อย่างที่เคยเล่าไปก่อนหน้านี้ว่า mission การออกชุมชนของพวกผมคือการมาเรียนรู้ระบบการทำงานของห้องฟันใน รพช. รวมถึงเรียนรู้ชุมชน ความคิดและความเป็นอยู่ของชาวบ้าน ในวันที่พวกเราต้องลงชุมชนกันจริงจัง พี่พจได้ฝากฝังลุงทุน อสม. (อาสาสมัคร) ขาเลาะแห่งเวียงชัยให้พาพวกเราไปสัมผัสวิถีชีวิต local อย่างแท้ทรูของคนที่นี่
ลุงทุนพาพวกเรานั่งท้ายกระบะอาบแดดเวียงชัยกันชิคๆ ไปเจอพ่อหลวง (ภาษาคำเมืองแปลว่าผู้ใหญ่บ้าน) ของหมู่บ้านร่องบัวลอยที่หน้านาครับ พอลงรถก็เห็นเพิงไม้ริมคันนามีชาวบ้านนั่งจับเข่าคุยกันอยู่ ในใจนี่อยากวิ่งกรีดร้องสาวแตกเข้าไปหลบแดดอยู่ในนั้นทันที แต่มาลงชุมชนทั้งทีก็ต้องรักษาท่าทีกันหน่อย แดด ฝน ลม ฝุ่น แค่นี้ต้องทนได้ พวกเราแทรกตัวเข้าไปร่วมอยู่ในวงสนทนาอย่างแนบเนียน ไม่นานก็ถูกพ่อหลวงชวนให้มากินมื้อกลางวันกันที่บ้าน ตอนแรกก็เกรงใจครับเลยหันหน้าหันหลังอิดออดพอเป็นพิธี แต่รู้ตัวอีกทีสัญชาตญาณดิบก็ครอบงำ พยักหน้ารับคำเชิญของพ่อหลวงไปเรียบร้อยซะแล้ว
ระหว่างที่แม่หลวง (ภรรยาพ่อหลวง) กลับไปปรุงเสน่ห์ปลายสากโขกน้ำพริกตัวโยกตัวโยนให้พวกเราอยู่ ลุงทุนกับพ่อหลวงก็อาสาเป็นสารถีขาแว๊นจำเป็น แบ่งพวกเราขึ้นรถสามล้อเครื่อง 2 คัน ขับวนชมวิวและเดินนารอบหนองหลวง แหล่งกักเก็บน้ำสำคัญของเวียงชัยอีกพักใหญ่ ก่อนพาเราไปสงบสติกระเพาะมื้อเที่ยงกันที่บ้านพ่อหลวง พอมาถึงไม่กี่อึดใจแม่หลวงก็เดินมาเรียกพวกเราไปกินข้าวหลังบ้าน ภาพที่เห็นทำให้ต้องรีบคว้ามือถือมาหามุมถ่ายลงไอจีทันที ตามสไตล์เด็ก Gen Z ขี้อวดลงโซเชี่ยลอาหารพื้นถิ่นนับสิบชามพร้อมข้าวเหนียวในกระติกอีกไม่อั้น ถึงแม้จะวางเรียงกันบนพื้น คั่นรองด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์เก่าๆ แต่ก็ให้บรรยากาศอบอุ่นเอมใจ แม้จะไม่ได้หรูหราแต่บอกได้เลยครับว่ามันคือภาพและบรรยากาศที่ผมอยากบันทึกไว้ไปอวดเพื่อนมากที่สุดเลย
ตกบ่ายพอได้ซัดอาหาร full course จนเปรมพุงก็ต้องง่วงกันเป็นธรรมดา พ่อหลวงเห็นท่าว่าถ้าปล่อยให้นั่งๆนอนๆไปคงเบื่อเลยชวนพวกเราไปร่วมพิธีบายศรีสู่ขวัญ พวกผมเองก็เห็นว่าไม่น่าจะเสียหายอะไรแถมยังได้เปิดหูเปิดตาเลยตอบรับ OK ไปอย่างง่ายดาย ต้องขอบอกอย่างงี้ก่อนครับว่าพ่อหลวงเองยังมีอีกบทบาทหนึ่งในชุมชนเป็นพ่อหมอทำพิธีบายศรีสู่ขวัญครับ พ่อหลวงเล่าว่าพิธีบายศรีฯ เป็นพิธีดั้งเดิมของล้านนาทำเพื่อเรียกขวัญให้กลับมาหาเจ้าของ เป็นการรักษาเยียวทางจิตใจ แถมพ่อหลวงเองก็เป็นคนที่สามารถทำพิธีนี้ได้เป็นคนสุดท้ายของเวียงชัยแล้วด้วย โชคดีของพวกเราที่บ่ายวันนั้นมีคนเชิญพ่อหลวงไปทำพิธีพอดี พวกเราเลยกลายเป็นแขก exclusive ได้อยู่ร่วมตลอดทั้งพิธีเลยหละครับ
การทำพิธีเรียกขวัญตามธรรมเนียมก็จะมีของเซ่นเป็นดอกไม้และอาหารจำพวกเหล้า เป็ด ไก่ คุณลุง คุณป้าเจ้าของบ้านที่เชิญพ่อหลวงไปทำพิธี คงเห็นใจสายตาบ้องแบ๊วของหมอๆพุงโลที่นั่งจุ้มปุ๊ก มาตั้งแต่ต้นยันท้ายพิธี เลยห่อไก่บ้านของเซ่นมัดถุงพลาสติกอย่างดีฝากให้พวกเรากลับมาเป็นที่ระลึก หลังเสร็จพิธีลุงทุนพาพวกเราลาพ่อหลวงและคุณลุงคุณป้ากลับบ้านพัก ระหว่างนั่งท้ายกระบะกลับอินทนิล พอนึกย้อนความทรงจำที่เกิดขึ้นตลอดทั้งวันท่ามกลางบรรยากาศอาทิตย์ทอแสงจวนลับปลายนาผสานกับไอดินและกลิ่นฝนที่คลุ้งอยู่ตรงหน้า มันชวนให้ผมอดอิจฉาคนที่นี่ไม่ได้จริงๆ ตลอดช่วงเวลาที่ผมได้มาสัมผัส พูดคุย หัวเราะและพักพิงกับผู้คนที่ร่องบัวลอย ความเอื้อเฟื้อเอ็นดูที่ผมได้รับแผ่ขยายความรู้สึกและมุมมองที่ผมมีต่อชุมชนออกไปอีกมาก เป็นมุมมองที่ไม่ว่า lecture ไหนในวิชาชุมชนก็ไม่สามารถให้ความรู้สึกสัมผัสแบบนี้ได้
ชีวิตที่ร่องบัวลอยแม้จะสมถะเรียบง่ายแต่ก็รุ่มรวยในน้ำใจ เป็นชีวิตที่เชื่อว่าคนเมืองใหญ่หลายๆคนอย่างเราๆยังต้องอิจฉา ผมจากร่องบัวลอยกลับโรงพยาบาลด้วยความรู้สึกอิ่ม แต่อิ่มครั้งนี้แปลกกว่าครั้งก่อนๆคือไม่ได้อิ่มท้องแต่อิ่มรัก
อิ่มรัก...ร่องบัวลอย
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in