เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
วันนี้ข้างบ้านทำอะไรให้กินpiyarak_s
เปิดบ้าน
  •  เราอาจจะคิดถูกแล้วก็ได้ที่ตัดสินใจซื้อบ้านหลังนี้ด้วยกัน ผมหวังว่าอย่างนั้น

    ก่อนหน้าที่เราจะมาอยู่บ้านหลังนี้ ผมกับเก่งเคยเช่าคอนโดอยู่ด้วยกันมาก่อน เราคบกันมาประมาณปีหนึ่งก่อนที่จะตัดสินใจย้ายมาอยู่ด้วยกัน หลังจากอยู่ด้วยกันมาสองปี ในปีที่สาม เราก็เริ่มคิดถึงการมีอะไรร่วมกันขึ้นมาบ้าง เพราะทุกอย่างระหว่างเราค่อนข้างลงตัว และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือการเช่าห้องต่อไปเรื่อย ๆ อย่างนี้มีความไม่สะดวกหลายอย่าง การมีบ้านสักหลังหรือคอนโดมิเนียมที่มีอย่างน้อยสองห้องนอนด้วยกันสักยูนิต น่าจะมีโอกาสที่จะทำอะไรให้มันงอกเงยขึ้นมาได้บ้าง โดยเฉพาะเมื่อเรามีเงินเดือนเหลือเก็บและเหลือใช้ในระดับที่น่าพอใจ
      
    นอกจากนี้ การมีห้องส่วนตัวสำหรับทำงานของตัวเองในบางเวลาก็น่าจะดีกับงานของเรามากกว่า โดยเฉพาะในบางเวลาที่งานตามมาถึงที่ห้อง ถึงเก่งจะเป็นซีเนียร์กราฟิกดีไซเนอร์ที่ทำงานด้านบริหารมากขึ้น (แต่ก็ยังมีคนขอให้เขาตัดคลิปและทำอะไรอื่น ๆ นอก job description เป็นประจำเหมือนเดิม) แต่การที่เขารับงานฟรีแลนซ์บ้างเป็นบางเวลาก็ทำให้ต้องทำงานอยู่ดึกดื่น ส่วนผมเองที่เป็นนักวิเคราะห์ธุรกิจให้กับบริษัทที่วางระบบคอมพิวเตอร์ให้บริษัทอื่น ๆ ก็อาจมีการคุยงานนอกเวลาและต้องติดต่อกับลูกค้าที่อยู่คละไทม์โซนกันเป็นบางเวลาเช่นกัน
      
    นอกจากเหตุผลเรื่องงานแล้ว ในบางครั้ง การมีห้องส่วนตัวของตัวเองก็ทำให้เราสามารถรับแขก โดยเฉพาะพ่อกับแม่และพี่น้องของเราที่เดินทางมาจากต่างจังหวัดได้สะดวกกว่า รวมถึงคุยงานนอกเวลาได้อย่างมีสมาธิ ไม่ต้องแยกกันไปอยู่ที่ระเบียงคนหนึ่ง ในห้องนั่งเล่นคนหนึ่งอย่างในเวลาที่ใช้ห้องร่วมกัน มันก็ทำให้อะไร ๆ สะดวกและมีพื้นที่ส่วนตัวระหว่างกันด้วย
      
    ทีแรก เก่งเสนอว่า เราน่าจะซื้อคอนโดมิเนียมแบบสองห้องนอนอยู่ด้วยกัน เพราะคอนโดมิเนียมใหม่ ๆ ที่มีทำเลใกล้รถไฟฟ้าเกิดขึ้นมาหลายแห่ง แต่ระยะหลังมา รถไฟฟ้าเริ่มเสียบ่อยขึ้น แท็กซี่ก็ไม่ค่อยจะยอมรับผู้โดยสารเพราะไม่อยากเข้าเขตรถติดใจกลางเมือง บวกกับเราค่อนข้างมีปัญหาเวลาแจ้งซ่อมอะไรต่าง ๆ ภายในคอนโด และผมเช็คราคาดูแล้ว ห้องในคอนโดมิเนียมที่เราเคยดูเอาไว้ก็ราคาพอ ๆ กับซื้อบ้านทั้งหลัง คิดคำนวณอะไรต่าง ๆ แล้ว ใจเราก็เริ่มเอียงไปทางบ้านจัดสรรมากกว่าคอนโดมิเนียม พอดีกับที่พ่อผมจะซื้อรถใหม่ที่มีขนาดเล็กลงกว่าเดิมและจะยกรถคันที่ใช้อยู่ปัจจุบันให้ผม ความคิดที่จะซื้อบ้านอยู่ด้วยกันก็ยิ่งมีน้ำหนักมากขึ้น เพราะเมื่อมีรถ ถึงจะอยู่บ้านไกลสักหน่อย แต่ก็ไม่ติดปัญหาการเดินทางอะไรอีกแล้ว เราทำงานตึกเดียวกันก็ไปด้วยกันได้ ปัญหาคงมีแค่เรื่องรถติดอย่างเดียว แต่ถ้าบริหารเวลาได้ ก็ไม่น่าใช่ปัญหาใหญ่

