“อบิเกลบอกว่า เธอคิดว่าเธอเห็นผี”
กีเดียนเอ่ยขึ้น ในขณะที่โทบี้ น้องชายคนเล็กของเขาทำเพียงแค่เงยหน้าขึ้นจากบัญชีรายการสิ่งของเก่าแก่ของพิพิธภัณฑ์แล้วเลิกคิ้วน้อย ๆ
“ที่ไหน” เป็นคำถามสั้น ๆ ก่อนที่ฝ่ายหลังจะก้มหน้าลงไปสำรวจรายการต่อเหมือนเรื่องผีเป็นเรื่องสามัญเหมือนดินฟ้าอากาศทั่วไป และเผลอ ๆ จะน่าสนใจน้อยกว่าพยากรณ์อากาศเสียอีก
แม้จะเป็นท่าทีที่คาดเห็นได้ว่าคนอายุน้อยกว่าที่ทำงานเป็นแพทย์นิติเวชคงจะไม่มีท่าทีตื่นเต้น แต่ฝ่ายพี่ชายก็ไม่ได้คิดว่าจะเฉื่อยเนือยถึงขั้นนี้ ถ้าหากมองในแง่ดี อย่างน้อย เขาก็ไม่ได้ฟังแล้วคิดว่ามันเป็นเรื่องเหลวไหล
“สถานที่ที่พบสำคัญด้วยเหรอ”
“จะว่าสำคัญก็ได้ ไม่สำคัญก็ได้” มีเสียงคล้ายหัวเราะเบา ๆ มาจากคนที่ยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้นจากสิ่งที่อ่าน “มีที่ไหนในอังกฤษบ้างล่ะ ที่ไม่มีผี พี่ยังเคยจัดโกสต์ทัวร์ที่บริติชมิวเซียมเลยไม่ใช่เหรอ ถ้าเจอสักตนสองตนก็ไม่น่าแปลกเท่าไหร่”
ก็นั่นสินะ...
“แล้วอบิเกลไปเจอผีที่ไหนล่ะครับ”
“ใกล้กับพิพิธภัณฑ์พยาธิวิทยาบาร์ทส์ เมื่อสัปดาห์ก่อน”
“หือ?” โทบี้เลิกคิ้วและเงยหน้าขึ้นมามองกีเดียนทันที
โดยอาชีพ ดร. โทเบียส ‘โทบี้’ ฟอล์กเนอร์เป็นแพทย์นิติเวช (ในอังกฤษไม่ได้แยกสาขานิติเวชวิทยาออกจากพยาธิวิทยา โดยตำแหน่งแล้ว เขาจึงเป็นพยาธิแพทย์ แม้งานหลักจะเป็นการชันสูตรศพคดีมากกว่าก็ตาม) แต่งานรองและเป็นงานที่ทำให้เขากับกีเดียนมีความใกล้ชิดกันเป็นพิเศษ คือ งานนักวิชาการของพิพิธภัณฑ์พยาธิวิทยาของโรงเรียนแพทย์ที่เขาทำงานอยู่ ซึ่งก็คือพิพิธภัณฑ์ในสังกัดโรงเรียนแพทย์เซนต์บาโธโลมิวหรือเซนต์บาร์ทซึ่งมีที่ตั้งทางฝั่งอีสต์เอนด์ของลอนดอนนั่นเอง
“อบิเกลไปทำอะไรแถวนั้น เธอเป็นผู้เชี่ยวชาญงานศิลปะเอเชียตะวันออกไม่ใช่เหรอ”
“พี่ก็ถามเธอแบบนั้น” กีเดียนบอก “เธอตอบพี่ว่า เธอกำลังเดทกับหนุ่มผู้เชี่ยวชาญกายวิภาคทารกที่เจอในทินเดอร์ เขาทำงานที่พิพิธภัณฑ์บาร์ท เธอก็เลยแวะมาหาเขา เพื่อที่จะไปกินมื้อค่ำด้วยกัน”
“อ้อ มาร์ติน ไวท์เฮด” ชื่อแฟนปริศนาของอบิเกล คอลเล็ตต์ เพื่อนร่วมงานของกีเดียนไม่เป็นปริศนาอีกต่อไป และเขาเริ่มไม่แปลกใจที่เธอเกิดสนใจคอลเลคชั่นที่มีซากมนุษย์เป็นส่วนประกอบมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด “แล้วเธอไปเจออะไรเข้าล่ะ”
