Darling,
You look perfect tonight
รู้จักกันได้ยังไง?
- ก็อยู่คณะเดียวกัน ตอนนั้นฟินน์อายุสิบแปดครับ
ส่วนพี่แซนก็สิบเก้า
- มาคุยกันเยอะๆ คือตอนเล่นละครเรื่องเดียวกัน เป็นโปรพี่ปุยฝ้าย จำได้เลย
คือตอนนั้นเอาจริงๆ ไม่อยากยุ่งกับมันเลยอะ
เพราะมันนิสัยไม่ดี
- รู้ได้ไงว่านิสัยไม่ดี เธอคิดไปเองอะ
- รู้แล้วกัน
- ก็คือ ตอนนั้นนะ แซนโคตรเหม็นหน้ามันเลย
แบบ มันดูเป็นผู้ชายที่ไม่น่ายุ่งด้วย ตอนคุยกันแรกๆ ก็ยอมรับจริงๆ
ว่าไม่ค่อยเชื่อใจมันเท่าไหร่
- น้อยใจว่ะ
- น้อยใจไรล่ะ ก็ตอนนั้นเธอคุยซ้อนไปเรื่อย
- แซนก็เลยไม่ยอมตอบตกลงว่าจะคบสักทีครับ
‘เป็นแฟนกันนะ’
‘ไม่’
‘ใจอ่อนสักทีเหอะแซน ยอมหน่อยได้มั้ย คบกันเถอะ สัญญาเลยว่าจะไม่เปลี่ยนไป’
ฟินน์จำไม่ได้ว่าตอนนั้นเขาถามแซนไปกี่รอบ ถามแล้วถามอีกในทุกสถานที่ตั้งแต่ริมแม่น้ำที่จะให้บอกมั้ยว่าน้ำไหนบ้างน้ำปิงยันน้ำโขงยันน้ำเจ้าพระยา หรือน้ำในอ่างอาบน้ำ หรือน้ำอย่างอื่นที่ถ้าพูดแซนต้องด่า (หมายถึงน้ำตา) คือทุกน้ำแล้ว และฟินน์มั่นใจมากว่าเขาถามเกินสิบรอบ แต่แซนก็ยังไม่ยอมตอบ
ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าแซนคิดอะไรอยู่ แต่ก็นะ ระบบความคิดของแซนมันเป็นแบบนี้ ใครเข้าใจได้ล่ะก็มาบอกหน่อย จะพาไปเลี้ยงข้าว
แซนก็คือแซน แซนในตอนนั้นปิดประตูรถราคาแพงของเขาดังโครม (อย่าบอกแม่) แล้วเดินเข้าบ้านไปอย่างไม่สนใจคนมาส่งอย่างเขาเลยสักนิด แต่อย่าคิดว่าคนอย่างฟินน์จะถอดใจ เพราะคนอย่างเขาไม่มีคำว่ายอมแพ้
‘เป็นแฟนกันนะ!’
