เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ช่วงเวลาหนึ่งกับวันหม่นๆBlue world
เมื่อล้มก็ต้องลุกเองให้ได้
  • บ้านเราม           หลังจากวันนั้น เราก็เริ่มร้องไห้ทุกวัน ช่วงเวลาตอนเย็น หลังเลิกงานเราก็กลับห้อง เราพยายามหาอะไรทำ แต่สักพักเราก็เบื่อจากนั้นเราก็คิดเรื่อยเปื่อยแล้วก็ร้องไห้ออกมา เราเป็นอย่างนี้อยู่ หลายวัน น่าจะเกือบเดือน แต่เวลาเราไปทำงาน เราก็ พยายามทำตัวปกติ พี่หัวหน้าเรารู้ว่าที่บ้านมีปัญหา วันไหนที่ตาบวมไปทำงาน พี่เค้าก็จะถาม และให้กำลังใจ. 
              แต่มันจะมีบางวัน ที่เราก็ไม่รู้ว่าเราร้องไห้ทำไม เรารู้ว่าเราเศร้าแล้วเราก็อยากร้องไห้ ตาก็บวม เราก็ไม่รู้จะบอกคนอื่นยังไงว่าเราร้องไห้ทำไม ช่วงนั้นเรามีแผนจะไปเที่ยวต่างประเทศเราได้คิดว่าเรายังไม่ไปหาหมอดีกว่า เพราะเรากลัว Side effects ของยา ก็เลยกะว่าเอาไว้ก่อน
             หลังจากนั้น เราก็เริ่มทำงานผิดพลาดมากขึ้นไม่มีสมาธิแต่ว่าเราก็ยังไปทำงานได้ มันก็มีบางวันที่ เหนื่อยเหนื่อยไม่อยากไป เราคุยกับ เราคุยกับเพื่อน เพื่อนก็แนะนำว่าลองไปพบจิตแพทย์ดู  เราหาข้อมูลที่ มีจิตแพทย์ วันเสาร์อาทิตย์ ตอนแรกเราจะไปรามาต่อว่า ต้องรอคิว 2 เดือน เราไปวันธรรมดาไม่ได้เพราะเราต้องทำงาน เราไม่อยากลางานเพราะมันต้องหาทุกเดือนแล้วเราก็ไม่อยากตอบคำถามคนที่ทำงาน หลังจากนั้นเราก็โทรไปที่โรงบาลศิริราช อันนี้ได้คิวเร็วแต่ว่ามันไกลจากห้องและบ้านเรามาก  ถ้าเราก็จองคิวไปเพราะว่าถ้าไปเอกชน คงจ่ายไม่ไหว ผ่านไปไม่กี่วัน เราเริ่มจมดิ่งมากขึ้น เอาร้องไห้ไม่หยุด เราก็มีปัญหา เราเริ่มคิดว่า มันไม่ไหวเเล้ว เราเริ่มอยากตาย รู้สึกว่าตายๆไปได้ก็ดี แต่ตอนนั้นเรากลัวเราฆ่าตัวตาย เรากลัวเรื่องบาปนู่นนี่นั่น กลัวว่าถ้าฆ่าตัวตายแล้วจะไม่ไปสุขคติ  เราเลยตัดสินใจไปโรงบาลเอกชน ที่เพื่อนแนะนำมา ตอนนั้นเราคิดว่าถ้าเกิดเราไม่ไปเราแย่แน่ วันนั้น เราลางาน  ระหว่างนั่งรถไปเราก็ร้องไห้ เพราะถึงโรงบาล เราก็ไปติดต่อ ว่าเราเครียดเราอยากพบจิตแพทย์ โชคดีที่ มีจิตแพทย์ประจำอยู่ รอคิวไม่นาน บอกก็ได้เข้าพบ เราก็ได้เจอจิตแพทย์คนแรกของเรา
    การรักษาที่นี่ มันก็ดีนะ ได้พูดคุยเหมือนในตกตะกอนบางอย่างในความคิด มันได้เข้าใจตัวเองมากขึ้น วันนั้นเราได้ยาวิเศษมา   Pristiq (desvenlafaxine) 
    และยาคลายเครียดที่กินก่อนนอน เราเข้าใจว่ามันคงคล้ายๆยานอนหลับนั่นแหละ 
           ที่บอกว่ามันเป็นยาวิเศษ เพราะว่าถ้าเราเริ่มกินได้ประมาณอาทิตย์กว่าเราก็รู้สึกว่าเราดีขึ้นเรารู้สึกว่ามันสดใสขึ้น แต่ว่ายาแพงมาก แล้วเราก็มาหาหมออีก เราได้ลองยาอีกตัวนึงซึ่งมันคล้ายกัน แต่ว่า มันdosageน้อยกว่าแต่จะใช้วิธีการเพิ่ม  dose ได้ แต่พอกินไปประมาณ 2 อาทิตย์ เรารู้สึกแย่ลง เรารู้สึกกังวลเขาก็เลยยอมกินยาแพง นัด 1 เดือน ค่ายาเดือนเดือนนึงก็ประมาณ 4,000  บาท แต่มันก็โอเคนะเรารู้สึกดีขึ้นแต่ก็มีอารมณ์ตกไปบ้าง ตอนที่ได้ฟังคำบางคำที่เรารู้สึกว่าไร้ค่า วันนั้นเราร้องไห้ไม่หยุด. ร้องที่ทำงานด้วย เราบอกคนอื่นไม่ได้ว่าทำไมเราถึงเสียใจขนาดนั้น คนอื่นพูดว่าแค่นี้เอง เขาโดนหนักกว่านี้ เขาโดนว่ามากกว่าเราเยอะซึ่งเราก็รู้ ก็ตอนนั้นมันแย่จริงๆนะ ตอนนั้นเราคิดว่าเราช่างอ่อนแอเหลือเกิน หลังจากวันนั้นเหตุการณ์นั้นเป็นเหมือน แผลเป็นที่ไม่มีวันเลือน เรายังจำความเสียใจนั้นได้ตลอด เรายังจำคำพูดเหล่านั้นได้ 

    พอได้มาคุยกับหมอเราก็สบายใจขึ้น ที่เราป่วยเราไม่ได้บอกใครเลยที่ทำงานเราบอกแต่เพื่อนที่เราสนิท มีมีอยู่ช่วงนั้นเราทะเลาะกับเพื่อนด้วยยิ่งหนัก แต่เราก็พาตัวเองขึ้นมาได้ ยามันช่วยเราได้จริงๆ 3-4 เดือนผ่านไปเราอาการดีขึ้นมากๆ จนหมอเคยพูดว่าจริงๆเราอาจจะไม่ได้ป่วยก็ได้ เราก็ไม่รู้ทำไมว่าเราดีขึ้นเร็วขนาดนั้น เราเริ่มอยากหยุดยา เราก็คุยกับหมอนะ ก็ 6 เดือน เรากลับมาสดใสอีกครั้ง เราเริ่มไปเที่ยวไปถ่ายรูป เรารู้สึกได้ว่า มันแตกต่าง จะตอนที่เราเป็นยังไง เรารู้สึกว่าโลกมันสว่างขึ้นเรามีทางที่จะทำอะไรเยอะขึ้น แต่แล้วอยู่วันนึง มันก็กลับมา...

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in