2
เคยสงสัยไหม—คนเราออกเดินทางมากน้อยแค่ไหนในช่วงชีวิตหนึ่ง
หากเป็นไอริชแทรเวลเลอร์ หรือประชากรเร่ร่อนในไอร์แลนด์ ที่มักออกเดินทางเพื่อตีและขายเครื่องดีบุก พวกเขาคงนับจำนวนก้าวไม่หวาดไม่ไหว แต่ถ้าเป็นพวกเราชาวเมือง การเดินทางของเราคงย้อนซ้อนเป็นวงในแต่ละวัน—ครั้งแล้วครั้งเล่าไม่รู้จักหยุดหย่อน
คนบางยุคไม่เคยเดินทางไปไหนไกลเกินเท้าก้าว พวกเขาไปได้เพียงละแวกหมู่บ้าน และใฝ่ฝันถึงเมือง ทางรถไฟที่ตัดผ่านเหมือนเส้นทางสายความฝัน ที่นำพาผู้คนระลอกแล้วระลอกเล่าจากไปสู่ที่ที่พวกเขาไม่รู้จัก คนบางคนมีความสุขดีกับการอยู่กับที่ เพราะหลังยุคแห่งการเป็นชนเผ่าเร่ร่อนแล้ว มนุษย์ก็รู้จักการเกษตร และพึงพอใจจะดำรงอยู่ในที่ที่ตนคุ้นเคยกับภูมิอากาศ ลมว่าว ลมข้าวเบา และการต่อกรกับตั๊กแตนตามฤดูกาล แต่สำหรับคนบางคน สายเลือดของนักเร่ร่อนยังฝังลึกเหมือนสายซูเปอร์สตริงแห่งบิ๊กแบงที่ทอลวดลายอยู่ในเนื้อจักรวาล พวกเขาจึงได้แต่สงสัยว่า เส้นทางรถไฟสายนั้นจะนำพาผู้คนไปไหน เครื่องบินที่บินอยู่บนฟ้าจะพาเราไปได้ไกลเพียงไหนกัน
พวกเขาไม่คิดถึงการพรากจาก
แล้วเราก็พากันออกเดินทาง โลกไม่ได้แคบลง แต่นักเดินทางที่ตระเวนไปทั่วโลกกลับรู้สึกอย่างนั้น เหมือนโลกหนึ่งใบจะไม่เพียงพออีกต่อไป
เวลาลมพัดมา ผู้คนมักถูกลมพัดให้ปลิวหายไป ต้นกุหลาบบอกเจ้าชายน้อยอย่างนั้น เป็นเพราะพวกเขาไม่มีราก
แต่เราตอบแทนคนอื่นได้หรือ ว่าระหว่างการมีรากยึดเหนี่ยวให้อยู่กับที่อย่างมั่นคง กับการได้ปลิวไปในที่ไกลแสนไกลครั้งแล้วครั้งเล่า อย่างไหนทำให้เราได้รู้จักกับชีวิตมากกว่ากัน
รอยเหี่ยวย่นของภูเขาในภาพถ่ายของอดัมส์ ช่างเหมือนผิวหนังแก่ชราของมนุษย์
มันคือร่องรอยการพาดผ่านของเวลา เป็นสิ่งที่เราไม่อาจยับยั้งหรือก้าวเร็วไปล่วงหน้า
ผมเพียงแต่สงสัยว่า เราจะค้นพบการหยุดนิ่งนั้นของอดัมส์ ได้ด้วยตัวของเราอย่างไร
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in