โอเค
ภาพตอนนี้ค่อนข้างทุเรศทุรังนิดหน่อย เพราะตอนนั้นแซนกำลังวิ่งรอบสนามจุ๊บ ส่วนเขาที่ตื่นสายแต่ก็ต้องมาวิ่งด้วยเพราะเป็นสตาฟรับน้อง ก็รีบวิ่งตามแซนให้ทัน แล้วพยายามทำตัวเป็นพระเอกหนังเกาหลี ด้วยการวิ่งถอยหลัง แล้วมองหน้าแซนที่วันนี้ไม่มีเครื่องสำอางประดับ
แน่ล่ะว่าคนขี้วีนอย่างแซนรีบเอามือไปตีแขนเขา พร้อมออกแรงผลักให้ฟินน์ออกไปพ้นทาง แล้วกระชับหูฟังให้แน่นขึ้น พร้อมเร่งเสียงเพลงให้ดังขึ้นตามไปด้วย
แน่นอน เด็กดื้ออย่างฟินน์ก็ถือโอกาสนี้ลดสปีดการวิ่งแล้ววิ่งไปพร้อมๆ กับแซน พร้อมร้องเพลง ‘เป็นแฟนกันนะแซน เป็นแฟนกัน เมื่อไหร่แซนจะยอมเป็นแฟน ขอจนเหนื่อยแล้วนะ’ อย่างไร้สาระไปตลอดทาง และแน่ล่ะ ตราบใดที่โลกนี้มีผู้ชายชื่อจัสติน พี่จัสมันก็ร้องประสานเสียงกับฟินน์ไปด้วย ด้วยคำว่า ‘เล่นตัวมากระวังจะขึ้นคาน ระวังนะจะขึ้นคาน’
แซนก็เลยด่าเสียงดังว่าไอ้พวกเหี้ย เป็นค-ยอะไรมากมั้ยสัส -- ฟินน์กับจัสตินก็เลยหุบปากและเจี๋ยมเจี้ยมเป็นหมาเลยทีเดียว
จนขึ้นปีสอง ตอนนั้นแซนต้องทำหน้าที่เป็นพี่รับน้อง เลยไม่สามารถทำกิจกรรมอะไรได้มากนัก ตัวฟินน์เองก็แสดงออกให้น้องเห็นมากไม่ได้ว่าเป็นแฟนแซน เราสองคนก็เลยห่างๆ ไปนิดหน่อยในระหว่างนั้น
‘เป็นแฟนกันนะ’ ฟินน์กระซิบถามแซนตอนที่เราพากันเดินไปซื้อน้ำ เพราะแซนขี้เกียจอยู่ดูน้องสันโต้ มันร้อน
‘เลิกขอได้ละ’ แซนตอบแบบนั้น แถมยังเดินหนีอีก ยอมรับตรงๆ เลยว่านั่นคือครั้งแรกที่รู้สึกเฟล
แล้วก็ต้องขอบคุณ ที่เขามีน้องรหัสคืออีเยลลี่
เพราะนั่นคือครั้งแรกที่แซนหึงหน้ามืด
‘ถ้ามันยังไม่เลิกยุ่งกับเธออีก กูจะจับหางม้ามันขึ้นมาแล้วจุ่มบ่อปลา ได้ยินมั้ย’
‘ใจเย็นดิเฮ้ย มันน้องรหัสอะ’
‘สัส’
โอเค มันเป็นการทะเลาะกันที่น่ากลัวนิดหน่อย เพราะปกติแซนจะไม่ขึ้นคำหยาบกับฟินน์ตอนที่เราอยู่ด้วยกันสองคน แต่ตอนนี้น่าจะโมโหมากพอดูอยู่เหมือนกัน เพราะเธอโวยวายเสียงดังลั่นห้องในคอนโดไอดีโอ้เลยทีเดียว
‘เธอเอาแต่บอกว่าเขาเป็นน้องรหัส แล้วจะอ่อยเขาทำเหี้ยไร’
‘เธอ ฟินน์ไม่ได้อ่อยเว้ย จริงๆ’ พูดไปก็พยายามจับแขนเขาไป แต่แซนก็สะบัดออก
‘ไม่ได้อ่อยเหี้ยอะไรอะ’ โอเค แล้วแซนก็ร้องไห้
ตอนนั้นบอกตรงๆ ว่าทำตัวไม่ถูก เลยทำได้แค่ยืนหน้าโง่ให้แซนร้องไห้อยู่ตรงหน้า พอจับตัวแซนก็หนี แล้วก็เอาแต่พูดว่า ‘มันอ่อยเธอ แล้วถ้าเธอชอบมันเราจะทำยังไงอะ’
ฟินน์ก็เลยรวบตัวแซนเข้ามากอด พร้อมกับพูดแบบพระเอกว่า ‘จะไม่ชอบใครหรอกนอกจากแซน’
‘มึงก็พูดแบบนี้ตลอด แล้วมึงก็ไปคุยกับแฟนเก่าอะ’
‘ขอโทษ’
แล้วก็จะต้องบอกมั้ยว่ามันจบยังไง
วันนั้นคืออยู่ดีๆ แซนก็จูบฟินน์ก่อน แล้วเราก็จบลงด้วยการที่นอนด้วยกัน ในแบบที่แซนเริ่มเองหมดเลย งงอะดิ ตอนนั้นเขาก็งงเหมือนกันนั่นแหละ
แต่งงกว่าคืออยู่ดีๆ แซนก็ลุกขึ้นมาชวนเขาไปขับรถเล่นตอนตีสอง ซึ่งฟินน์จะทำอะไรได้อะ นอกจากพูดว่า
‘เอาดิ’
และระหว่างทาง -- จำได้เลยว่าผ่านอนุเสาวรีย์ประชาธิปไตย เขาก็ถามแซนสั้นๆ ว่า ‘เธอ เป็นแฟนกันมั้ย’
ใครจะไปเชื่อล่ะวะว่าแม่คุณของเขาจะตอบว่า ‘อือ’ ในที่สุด
เล่นตัวเก่งแต่เขาก็ยังทนเนี่ย แสดงว่าน่าจะรักกันมากเลยนะ
- จัส มึงกวนตีนกูหรอ
- ก็รักจริงแหละ
รักแซนมากจริงๆ
จนรู้สึกว่าเออ ชาตินี้คงรักใครไม่ได้เท่านี้แล้วมั้ง
‘มันจะเจ็บมั้ย..’