    พอทุกอย่างลงตัวพอสมควรแล้ว เราสองคนก็ตัดสินใจซื้อบ้านจัดสรรในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เราตกลงกันได้ไม่ยากเพราะนิสัยและรสนิยมของเราตรงกันเป็นส่วนใหญ่ แต่ปัญหาที่ตามมาคือ เราเป็นคู่เกย์ที่ไม่สามารถจดทะเบียนสมรสกันได้ตามกฎหมายไทย จะมีธนาคารไหนยอมพิจารณาให้คนที่ไม่ได้เป็นอะไรกันเลยในทางกฎหมายเป็นลูกหนี้เงินกู้ระยะยาวร่วมกัน

    โดยทั่วไปแล้ว คนที่จะสามารถเป็นผู้กู้ร่วมในสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยจะต้องเป็นคนนามสกุลเดียวกัน เป็นสามีภรรยาหรือญาติพี่น้องกัน หรือถ้าใช้คนละนามสกุลแต่อยู่กินกันมานานก็สงวนไว้เฉพาะกรณีของชายหญิงที่อยู่กันฉันสามีภรรยาเท่านั้น ต่อให้เราใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมานาน แต่ในสายตากฎหมายและสถาบันการเงินแล้ว เราก็ไม่ได้เป็นอะไรกันอยู่ดี
      
    ความจริง มันก็พอจะมีทางที่ผมกับเก่งจะสามารถกู้เงินร่วมกันโดยไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดหรือกฎหมายผ่านการแต่งงานเลยอยู่เหมือนกัน นั่นก็คือ การกู้เงินเป็นสินเชื่อ SME ในฐานะผู้ประกอบการร่วมในกิจการขนาดกลางหรือเล็ก โดยซื้อที่ดินและบ้านในฐานะที่เป็นสถานประกอบการ แต่ข้อจำกัดของมันก็คือระยะเวลาในการผ่อนชำระหนี้ที่สั้นกว่าการกู้เพื่อที่อยู่อาศัยพอสมควร จะว่าไปแล้ว ด้วยรายได้ของเราสองคนรวมกันก็มาพอที่จะใช้หนี้ในระยะสั้นประมาณสิบหรือสิบห้าปีได้ แต่มันก็ไม่ค่อยดีตรงที่เป็นการกู้ที่ไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ของธนาคาร

    ทางออกที่พอเป็นไปได้ที่มีอยู่ในเวลานั้น คือ เราฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ยื่นกู้ แล้วให้อีกฝ่ายช่วยออกเงิน แต่ปัญหาคืออาจจะกู้ได้ในวงเงินที่ต่ำลงกว่าเดิมจากที่ตั้งใจไว้แต่แรก ซึ่งคงต้องเป็นผมที่เป็นฝ่ายยื่น เพราะฐานเงินเดือนกราฟิกดีไซเนอร์ในประเทศไทยของเก่งน้อยกว่าของผมมากพอสมควร แม้ว่าเขาจะมีรายรับทางอื่นก็ตาม

    อาจจะเป็นโชคดีของเราก็ได้ ที่คนรอบตัวเรามีส่วนช่วยสนับสนุนทั้งกำลังใจและข้อมูล เพราะในวันหนึ่ง พี่สาวของเก่งที่มีสามีเป็นผู้จัดการธนาคารบอกข่าวเรามีผลิตภัณฑ์ทางการเงินตัวใหม่เป็นโปรแกรมสินเชื่อสำหรับคู่รักเพศเดียวกันออกมาพอดี (และผมคิดว่า เขาคงอยากหาลูกค้ามากกว่าสนับสนุนแนวคิดสมรสเท่าเทียมหรือ Love Wins)
      
    ถึงจะเป็นโปรแกรมที่มาได้ถูกจังหวะ แต่ผมยอมรับว่าก็ยังไม่มั่นใจเพราะเป็นโปรแกรมที่ออกมาปีแรกและพวกผมเหมือนเป็นลูกค้าที่ประเดิมสินค้าเป็นครั้งแรก แต่หลังจากลองศึกษาข้อมูลโปรแกรมนี้ออกมาอย่างละเอียดอยู่พักใหญ่และลองหาข้อมูลโปรแกรมสินเชื่อทำนองเดียวกันของธนาคารอื่นซึ่งก็มีแบบนับธนาคารได้มาเทียบกัน เราก็ตัดสินใจลองยื่นกู้กับธนาคารที่สามีของพี่สาวเก่งเป็นผู้จัดการในโปรแกรมสินเชื่อดังกล่าวดู
      