“นายไม่เคยเจออะไรแถวนั้นจริง ๆ น่ะเหรอ” ภัณฑารักษ์ของบริติชมิวเซียมหรี่ตามองน้องชาย
“ไม่ว่าเห็นหรือไม่เห็น ผมก็คงไม่รู้ ไม่สนใจเท่าไหร่หรอก สิ่งที่ผมสนใจในนั้นคือชิ้นส่วนมนุษย์ที่ถูกดองอยู่ในขวดโหลกับตู้มากกว่า ถ้าไม่นับเรื่องระเบียบชวนปวดหัวของ HTA (Human Tissues Authority หรือองค์การควบคุมการใช้เนื้อเยื่อของมนุษย์ของสหราชอาณาจักร) ที่ผมต้องเข้าไปเกี่ยวข้ออย่างช่วยไม่ได้” แพทย์นิติเวชบอก ค่อย ๆ พลิกสมุดทะเบียนเก่าแก่ปิด และส่งคืนให้กับพี่ชายคนที่ห้าของตัวเอง “พี่ยังไม่ได้บอกผมเลยว่าเธอเจออะไร”
“ผู้หญิงเอเชีย... ชัดเจนกว่านั้น คือ ผู้หญิงชาวจีน”
“ระบุได้ขนาดนั้นเลยเหรอครับ”
“อบิเกลบอกว่า มันชัดเจนมาก เพราะเธอคนนั้นใส่ชุดจีนสมัยโบราณประมาณยุคราชวงศ์ชิง”
“สมแล้วที่อบิเกลเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ มองเห็นผีแวบเดียวก็ระบุได้เลยว่าเป็นผียุคไหน”
“นั่นไม่ใช่ประเด็น โทบี้”
“โทษที กีเดียน” นายแพทย์หนุ่มหัวเราะ “พี่เล่าต่อเถอะ”
“อบิเกลเห็นเธอเดินไปมาอยู่ในบริเวณโถงชั้นล่างของพิพิธภัณฑ์ เธอหันไปหามาร์ตินที่มาเรียกเธอ พอหันกลับไปอีกที ผู้หญิงจีนคนนั้นก็หายไปแล้ว”
“เธอไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้มาร์ตินฟังเหรอ”
“เล่า แต่เขาบอกว่าไม่เคยเห็น” กีเดียนบอก “คนเชื้อสายจีนที่เขารู้จักที่นี่มีแต่คุณโจวคนเดียว แต่เขาไม่เคยเจอตัว”
“อย่างที่มาร์ตินบอกนั่นแหละ ชาวจีนที่นี่มีแค่คุณโจวคนเดียวเท่านั้น” น้องชายของเขาบอก “คงเป็นเธอ”
ภัณฑารักษ์ลูบคาง มองหาพิรุธจากแววตาและสีหน้าของแพทย์นิติเวช แต่ไม่พบอะไร
“คุณโจวมักจะเดินสำรวจความเรียบร้อยหลังพิพิธภัณฑ์ปิดน่ะ เธอชอบเดิน เพราะก่อนหน้านี้ เธอมีปัญหาเรื่องเท้าจนเดินไม่ค่อยถนัดมาก่อน”
“แบบนี้เอง” กีเดียนพยักหน้า “เธอชอบมาทำงานด้วยชุดจีนด้วยงั้นเหรอ”
“เธอใส่ชุดแบบนั้นมาตั้งแต่แรกที่มาอยู่ที่นี่แล้ว” โทบี้บอก “เธอเป็นเจ้าของตัวอย่างหมายเลข TE 37 จากปี 1887 เป็นเท้าซ้ายของผู้หญิงจีนที่ถูกรัดเท้าตามประเพณีโบราณจนผิดรูป เหลือขนาดแค่สี่นิ้ว แบบที่เรียกว่า ‘ดอกบัวทอง’ พี่คงเคยได้ยิน”
กีเดียน ฟอล์กเนอร์อ้าปากค้าง
โทบี้ ฟอล์กเนอร์ยิ้มให้พี่ชายอย่างเข้าใจ
---------------------------------------------
ป.ล. เป็น Dark Tales of London ฉบับ modern AU นะคะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in