‘ถามจริง?’
‘เคยอ่านมาว่า.. มันจะเลือดออก’
ใครจะไปคิดว่าบทสนทนานี้จะเกิดขึ้นตอนที่ฟินน์กำลังควักหาซองถุงยางในกระเป๋ากางเกง -- ในห้องพักที่เชียงใหม่ ใครจะไปคิดกันล่ะวะ
แล้วที่ยิ่งไปกว่านั้นนะ
คือตอนที่เขาบอกแซนว่าไม่เจ็บหรอก ก่อนที่จะเข้าไปฟอร์เพลย์ต่อแล้วพบว่าผู้หญิงที่ด่าคนทั้งโลกจะหุบขาแล้วหลับตาปี๋
‘พี่แซน แต่ถ้าพี่แซนเกร็งมันก็จะเจ็บนะ’
‘กลัวอะ’
‘งั้นให้พอแค่นี้มั้ย’
แล้วพี่แซนก็ส่ายหน้า เขาจึงหัวเราะแล้วก้มลงไปจูบเธอตามเดิม
เรานอนจูบกันนานหลายนาทีจนกระทั่งขาค่อยๆ ทำให้แซนยอมอ่อนยวบลงไปในที่สุด -- จริงๆ มันเป็นอะไรที่ที่ค่อนข้างแปลกมากสำหรับฟินน์ เพราะนี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่ผู้หญิงของเขาเกร็งมากได้ขนาดนี้
‘เธอ ไม่ต้องกลัว’
‘มันเจ็บ’
‘ขอโทษ แต่ไม่ต้องเกร็งดิ’
‘ฟินน์’
แต่เอาเข้าจริง คือฟินน์ก็เจ็บพอกัน เพราะแม่คุณเล่นจิกหลังเขาจนเป็นรอยไปหมด ทุลักทุเลเป็นบ้า แต่สุดท้ายมันก็ผ่านไปได้ด้วยดี
..แต่ก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าดีจริงมั้ย
เพราะฟินน์ตื่นมา
แซนก็นั่งร้องไห้เป็นหมา -- แล้วใครจะคิดล่ะวะว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น
‘เธอเป็นไรวะ’
‘นี่เธอเคยนอนกับใครมาแล้วบ้างอะ’
‘….’
‘มันไม่แฟร์เลย’
นั่นคืออีกวันหนึ่งที่เขาพบว่า พี่แซนของฟินน์เป็นมนุษย์ที่มีความซับซ้อนยิ่งกว่าทุกสาขาของวิทยาศาสตร์ และถึงแม้ว่าแม่คุณจะดูร้ายขนาดไหน แต่พออยู่ด้วยกันสองคนเธอก็กลายเป็นแค่ลูกแมวเท่านั้น
‘ไม่ใช่คนแรกแล้วมันยังไงหรอแซน’ เขาพูดพลางกระชับอ้อมกอด ‘สุดท้ายเธอก็เป็นคนสุดท้ายของฟินน์อยู่ดี’
ทะเลาะกันบ่อยมั้ย
(มองหน้ากันแล้วหัวเราะ)
ทะเลาะกัน เลิกกัน ดีกัน
ทะเลาะกัน เลิกกัน ดีกัน
ทะเลาะกัน เลิกกัน..
