Day-11 : snow
suengyoun x dohyon
**snowverse
“หิมะแรกตกแล้วสินะ”
นัมโดฮยอนถอนหายใจออกมาอย่างนึกหน่ายเขาล่ะชังเวลาที่มีหิมะตกจริงๆ เพราะหิมะตกเมื่อไร นั่นหมายถึงว่าเขาจะไม่สามารถแยกสีบนโลกนี้ได้ทุกอย่างขาวโพลนราวหิมะดีหน่อยที่ยังมีเฉดสีความเข้มอ่อนที่พอจะทำให้เขาดูออกว่าอะไรเป็นอะไร
แต่ในวันแรกที่หิมะตกจะเป็นวันที่เขามีอาการหนักหน่วงกว่าวันอื่นถ้าให้เทียบกันก็คงพอๆ กับเวลาผู้หญิงมีประจำเดือนวันแรกกระมังหิมะที่ตกในวันแรกทำให้โดฮยอนมองไม่เห็นอะไรนอกจากความขาวโพลน
แต่ทั้งนี้ก็มีข้อดีอยู่อย่างหนึ่งตรงที่เขาไม่รู้สึกหนาวและแม้แต่น้อยแม้หิมะจะตกหนาก็ตาม
แม้จะไม่รู้สึกหนาว แต่การมองไม่เห็นอะไรมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีนักหรอก
โดฮยอนทิ้งร่างตัวเองนอนบนเตียงนุ่มพลางหลับตาลงอย่าว่าแต่จะออกไปไหนเลย ถึงแม้จะอยู่ในบ้านของตัวเองเขาก็ทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้นที่พอทำได้ก็คงเป็นการนอนฟังเพลง และรอให้ใครอีกคนที่มีอาการคล้ายๆ กันมาหา ถ้าคนๆนั้นมาถึงเมื่อไหร่ อาการที่เขาและอีกฝ่ายกำลังประสบจะบรรเทาลง
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้นไปซะได้
“หลบไปๆๆๆ หนาวจะตายอยู่แล้วว้อย!!!
และคนๆ นั้นก็มาถึงแล้ว..
“หนาวมากๆ หนาวจนจะตายตรงนั้น”อีกฝ่ายว่าแล้วซุกกอดเขาประหนึ่งว่ากำลังกอดตุ๊กตาตัวหนึ่ง
“ก็ไม่เห็นจะหนาวซักเท่าไหร่นะครับ”
โชซึงยอนจิปากกล้ามแขนยังคงกอดรัดเจ้าของร่างนุ่มนิ่มที่ตัวอุ่นประหนึ่งเตาผิงไว้แนบกาย
“ก็เพราะเรามีอาการอื่นแทนไง” ซึงยอนว่า
“พี่ไม่รู้หรอกครับว่าเห็นทุกอย่างเป็นสีขาวนี่มันน่าเบื่อขนาดไหน”เขาว่าทั้งยังหลับตา
“ยังไม่เห็นสีหรอ?”
สิ่งที่พี่ชายข้างบ้านถามขึ้นคือความบาลานซ์ของร่างกายของเราทั้งคู่ทุกครั้งที่หิมะตก โดฮยอนจะเกิดอาการที่ไม่สามารถมองเห็นสีอื่นได้นอกจากสีขาว ถ้านึกภาพไม่ออกโดฮยอนสามารถอธิบายโดยอิงโฟโต้ช็อปได้ว่าเหมือนมีเลเยอร์สีขาวค่าทรานสพาเร้นท์100% มาแปะอยู่เหนือตาของเขา และเขาไม่รู้สึกหนาวทั้งนั้น ดังนั้นเมื่อหิมะตกสิ่งที่โดฮยอนพอจะทำได้ก็คือการนอนฟังเพลงหรือทำอะไรก็ได้ที่ไม่ต้องใช้สายตา ต่างจากอีกฝ่ายที่จะหนาวเป็นพิเศษในวันที่หิมะตกแต่ยังสามารถมองเห็นสีทุกอย่างบนโลกได้เหมือนเดิมทั้งยังแยกสีได้ละเอียดมากกว่าปกติด้วยซ้ำทุกครั้งที่หิมะแรกตกพี่ซึงยอนก็จะเป็นฝ่ายวิ่งมากอดเขาไว้เพราความหนาวเสียดกระดูกที่เจ้าตัวเคยว่าให้ฟังและนั่นทำให้เราทั้งคู่ค้นพบว่าวิธีนี้ทำไม่ให้เราทรมาณกับอาการประหลาดเช่นนี้จนเกินไป
ผลที่ได้คือเขาพอจะมองเห็นสีและอีกฝ่ายก็ไม่หนาวจนเกินไป..แต่ก็ต้องแลกกับการเป็นตุ๊กตาให้อีกฝ่ายหิ้วพาไปไหนต่อไหนจนกว่าหิมะจะหยุดตกนั่นล่ะ
เป็นการใช้ชีวิตที่ค่อนข้างลำบากมากเลยทีเดียว..
