ความใคร่ ความเคียดแค้น ชิงชัง
และความหลงมัวเมา
เหล่านี้เป็น อ นั ต ต า ไม่มีตัวตน
เป็นเพียงสภาวะที่ปราศจากแก่นสาร
มันเกิดมาจากความว่างเปล่า
แล้วกลับคืนสู่ความว่างนั้นอีก
โดยไม่มีอะไรหลงเหลือ
ฉะนั้นจง ป ล่ อ ย ว า ง สิ่งเหล่านั้นเสีย
ให้เป็นไปตามเรื่องของมัน
โดยท่านไม่ต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยว
ถ้าท่านพบกับสิ่งที่ไม่น่าอภิรมย์
ไม่จำเป็นต้องมุ่งทำลายล้าง
เพราะมันจะจากไปตามทางของมัน
คนที่เห็นแก่ตัวมักพูดว่า
“ฉันไม่ชอบเรื่องอย่างนี้ จะต้องกำจัดมันเสีย”
จะก่อให้เกิดสถานการณ์ยุ่งยากซับซ้อนกว่า
เจ้าตัวความปรารถนาที่จะกำจัดนั้น
จะเป็นปัจจัยให้มันเกิดขึ้นอีก
เพราะเราไม่ได้มองเห็นว่ามันตายไปเอง
ตามธรรมชาติ
เรากำลังนั่งอยู่ในห้องอันเต็มไปด้วย
ผลแห่งกรรม
ซึ่งเราถือว่าเป็นตัวตน ยั่งยืนถาวร
ไปไหนเราก็หอบหิ้วมันไปด้วย
ท่านล่ะ แบกอะไรไปบ้าง
ความเคียดแค้นริษยา ความหลงมัวเมา
ความหวาดกลัว และเรื่องราวที่ผ่านในอดีต
เพียงแค่นึกถึงชื่อคนที่เคยให้ทุกข์กับเรา
เราก็เกิดอารมณ์เสีย เผาผลาญตนเอง
.
.
แต่เราในฐานะนักปฏิบัติ
เราฟันฝ่าความทรงจำเหล่านั้น
เราจะมองให้เห็นว่า ความทรงจำก็ดี
ความขมขื่นก็ดี เป็นสภาวะธรรมที่ไม่เที่ยง
สิ่งเหล่านั้นเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
เปรียบเหมือนกับเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา
มันจะงามวิจิตร หรือสกปรก ดำหรือขาว
มันก็เป็นเม็ดทรายอยู่อย่างนั้น
จงเงี่ยหูฟังเข้าไปข้างใน
เมื่อกายของท่านเจ็บ
ก็จงสำรวจที่ดวงจิต
ฟังคำรำพัน คำร้องทุกข์
หรือฟังเมื่อท่านเกิดปิติ
ฟังเทวดาที่กำลังเสพอยู่กับความสำราญ
จงวางตัวเป็นคนนิ่งฟัง
อย่าไปเข้าข้างเทวดาหรือภูติผีปีศาจ
ถ้ามันเป็นเพียงสภาวธรรมอย่างหนึ่ง
มันย่อมมีจุดจบ
จงกำหนดรู้และปล่อยให้สิ่งต่างๆ
เป็นไปตามเรื่องของมัน
มันเป็นของไม่เที่ยง อย่าไปยุ่งเกี่ยว
.
.
ใจคนสมัยใหม่มักจะคิดว่า
มีมารร้ายสิงอยู่ภายใน
ถ้าเผลอนิดเดียว มันก็จะเล่นงานท่าน
ทำเอาจนเสียสติ บางคนอยู่กับความกลัวเช่นนี้
เจ้ามารร้ายพวกนี้มันคือ "สังขาร"
หรือความคิดปรุงแต่งอย่างหนึ่งเท่านั้น
เหมือนเม็ดทรายเม็ดหนึ่งในแม่น้ำคงคา
อาจจะเป็นทรายสกปรก แต่มันก็เท่านั้นเอง
ถ้าท่านเห็นทรายสกปรก
แล้วเกิดอารมณ์เสียทุกครั้ง
ชีวิตของท่านจะยุ่งยากลำบากยิ่ง
บางครั้งเราต้องยอมรับว่า
ทรายบางเม็ดมันสกปรกน่ารังเกียจ
ก็ให้มันน่าเกลียดไป อย่าไปเกิดอารมณ์เสีย
.
.
ที่เรากำลังปฏิบัติอยู่นี้
คือเพ่งดูที่ปัจจัยปรุงแต่ง
ซึ่งเปรียบเสมือนมารร้ายที่ซ่อนเร้น
หรืออำนาจลึกลับที่ถูกกดเอาไว้
จะเรียกอีกนัยหนึ่ง ก็คือสังขารนั่นเอง
ท่านจงเป็นฝ่ายพระพุทธองค์ คือฝ่าย "รู้"
แม้อวิชชาก็ให้เห็นว่าเป็นสภาวะไม่เที่ยง
ประเดี๋ยวรู้ ประเดี๋ยวไม่รู้ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา
เมื่อมีมืดก็มีสว่าง
มีกลางวันก็มีกลางคืน
เปลี่ยนอยู่เช่นนี้ไม่มีอะไรเป็นตัวตน
ถ้าท่านดำรงเป็นผู้รู้อยู่
ก็จะไม่มีภพชาติ
แต่ถ้าไปมีปฏิกิริยาต่อสังสารวัฏ
คือ การเวียนว่ายตายเกิด
ท่านจะเป็นโรคประสาท
เพราะมันเป็นเรื่องไม่จบไม่สิ้น
.
.
กี่ชั่วชีวิตคนแล้วที่หมดไปกับการไป
ไหวติงต่อเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา
ท่านคิดว่า ท่านจะต้องมีเวทนาหรือ
อารมณ์ขานรับ ต่อเม็ดทรายทุกเม็ดหรือ
เกิดปิติเมื่อเห็นเม็ดงามๆ “สุขเวทนา”
เศร้าหมองกับส่วนที่สกปรก “ทุกขเวทนา"
คนเราก็ทำอยู่อย่างนั้น
จึงทำให้เกิดอาการมึนงง อ่อนเพลีย
ต้องการจะกำจัดมันให้สิ้นไป
โดยหันไปใช้ยาบ้าง ดื่มเหล้าจนเมาจนมึนชา
เราปฏิบัติอยู่นี่
คือแทนที่จะไปสร้างเกราะหรือเปลือกหุ้ม
แล้วซุกซ่อนตัวหลีกลี้ด้วยความกลัว
เราจะมองให้เห็นว่า ไม่มีอะไรเป็นแก่นสาร
เราไม่ต้องไปทำให้มันชาต่อความรู้สึกใดๆ
แต่จะมีความไวต่อความรู้สึกมากขึ้นไปอีก
จะมีความแจ่มใสอยู่ตลอดเวลา
ในความโชติช่วงชัชวาลนี้ จะมี “วิชชา”
หรือ “ธาตุรู้” ว่า ถ้ามีเกิด ก็มีดับ
นี่แหละคือ ธรรมะ
ที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ตรัสรู้
???
ธรรมะ จาก พระสุเมธาจารย์ (สุเมโธ ภิกขุ)
ที่มาส่วนหนึ่งจาก : สำ เ ห นี ย ก จิ ต
จากหนังสือ "จิตตวิเวก ธรรมจากจิตอันสงบ"
น.พ.วิเชียร สืบแสง แปล
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in