เราเลิกกันครั้งแรกที่บาหลี
เท่ซะไม่มี.. และนั่นคือเรื่องที่ฟินน์สั่งและสอนทุกคนที่คบกันในช่วงนั้นว่า ‘มึงห้ามจองไปเที่ยวต่างประเทศล่วงหน้านานๆ กับแฟนนะไอ้สัส เลิกกันแล้วมึงจะหนาว’
ตอนนั้นนับได้ว่าเป็นช่วงที่ประสาทแดกที่สุดของฟินน์ คือก็ความผิดของเขาเองนั่นแหละที่ละเลยแซน แต่ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเลิกกันแล้วฟินน์เหมือนจะตาย อยู่ไม่ได้จริงๆ ไอ้สัส ถ้าชีวิตนี้ไม่มีแซน เขาจะต้องตาย ตายแน่นอน
ตายแค่ไหนก็ไปถามอีเท็นอีเอยดิ
‘กูกราบตีนมึงล่ะนะฟินน์ เลิกแดกเบียร์เหอะ’
‘โอ๊ย มันจะอะไรนักหนา เลิกกับเมียหรือใครตาย อีควาย’
‘มึง คือกูพูดจริงๆ พี่จัสมันก็ห่วงทั้งมึงทั้งพี่แซน’
‘ส่วนอีดีนก็คือต้องไปตาย’
‘เอย กูไม่ได้พูดถึงเรื่องพี่ดีน’
‘มันเหี้ย’
‘มึงเป็นบ้าไรกัน’
นั่นแหละ เขาคือเจ้าของประโยคที่เอ่ยขัดให้พวกมันเงียบ -- เพราะตอนนี้พวกเรากำลังนั่งอ่านหนังสือกันอยู่ในทรูคอฟฟี่ อีกไม่กี่นาทีจะเริ่มควิซ ซึ่งมันเป็นควิซก่อนเรียน มึงจะเป็นบ้าอะไรนักหนา จริงๆ ปกติฟินน์ก็ไม่ค่อยบ้าเรียนอะไรนักหรอกนะ แต่โดนอีเท็นอีเอยบิ๊ว คนอย่างเขามันก็คล้อยตามอะ
และขอร้องเขายังจำอะไรไม่ได้เลยนอกจากคำว่า demand และ supply
ไม่กี่วินาทีต่อมา เอยกับเท็นก็ออกจากทรูไปซื้อขนมร้านพี่แมน ปล่อยให้เขานั่งทำหน้าเหมือนหมาป่วยอยู่ในทรูคนเดียว แต่ที่ยิ่งกว่านั้นคือ จู่ๆ ผู้หญิงคนหนึ่งก็เดินเข้ามา
ผู้หญิงคนนั้นชื่อแซน
และนั่นคือวินาทีแรกที่ฟินน์รู้ตัว่าเขาไม่มีวันเลิกกับคนคนนี้รอด เพราะไอ้ที่พยายามมาตลอดเนี่ย.. บอกเลยว่าล้มเหลวไม่เป็นท่า เขาคิดถึงแซนเป็นหมาเลยไอ้สัส!!!!