“พี่ก็ยังตัวสั่นนะครับ ยังหนาวหรอ” โดฮยอนเอ่ยปากถามอีกฝ่ายซ้ำเพราะแรงรัดที่แนบแน่นกว่าทุกทีจนบางทีเขาก็รู้สึกเหมือนกำลังโดนงูเหลือมตัวใหญ่กำลังรัดร่างพี่ซึงยอนพยักหน้าและขานรับอืออึงในคอเบาๆ
ปีนี้มันโหดผิดกับทุกปีหรือเปล่านะ
“แล้วปวดหัวไหมเราน่ะ” โดฮยอนได้ยินเสียงอีกฝ่ายกระซิบข้างหูพูดตามตรงมันก็จั๊กจี้อยู่เล็กน้อย แต่ในเวลาแบบนี้ที่มองไม่เห็นอะไรนอกจากสีขาวเขาคิดว่าการที่ประสาทสัมผัสการได้ยินทำงานแทนดวงตาชั่วคราวนั้น ถ้าเป็นไปได้แล้วก็ขอฟังอะไรที่มันเบาๆรับเทศกาลหิมะแรกแทนเสียงโหวกเหวกคงจะดีกว่า
เสียงดังเกินไปมันทำให้เขาปวดหัว
“ไม่ได้ปวดครับ แค่ไม่เห็นอะไร..เหมือนหิมะทับตา”
“ส่วนพี่ก็หนาวเหมือนแก้ผ้านอนในหลุมหิมะ”อีกฝ่ายว่าแล้วกอดเขาแน่นขึ้นอีก
เชื่อแล้วว่าหนาวมากจริงๆ
จู่ๆ เขาก็เกิดคำถามขึ้นมา
“พี่ว่ามันแปลกไหมที่เรามีอาการประหลาดแบบนี้”
อีกฝ่ายเงียบไปโดฮยอนเดาว่าคนเป็นพี่คงกำลังไตร่ตรองอย่างหนัก ซึ่งโดฮยอนมองว่าอาการที่เราทั้งคู่ประสบมันเป็นอาการที่แปลกจริงๆเขาไม่เคยพบว่ามีเพื่อนคนไหนเคยประสบอาการนี้เลยแม้แต่คนเดียวที่น่าแปลกกว่านั้นคืออาการทั้งหลายจะบรรเทาลงก็ต่อเมื่อได้อยู่ หรือสัมผัสกับคนๆนี้เท่านั้น แม้จะเคยทดลองไปกอดคนอื่นดูแล้ว แต่ก็พบว่าไม่มีใครสามารถบรรเทาเหล่านี้ให้เบาบางลงได้เลย
ทำไมต้องกับคนนี้?
ถ้าเกิดเราสองคนไม่ได้อยู่ข้างบ้านเขาขึ้นมามีหวังได้นอนเปื่อยกับนอนหนาวตายแน่ๆ โดฮยอนคิดแล้วก็หวาดหวั่นในอกเบาๆดีแล้วล่ะที่เขาเจอคนมาช่วยบรรเทาอาการพวกนี้ แต่สิ่งที่น่าสงสัยคือหิมะแรกในปีนี้ส่งเอฟเฟคท์ให้เขากับพี่ซึงยอนรุนแรงกว่าทุกปีที่ผ่านมา
ปกติก็ผ่านวันหิมะแรกไปได้ด้วยดีแต่ทำไมครั้งนี้มันยากกว่านักนะ
จะถามใครก็ไม่ได้ด้วยแฮะ
“คิดว่าเป็นไปได้ไหม..ที่ระดับการสัมผัสจะส่งผลต่อการบรรเทาอาการ?” จู่ๆ พี่ชายข้างบ้านก็โพล่งขึ้นมาโดฮยอนลืมตาขึ้นแล้วหันไปตามเสียงทันทีแม้ว่าเขาจะมองไม่เห็นอะไรนอกจากสีขาวนี่ก็เถอะ
จุ๊บ
แต่นี่ปากเขากำลังสัมผัสอะไรน่ะค่อนข้างเนียนนุ่ม แต่ก็มีความสากเล็กน้อย คล้ายๆ.. ตอหนวด?
