานที่ซ้อมของวง พวกเขาซ้อมที่นั่นทุกวัน และมันฟรีด้วย โดยที่นี่ยังเป็นสถานที่ที่พวกเขาใช้ถ่ายมิวสิควิดีโอชิ้นแรกด้วยงบเพียง 60 ปอนด์

    ความสำเร็จของพวกเขาเริ่มจากสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่น่ายินดี เช่นการได้เล่นให้คนที่ Guildford และผับที่ Manchester's Castle ดู ทอมบอกว่านั่นเป็นครั้งแรกที่คนดูไม่ใช่กลุ่มคนที่พวกเขารู้จัก และนั่นมันคือสิ่งที่สุดยอดมาก

    ยังมีเหตุการณ์ที่น่าเหลือเชื่อหลายอย่าง เช่นตอนที่พวกเขาเจอ Johnny Marr ในแมนเชสเตอร์ ที่พวกเขามารู้ทีหลังว่ามาร์เองก็เป็นแฟนเพลงของพวกเขาและตั้งใจมาดูพวกเขาเล่น และอีกเหตุการ์หนึ่งที่เจอกับ Ian Brown โดยเอียนเข้ามาทักและบอกว่าเพลง Charlemagne ของพวกเขานั้นเป็นเพลงที่สุดยอด ทอมบอกว่าการที่หนี่งในฮีโร่ของคุณมาพูดอะไรแบบนั้นมันเป็นความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูกเลย

    เพลงของ Blossoms นั้นเป็นการผสมผสานระหว่างแนวไซคีเลดิคกับความป๊อปของเนื้อร้องแบบยุค 80's แต่ก็ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ เพลงของพวกเขาเริ่มลื่นไหลมากขึ้นหลังจาที่ทอมเลิกกับแฟน และมีเนื้อร้องที่อ้างอิงจากบางวัฒนธรรม (เช่นเดียวกับกับ Morrissey ศิลปินที่มีอิทธิพลอย่างมากกับวง) เช่นในเพลง Blown Rose ที่อ้างถึงบทกวีในยุคศตวรรษที่ 19 ของนักกวีชาวไอริช Felicia Hemans และเพลง Madeleine ที่พูดถึงตัวละครในเรื่อง Vertigo ของ Hitchcock


    Blossoms ยังบอกไว้อีกด้วยว่าถ้าวงของพวกเขาประสบความสำเร็จได้เท่าๆ กับที่ฮีโร่ของพวกเขาทำได้ พวกเขามีแผนที่จะช่วยบ้านเกิดโดยทำให้ Strawberry Studio ซึ่งเป็นสตูดิโอในตำนาน ที่ๆ วงดนตรีและศิลปินระดับตำนานอย่าง 10cc, Joy Division, The Smiths, The Stone Roses และ Paul McCartney เคยมาใช้บริการ ให้กลับมาเปิดใหม่อีกครั้ง รวมถึงจะช่วยเหลือทีมฟุตบอลบ้านเกิดอย่าง Stockport County ด้วย

    ความฝันที่ยิ่งใหญ่อีกอย่างหนึ่งคือพวกเขาอยากให้มีป้ายติดบริเวณถนนเข้าเมืองบ้านเกิดที่เขียนว่า "Welcome to Stockport. Home of Blossoms."


    บทสัมภาษณ์อื่นๆ ที่น่าสนใจ

    And more...

    แรงบันดาลใจ

    พวกเขาได้รับแรงบันดาลใจจากวงดนตรีในตำนานหลายๆ วง เช่น The Beatles, Oasis, The Beach Boys, Abba, The Smiths, Arctic Monkeys และดนตรีแนวดิสโก้ยุค 70-80's แถมยังบอกด้วยว่า soundtrack ในเกมอย่าง GTA: Vice City ก็มีอิทธิพลกับวงของพวกเขาด้วยเช่นกัน

    ทอมบอกว่า Arctic Monkeys มีอิทธิพลต่อเขาอย่างมาก เขาว่า อเล็กซ์ เทอร์เนอร์ นั้นเป็นอัจฉริยะ และก็อยากจะพบเขาสักครั้ง ส่วนโจอยากพบสองพี่น้องกัลลาเกอร์ เพราะ Oasis นั้นก็มีอิทธิพลอย่างมากต่อวง เขาเสริมด้วยว่าเขาและทอมเป็นแฟนฟุตบอลทีมแมนเชสเตอร์ซิตี้เหมือนกับโนลและเลียมด้วยนะ :)


    แนะนำเพลง

    นอกเหนือจากสามเพลงที่เราแปะลิ้งค์ไว้ข้างต้นแล้ว วงนี้ยังมีเพลงเจ๋งๆ อีกหลายเพลงที่เราอยากให้ลองฟังกัน... เริ่มกันด้วยเพลง Getaway ฟังแล้วรู้สึกเหมือนย้อนเวลากลับไปยุค 70-80's เลย

    เวอร์ชันร้องสดก็เพราะนะ :)


    Cut Me And I'll Bleed เราว่าเพลงนี้เสียงของทอมนี่โคตรอเล็กซ์อ่ะ ฟังครั้งแรกแอบตกใจ (ที่จริงแล้วเราว่าทอมไม่ใช่แค่มีเสียงที่คล้ายอเล็กซ์ สไตล์ก็แอบคล้ายกันด้วย นี่มองทอมทีไรจะนึกถึงอเล็กซ์ช่วง Humbug Era ทุกที 5555)

    Honey Sweet เพลงนี้ก็เพราะมากๆ

    Manic Monday เพลงของ The Bangles โดยทางวงเอามา cover ใหม่ เราชอบมาก


    My Favourite Room เพลงอะคูสติคที่น่ารักมากกกก ฟังแล้วโลกสดใสทันที



    อนึ่ง ตอนนี้อัลบั้มเดบิวต์ของวงออกมาแล้วในวันที่ 5 สิงหาคม 2016 ที่ผ่านมานี้เอง โดยใช้ชื่อเดียวกับชื่อวงคือ Blossoms เราฟังแล้วมันดีงามมาก เพราะฉะนั้นไปซื้อกันซะ!!! /ฮาร์ดเซลแรง

    ภาพนี้คือปกอัลบั้ม โดยสถานที่ในรูปนี้คือโกดังของปู่ของชาร์ลีที่ทางวงใช้ซ้อมกันเป็นประจำนั่นเอง :)

    เราชอบประโยคของทอมที่บอกว่า...

    "I know it sounds big-headed but I think we have to be confident as the music
    sounds brilliant. We want to take it around the world and be as successful
    as we can everywhere.

    We won't do something half-hearted. There is no limit for us. It's not like
    we've just been thrown into the spotlight — we've done our sleeping in
    the back of the van and playing to two people onstage.

    We've built up to this over the last two years and we feel like we deserve
    it.

    We wouldn’t be doing it if we didn’t believe in us. We just want to be the
    best we can possibly be — and I think we will because we have something
    special between us."


    /fin.

    ขอขอบคุณทุกคนที่อ่านมาถึงตรงนี้
    ไปพูดคุยเม้ามอยกับเราได้ในทวิตเตอร์นะ @koracartoon :)
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in