‘เลิกเจอกันเถอะ’ แซนพูดอย่างนั้นทั้งๆ ที่ร้องไห้เป็นควาย -- ส่วนเขาก็ไม่ต่างกัน ทั้งอ้อนวอน ร้องขอ และบอกแซนว่าจะทำตัวให้ดีขึ้น แต่ผู้หญิงใจร้ายคนนั้นก็ไม่ยอมเชื่อ ‘ถ้ายังเจอกันแบบนี้อยู่ ยังไงเราไปไหนไม่ได้จริงๆ เว้ย สงสารเราได้มั้ย’
แล้วไงต่อ
ก็ห่างจริงๆ
แซนไปมีคนคุยใหม่ ส่วนเขาก็เมาเป็นหมา
และดูเหมือนว่าโชคชะตาจะเล่นตลก ฟ้าส่งให้เขาต้องมาถ่ายงานให้กลุ่มแซน
‘แซนห้าสองนะ ฟินน์ใช่มั้ย’
วินาทีที่แซนทักมาแบบนั้น บอกตรงๆ ว่าเจ็บเจียนตาย ถ้านึกภาพไม่ออกว่าเจ็บแค่ไหน ก็คือผู้ชายตัวโตๆ ต้องวิ่งไปอาบน้ำแบบในเอ็มวี แล้วร้องห่มร้องไห้เป็นหมา
ก็มันลืมไม่ได้ มันรักจนจะตาย รักจนทำใจอยู่ไม่ได้จริงๆ ถ้าไม่มีแซน
และเหมือนว่าแซนเองก็คงคิดแบบนั้นเหมือนกัน
เพราะในระหว่างที่เธอไปเที่ยวกระบี่กับคนคุย เราสองคนก็กลับมาคุยกันแบบหมดเปลือกอีกครั้ง
ตอนนั้นเองที่เราต่างคนต่างทำลายทุกกำแพง แล้วยอมรับว่าต่างคนต่างคิดถึงกันมากแค่ไหน
ถึงบอกไง
ทะเลาะกัน เลิกกัน ดีกัน
สุดท้ายพวกเราก็กลับมารักกันเหมือนเดิม
กูจะอ้วก
- เรื่องของมึง / เรื่องของมึง
‘มีเรื่องราวมากมาย ที่ไม่มีใครได้ฟัง..’
มันคือเหตุการณ์ที่ใครๆ ก็บอกว่าอ้วกจะแตก แต่ฟินน์ภูมิใจมากๆ กับการเล่นดนตรีไปแล้วร้องเพลงของขวัญให้แซนได้ฟังในเทศกาลวินเทอร์อะคูสติก และนึกขอบคุณเพื่อนๆ แซนที่พากันอุ้มแซนมานั่งบนเก้าอี้ตรงข้ามเขา ให้เราสองคนได้สบตากันประกอบเพลงนี้ไปด้วย
‘อีควาย’ แซนขมิบปากเป็นคำนี้แบบไม่มีเสียง โดยคำตอบจากฟินน์คือการที่เขาทำปากจู๋เป็นการส่งจูบไปให้เธอ และท่ามกลางเสียงกรี๊ดจากชาวคณะ (อยากมีผัวโว้ย! -- แก้ม 52 ตะโกนฝ่าฝูงชน) ฟินน์ก็ลุกขึ้นยืนแล้วคว้ามือแซนให้ไปนั่งด้วยกัน
และแน่นอน
ชีวิตของเราทั้งสองคนไม่เคยขาดเรื่องราวของผู้ชายคนนี้
‘ยิ้มหน่อยอีแซน อย่าทำหน้าเหมือนจะฆ่าคน’
นั่นก็คือเสียงของผู้ชายร่างยักษ์ที่ชื่อจัสติน
จัสตินคือเพื่อนสนิทของแซน มันกำลังถือกล้องฟิล์มถ่ายรูปเราสองคนที่อีกไม่กี่สัปดาห์ต่อมามันก็เอามา
โชว์ให้ฟินน์ได้ดู ปรากฏภาพเขากอดคอแซนพร้อมชูนิ้วโป้งว่าเยี่ยมไปเลย ส่วนแซนก็ทำหน้าเหมือนจะฆ่าเขา
นี่แหละนะ.. ความสัมพันธ์ของเราสองคน
คบกันมากี่ปี
- กี่ปีวะ
- ก็ตั้งแต่ฟินน์ยังไม่ยี่สิบอะ เธอพรากผู้เยาว์