พี่ชายข้างบ้านถึงกับนิ่งไปขณะที่เขาเองก็เหมือนจะเห็นว่าสีขาวเริ่มจางลงเล็กน้อย
ด้วยเหตุการณ์ดังกล่าวนี้..จึงทำให้เราต่างตั้งข้อสังเกตไปว่าระดับการสัมผัสส่งผลต่ออาการแน่นอน
“...”
“...”
ทั้งห้องเงียบกริบมีเพียงเสียงเพลงที่เปิดไว้เท่านั้นที่ดังคลอรับบรรยากาศเท่านั้น
“มันอาจดีเลย์หรือเปล่าครับพี่-..
ฟอด
โดยไม่ทันได้ตั้งตัวหรือจะรอให้เขาพูดจนจบประโยคจมูกโด่งเป็นสันของพี่ชายข้างบ้านก็กดลงบนแก้มเขาเบาๆ ความจริงก็ไม่เบาเท่าไหร่เพราะนอกจากจะกดลงมาแล้วโดฮยอนยังรู้สึกว่าคนที่กำลังกอดรัดเขาเหมือนงูเหลือมในตอนนี้กำลังสูดดมออกซิเจนบนผิวแก้มเขาเข้าปอดตัวเองไปด้วย
ทันใดนั้นม่านสีขาวที่บดบังสายตาเขาอยู่ก็จางลงเทียบแล้วก็คือสีขาวที่ถูกลดค่าทรานสพาเร้นท์เหลือประมาณ 45%
ทันใดนั้นเอง พี่ซึงยอนเอาแต่กอดเขาแนบกายเหมือนเด็กติดตุ๊กตาก็พูดขึ้นอย่างจริงจังว่า
“แสดงว่าเราสามารถบรรเทาอาการที่เป็นอยู่ได้..ถ้าสกินชิปมากขึ้น?”
โดฮยอนส่ายหน้า
“อย่าแม้แต่จะลอง ผมไม่เอาด้วยหรอก”ว่าแล้วก็หลับตาเบือนหน้าหนีทันที
อย่าได้ทันเห็นพี่ชายข้างบ้านทำหน้าหมาหงอยเลยเชียวและโดฮยอนจะไม่ใจอ่อนเพราะสีหน้าแบบนั้นของเจ้างูเหลือมคนนี้อีกรัดอีกนิดกระดูกเขาได้ป่นเป็นผงพอดี
“งั้นหอมแก้มเพิ่มได้ไหมตอนหนาวมันหนาวมากเลยนะ”พี่ชายงูเหลือมที่กอดรัดเขาเหมือนตุ๊กตาผ้ากระซิบข้างหูด้วยน้ำเสียงออดอ้อนซึ่งมันชวนขนลุกขนพองมาก ยิ่งเขาเงียบไม่ยอมตอบ โชซึงยอนก็เอาแต่ทำเสียงประหลาดๆรบกวนรบเร้าให้เขาตกลงให้จงได้
นี่มันบังคับกันชัดๆ
“พี่อย่าทำเสียงประหลาดได้ไหม ขนลุก”
อีกฝ่ายหัวเราะชอบใจยิ่งเพิ่มแรงกอดรัดเขาขึ้นไปอีก
อ่า.. ซาดิสม์จริงๆ พี่คนนี้..
“แค่หอมแก้มเอง อ้อ จุ๊บแก้มด้วย”
โดฮยอนหลับตาปี๋นับเลขในใจห้ามตัวเองไม่ให้หลงกลเจ้างูเหลือมชราที่กำลังจะหลอกล่อให้เขาเสียสมาธิแม้ตอนนี้เขาอยากจะตะโกนออกไปว่าเขาจะไม่จุ๊บแก้มคนที่ไม่ขยันโกนหนวดหรอกนะ ก็ตาม แต่ถ้าพูดอย่างนั้นไปน่ากลัวว่าพี่ชายงูเหลือมคนนี้จะยิ่งชอบใจรัดเขาแน่นกว่าเดิม
“โดรยอนนี่ เพิ่มมานิดเดียวเองน้า” (*
ฮ่อก! พี่คนนี้น่ากลัวจริงๆↁ_
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in