การมาออกชุมชนที่นี่แน่นอนว่ากลางวันคือเวลาทำงานครับ แต่กลางคืนสัญชาติญาณหมอกระสือ night life ของเราจะทำงานแทน แต่ด้วยความไม่ชำนาญพื้นที่ พี่แคท...จึงถูกพวกเราลวงให้ออกมาเป็นไกด์หาของกินยัดกระเพาะตอนดึกๆอยู่บ่อยๆ ในคืนท้ายๆใกล้จะกลับกรุงเทพฯ เราชวนพี่แคทไปถนนคนเดินในตัวเมืองครับ ร้านแผงลอยตั้งเรียงรายกันหนาตา พวกเราแยกกันเดินจากฝั่งหนึ่งของถนนไปสุดอีกฝั่งหนึ่ง ระหว่างทางทำให้พอจะมีเวลาพูดคุยกับพี่แคทถึงเรื่องอดีตและอนาคตกันพอสมควร
พี่แคทเล่าว่าเป็นทันตาฯมาตั้งแต่อายุ 20 ตอนนี้พี่แคทอายุ 26 อายุการทำงาน 6 ปีของพี่แคททำให้รู้ว่า career path ของวิชาชีพตัวเองเนี่ย มันออกจะอยู่กับที่ซะมากกว่ายากที่จะได้ขยับขยายไปไหนในตำแหน่งราชการ คือถ้าคนที่ชอบงานทันตาฯคงจะทำไปได้เรื่อยๆอย่างไม่ต้องคิดอะไรมาก แต่คงไม่ใช่แนวสำหรับพี่แคทหละครับ พี่แคทเล่าว่าจริงๆแล้วตัวเองอยากเป็นไกด์นำเที่ยวครับ แต่ก็เข้าใจได้ว่าไม่ใช่แค่เพียงพี่แคทหรอกครับที่ปัจจัยและเงื่อนไขต่างๆรอบตัวมักถ่างเส้นทางความฝันกับความจริงให้ห่างกันจนแทบจะไม่มีทางบรรจบ พวกผมเองบางคนลึกๆแล้วก็ไม่ได้อยากมาเป็นหมอฟันหรอกครับ บางคนอยากเป็นสถาปนิก บางคนอยากเป็นแอร์โฮสเตส บางคนอยากทำงานเขียน ส่วนผมเองจริงๆก็มีฝันเล็กๆว่าอยากเป็นผู้ประกาศข่าว 5555 (ฉีกแนวกันเลยทีเดียว)
คำพูดที่ว่า “ชีวิตเรา เราเลือกเองได้” ฟังเผินๆมันดูสวยหรูดีนะครับ แต่เอาเข้าจริงแล้วผมว่าน้อยคนที่จะสามารถเลือกเส้นทางชีวิตตามที่ตัวเองอยากจะเป็นได้อย่างอิสระ เพราะต่างก็มีชีวิตที่ผูกพันกับเงื่อนไขอีกมากมายรายรอบ ความไม่แน่นอนในอนาคตก็ยังคาดเดาไม่ได้ หลายครั้งเราจึงต้องพับความฝันแล้วหยอดชีวิตตัวเองเข้าสู่ลู่ทางที่ดูๆแล้วแม้จะไม่ค่อยถูกใจมากนัก แต่ก็ดูเป็นอะไรที่เสี่ยงน้อยกว่าและมั่นคงกับชีวิตมากกว่า
พี่แคทอวดพวกเราว่าตอนนี้กำลังพิเศษภาษาอังกฤษที่สถาบันในตัวเมือง เพื่อเตรียมตัวสอบ IELTS ครับ เพราะพี่แคทมีแพลนอยากชิงทุนไปเรียนต่อแนวๆสาธารณสุขศาสตร์ที่ไต้หวัน ถ้าคะแนน IELTS ถึงเกณฑ์ก็น่าจะได้ไปเรียนต่ออย่างไม่ยุ่งยากเท่าไร เพราะมหาลัยที่เล็งไว้มี MOU รับนักศึกษาจากเมืองไทยอยู่แล้ว ถ้าพี่แคทมีวุฒิ ป.โทหรือ ป.เอกกลับมา ก็น่าจะได้ทำงานใน สสจ. หรือกระทรวงฯอย่างน้อยก็เป็นอีก track หนึ่งที่ทำให้พี่แคทสามารถเติบโตในราชการได้ ผมฟังพี่แคทเล่าเรื่องของตัวเองแล้วก็อดซูฮกพี่แคทไม่ได้จริงๆ ผู้หญิงตัวเล็กๆคนเดียวที่แม้จะเห็นแล้วว่าความฝันกับความจริงนั้นอยู่คนละลู่วิ่ง แต่ก็ต้องกัดฟันวิ่งต่อไปบนลู่เดิม แถมยังเป็นระยะทางอีกยาวไกลกว่าจะถึงเส้นชัย..ที่ยิ่งวิ่งเท่าไหร่ก็ยิ่งห่างไกลจากความฝันออกไปทุกที
เกมส์หนึ่งในค่ายสร้างที่ผมเคยไปออกคือการให้ผู้เล่นเปรียบตัวเองเป็นอะไรก็ได้ แล้วเขียนใส่ลงกระดาษ หลังจากนั้นเพื่อนรอบวงจะผลัดกันทายว่าสิ่งที่เขียนอยู่บนกระดาษนั้นคือใคร ผมจำได้ว่าตัวเองเขียนคำว่า “นักวิ่งมาราธอน” ลงไป เพราะรู้สึกว่าคนเรามันก็เหมือนนั่งวิ่ง ที่ทุกวันวิ่งไปบนเส้นทางชีวิตของตัวเอง แต่เส้นทางการเรียน 6 ปีของผม ดูเหมือนจะยาวนานกว่าของเพื่อนคนอื่นในค่ายเดียวกันทั้งหมด แถมบางทีมันก็หนักและเหนื่อยจนแทบอยากหยุดวิ่ง เรื่องราวของพี่แคททำให้ผมรู้สึกว่าพี่แคทเองก็เป็นอีกคนหนึ่งที่เป็นนักวิ่งมาราธอนเหมือนกัน แต่ที่เจ๋งก็คือพี่แคทไม่เคยคิดจะหยุดวิ่งเลย แม้เส้นชัยจะยังอยู่อีกไกลแต่พี่แคทก็ยังคงวิ่ง วิ่ง วิ่ง ไปเรื่อยๆอย่างมีจุดหมาย
ใครว่าเวียงชัยไม่มีสเตเดี่ยมวิ่งแข่งหละครับ อย่างน้อยผมก็เห็นพี่แคทคนนึงแหละ ที่มุ่งมั่นวิ่งไปข้างหน้าบนลู่วิ่งชีวิต ที่เวียงชัยสเตเดี่ยมแห่งนี้อยู่ทุกวัน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in