- อีควาย
- ไม่พูดคำหยาบได้มั้ยครับ ลูกคุณดูอยู่
- เจ็ดปี น่าจะเจ็ดปี
-แต่เป็นเจ็ดปีที่นรกมาก พูดจริงๆ
- นรกตรงไหนวะคุณ อย่าพูดงี้ดิ
- เธอ คือเราเป็นบ้าอะ
- ก็จริง ไม่เถียง แต่มันไม่ได้เรียกว่านรกเว้ย
นรกยังไงบ้าง ยกตัวอย่างหน่อย
- ไม่เอาคลิปนี้ให้วีว่าดูได้มั้ย กูกราบเลยอะ ให้มันจบแค่นี้
- แต่อันนี้คือพี่จัสมันจะเอาไปเปิดในงานแต่งเรานะแซน
- มึงตัดพาร์ทนี้ออก
- วีว่าบอกว่า วีว่าชินแล้วค่ะที่หม่ามี๊
มีช่วงนึงที่แซนเป็นบ้า อยู่ดีๆ ก็เป็นบ้ากับความฝันของตัวเอง อยากไปเรียนบัลเล่ต์เป็นอาชีพ
และใช่
เข้าใจคำว่าเป็นบ้ามั้ย
คือแซนอะ รำคาญฟินน์ทุกย่างเก้า แบบที่ตอนนั้นเพื่อนๆ ก็รุมด่ากันว่ามึงเป็นเหี้ย เอาเป็นว่าตอนนั้นคือ
ครั้งแรกเลยที่แซนเห็นฟินน์ร้องไห้เพราะน้อยใจ
ถ้าถามว่าเหตุการณ์มันจบลงยังไง
ก็บอกได้เลยว่า.. จบลงที่พชรเมาแล้วขับ รถชนตามระเบียบ
ไม่รู้สึกตัวอยู่หลายวัน ใครจะไปคิดว่าดาราวัยรุ่นอนาคตไกลจะประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ตอนนั้นแซนทำอะไรไม่ถูก คิดอยู่อย่างเดียวว่าตัวเองผิด และมันอาจจะเป็นครั้งที่สอนให้แซนรู้ว่า เราไม่ควรที่จะทำดีต่อใครเพียงเพราะว่าเขากำลังจะจากเราไป
แต่ฟินน์หนังเหนียว ยังไงก็ไม่ตายหรอก
‘ร้องไห้ทำไม.. ยังไม่ตายซะหน่อย’
ฟินน์ไม่ตาย แล้ววันนั้นก็คืออีกหนึ่งจุดเปลี่ยนที่ทำให้เรารักกันกว่าเดิม
กูจะอ้วก
- อย่าพูดคำหยาบ!
จริงๆ
เรื่องราวของพวกเราสองคน ก็นับว่าประหลาดแล้วก็น่าอ้วกจริงๆ นั่นแหละ
ใครจะไปคิดกันล่ะวะ ว่าวันหนึ่งแซนจะรักเขามากถึงขนาดโยนหน้าที่การงานในเอเจนซี่โฆษณาของตัว
เองทิ้งไป เพียงเพราะว่าเธอไม่อยากไปทำลายชีวิตของเขา
และตอนนั้น.. ตอนนั้นแซนหายไปหกเดือน
มันคือหกเดือนที่ไม่มีใครติดต่อได้ หกเดือนที่ทุกคนวุ่นวายไปหมด
และเป็นหกเดือนที่ฟินน์เหมือนอยู่ในนรก
แต่สุดท้าย.. โชคชะตาก็พาเธอกลับมา
‘เราจะแต่งงานกันมั้ย’ ฟินน์เอ่ยถามในตอนที่แซนกำลังนั่งลูบท้องอยู่ในห้องรอแถลงข่าว -- เขายังคงจับมือเธอไว้แน่นไม่ต่างจากตอนที่เพิ่งออกจากสนามบิน
บอกตรงๆ นะ.. ซีนนั้นฟินน์โคตรพระเอก
แล้วก็คงความพระเอกอย่างเสมอต้นเสมอปลาย มาจนถึงตอนที่จอดรถในตึกแล้วพาแซนขึ้นมายังห้องแต่งตัว ที่ทีมพีอาร์จัดแจงไว้ให้ นอกจากนี้เขายังพาแซนไปสวัสดีผู้ใหญ่ไปทั่วห้อง โดยเฉพาะผู้ใหญ่ที่แซ
นกลัวที่สุด
ผู้หญิงคนนั้นอยู่ในเสื้อเชิ้ตสีขาวตามแบบที่คุณนายเธอชอบใส่ -- ใช่ เธอคือแม่ของฟินน์ที่นั่งอยู่ข้างกันกับพี่ติน บนใบหน้าทั้งสองคนไม่ได้มีรอยยิ้มกว้างอยู่แบบที่ปกติจะเป็น แต่กลับถูกคลุมไว้ด้วยความตึงเครียดบางอย่างแทน
เขาถอนหายใจ
แล้วจับมือแม่ให้มาจับกันกับมือสั่นๆ ของแซน -- แม่หันมามองเขาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยคำถามว่าทำไม ส่วนแซนที่ตาแดงๆ มาตั้งแต่ก่อนเข้าห้องก็น้ำตาหยดแหมะ
‘หายโกรธแซนได้แล้วแม่ พาหลานมาหาแล้ว’
ฟินน์จัดการใช้มือข้างหนึ่งลากเก้าอี้มาให้แซนนั่ง ผู้หญิงที่ท้องเจ็ดเดือนจึงได้เริ่มเอ่ยปากพูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆ
‘คุณแม่..’ ไม่ทันได้พูดอะไรมาก แซนก็ร้องไห้ตั้งแต่พูดคำว่าแม่จบ ตอนนั้นคุณนายของฟินน์จึงได้จัดการรวบตัวคนตัวเล็กเข้ามากอดไว้แทน
เขาหันไปมองพี่ตินที่นั่งอยู่ไม่ไกลกัน รายนั้นขยับปากว่า ‘ชีโมโห’ โดยมีฟินน์พยักหน้าเป็นการตอบรับ แต่ยังจับไหล่สั่นๆ ของแซนไว้
‘ทำไมถึงไม่บอกสักคำล่ะลูก แก้ปัญหาแบบนี้ใช้ไม่ได้เลยนะรู้มั้ย’ นี่แหละคำด่าของแม่ ที่ทำเอานายพชรขำพรืด ก่อนจะขำไม่ค่อยออกในประโยคถัดมา ‘น้องฟินน์เขาตามหาหนูตั้งหลายเดือนเลยนะน้องแซน น้องเขาเครียดมากจนแม่กลัวเขาเป็นอะไรไปเลยรู้มั้ย’
‘ขอโทษนะคะ’
‘เอาน่าแม่ ฟินน์ไม่ตาย เห็นมั้ย ครบสามสิบสองเลย’
‘แซนขอโทษ แซนไม่รู้จะทำยังไงจริงๆ’
‘น้องแซน พี่ว่าไปแต่งหน้าก่อนดีกว่า เดี๋ยวเราค่อยไปคุยกันตอนถึงบ้าน’ พี่ตินเอ่ยขัดจังหวะ โดยมีฟินน์พยักหน้าเห็นด้วย เพราะเวลาก็ปาเข้าไปสิบโมงเช้าแล้ว อีกสามชั่วโมงการแถลงข่าวจะเริ่มขึ้นพอดี และเรายังไม่ได้บรีฟอะไรกันสักคำ
แซนนั่งอย่างเก้ๆ กังๆ บนเก้าอี้เพื่อให้ทีมงานแต่งหน้าให้ ส่วนฟินน์ก็จัดการถือโทรศัพท์คุยกับเพื่อนๆ รวมทั้งรุ่นพี่และรุ่นน้องที่โทรเข้ามาถามข่าวเรื่องแซนกันจนเขาหูจะดับ ไม่นานนักเท็นกับจัสตินก็เดินเข้ามาในห้อง พร้อมกับเสียงโวยวายผ่านโทรศัพท์ที่จัสถึงกับทำหน้าเหมือนปวดขี้ใส่ฟินน์กับแซนที่มองมาอย่างงงๆ
‘อีเรเชลร้องจะมาหามึง’ จัสว่า แล้วคว้าเก้าอี้มานั่งข้างๆ แซน ในมือมันถือกล้องวิดิโอไว้ ส่วนเท็นก็หันไปจัดผมให้ฟินน์ พร้อมบอกให้เพื่อนได้รู้ว่าอีเอยกำลังมา
‘แล้วจะมามั้ย’
‘โน มันไปเที่ยวกับผัวที่ฝรั่งเศส จะอ้วก’
แซนหัวเราะ แล้วยื่นมือไปจับกับมือจัส เรียกให้ผู้ชายตัวโตในเชิ้ตดำหันมามองอย่างงงๆ
‘มึงคิดไรกับกูปะเนี่ย’
‘กูยอมตายดีกว่า’ แซนตอบ ก่อนจับมือจัสให้แน่นกว่าเดิม แล้วพูดเสียงเบา ‘ดีนอะ’
‘ถามหาผัวเก่าทำไม’
‘กูคิดไม่ออกว่าจะพูดอะไร -- ก็ดีนมันฉลาด’
‘กูก็ฉลาดปะ’ จัสโวยวาย
‘มึงฉลาด แต่ดีนมันคิดคำเก่งอะ’
‘แล้วพีอาร์ไม่มี speech ให้มึงหรอ’ แซนส่ายหน้า
‘เขาให้มาแค่บรีฟว่าพูดยังไงก็ได้ไม่ให้กระทบชื่อเสียงบริษัท ให้บอกไปว่าชื่ออะไร เป็นใคร คบกับฟินน์มานานแค่ไหน แล้วทำไมไม่เคยออกมาพูดอะไรเลย’
‘มึงก็พูดไป เคยเรียนสปีชกับครูโอ๋มาตอนปีหนึ่ง มันไม่ยากอะไรนักหรอก’
‘ก็นั่นมันปีหนึ่ง’
‘ไม่มีอะไรยากไปกว่าการสอบสปีชแล้วสัส’
จัสว่าพลางยื่นมือไปลูบหัวแซนเหมือนลูบหัวหมา ‘แล้วก็จบงานนี้ไปตัดผมได้แล้วนะ ผมยาวแล้วโคตรไม่ใช่มึง’
‘หรอ’
‘เรื่องทำผมดัดลอนเนี่ย กูขอให้เรเชลมันทำคนเดียว มึงอย่าเลยแซน กูขนลุก’
แซนหัวเราะ ก่อนจะเงียบลงเมื่อจัสวางกล้องวิดิโอลง แล้วกุมมือของเธอไว้ด้วยมือใหญ่ทั้งสองข้าง
‘มึงไม่ต้องกังวลอะไร แถลงข่าวแค่แป๊บเดียว และกูเชื่อว่ามึงจะทำได้ดี’
‘...’
‘หรืออย่างน้อยถ้าคิดอะไรไม่ออก มองหน้ากูไว้ กูจะอยู่ข้างล่าง ไอ้ยูกับไอ้ดีนกำลังมา อิศราก็มาด้วย’
‘มึง..’
‘หยุดร้อง แซน ฮึบก่อน’
‘ฮึบ..’
‘แล้วมึงเชื่อกูนะ..’
‘...’
‘ไอ้นั่น’ จัสชี้มือไปที่ฟินน์ที่กำลังคุยบรีฟหน้าเครียดอยู่ตรงมุมห้อง ‘มันจะไม่ปล่อยให้มึงเป็นอะไรแน่ๆ มัน
รักมึงยิ่งกว่าแม่ แล้วมันจะทำให้ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี’
‘...’
‘มึงเชื่อมันมั้ยแซน’
‘เชื่อ..’
‘มากอดกูก่อนมา’ แซนกอดจัสตินนิ่งๆ แล้วปล่อยให้เขาลูบหลังเธอเหมือนหมา
นึกขอบคุณจริงๆ ที่โลกนี้มีจัส
เธอมองผ่านหลังจัสไป เห็นผู้ชายตัวโตในเชิ้ตสีขาวกำลังมองมายังเธอเช่นเดียวกัน
แม้ใบหน้าจะอิิดโรย แต่เขาก็ยังยิ้มให้เธออยู่เสมอ
และนั่นทำให้แซนรู้สึกอีกอย่าง
ขอบคุณเหมือนกัน ที่โลกนี้มีฟินน์
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in