    ระหว่างที่เตรียมตัวยื่นกู้ซื้อบ้านร่วมกัน เราเหมือนมีอาการย้ำคิดย้ำทำกันอยู่สองคน ทั้งเช็คเอกสารส่วนตัว เอกสารการเงิน และเอกสารเกี่ยวกับบ้านที่เราจะซื้ออยู่หลายรอบไม่ให้ตกหล่น แต่นั่นก็ยังไม่เท่ากับความกังวลกับความไม่แน่นอนว่า เราจะยื่นกู้ผ่านหรือไม่ แม้ว่าจะมีเส้นสายคนรู้จักในธนาคารนั้นและสามีของพี่สาวเก่งเจรจากันเอาไว้ให้ก่อนแล้วก็ตาม พูดตามตรงว่า หลังกลับมาจากธนาคาร ผมไม่มั่นใจถึงขนาดออกปากกับเก่งว่าให้เตรียมตกลงกันไว้ล่วงหน้าเลยว่า ถ้ายื่นกู้ร่วมกันไม่ผ่าน ไม่ใครก็ใครคงต้องเป็นฝ่ายที่ยื่นกู้ฝ่ายเดียว ส่วนเก่งเองก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน เพราะเขาเองก็ไม่ได้บอกผมว่า อย่าคิดมากหรือพยายามปลอบใจ แต่ถอนใจออกมาครั้งหนึ่ง มองหน้าผม แล้วตบบ่าผมเบา ๆ
      
    ในช่วงเวลาเกือบสัปดาห์หนึ่งนั้น เราทำอะไรมากไม่ได้นอกจากรอคำตอบ
      
    หลังจากการรอคอย เราก็ได้ข่าวดีว่า สินเชื่อสำหรับที่อยู่อาศัยที่เรายื่นกู้ร่วมกันผ่านการพิจารณาและสามารถดำเนินการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไปได้ทันที
      
    สิ่งที่เกิดขึ้น มันไม่ใช่แค่ความดีใจที่ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี แต่ยังเป็นความตื่นเต้นที่เรากำลังจะก้าวไปข้างหน้าไกลขึ้นอีกก้าวหนึ่ง โดยที่มีใครอีกคนเลือกที่จะเดินไปบนเส้นทางเดียวกัน และเรากำลังจะมีสิ่งที่เป็นของเราสองคนจริง ๆ เสียที
      
    เมื่อจัดการเรื่องสินเชื่อเรียบร้อย ผมกับเก่งก็ทำเรื่องโอนบ้านและที่ดินเป็นชื่อของเราสองคน จากนั้นก็หาเวลาไปเอารถที่บ้านของพ่อผมที่ต่างจังหวัด ส่วนตัวบ้านนั้น เรายังไม่ได้เข้าไปอยู่เพราะต้องใช้เวลาในการตกแต่งบ้านเพิ่มเติมอีกนิดหน่อย ซึ่งไม่ยากเท่าไหร่ เพราะเราทั้งคู่เป็นทาสการตลาดของร้านขายเฟอร์นิเจอร์สัญชาติสแกนดิเนเวียที่ขึ้นเชื่อเรื่องออกแบบเฟอร์นิเจอร์น็อกดาวน์มาได้ต่อยากที่สุดยี่ห้อหนึ่ง และแน่นอนว่าเราจะไม่ยอมให้พ่อแม่มามีอิทธิพลกับการตกแต่งภายในบ้านของเราเป็นอันขาด แม้ว่าพวกท่านจะหวังดีกับเรามากแค่ไหนก็ตาม แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่เราสองคนเลี่ยงไม่ได้และคิดว่าควรต้องใช้เป็นจุดประนีประนอมให้พวกท่านมีส่วนร่วมกับบ้านใหม่ของเราสองคนบ้าง นั่นก็คือเรื่องฤกษ์ย้ายเข้าบ้าน
      
    ความจริง พ่อแม่ของเราสองคนก็พยายามหาฤกษ์ดีที่พวกเราควรจะเข้าอยู่ในบ้านมาให้สารพัด แต่ว่าเมื่อดูจากตารางงานของผมและเดดไลน์ของเก่งแล้ว กว่าเราจะได้ฤกษ์ย้ายเข้าบ้านที่ทุกคนพร้อมก็คงจะเป็นอีกสองสามเดือนข้างหน้า ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าจะเกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง และดูเหมือนว่าคนในครอบครัวของเรารู้นิสัยเราดีว่า เมื่อเป็นหนี้ขึ้นมาแล้ว มีงานนอกอะไรเข้ามา เราก็พร้อมตะครุบไว้ก่อน เพื่อจะหาเงินมาโปะหนี้ให้หมดไว ๆ และเป็นตอนนั้นเองที่ฤกษ์ฉุกละหุกก็บังเกิด

    แม่ของผมบอกว่า เพื่อให้เราได้อยู่บ้านของตัวเองอย่างสมบูรณ์ตามฤกษ์งามยามดี ส่วนพิธีขึ้นบ้านใหม่จะทำหลังจากนั้นเมื่อใดก็ได้ วันศุกร์ที่จะถึงนี้เป็นวันที่ฤกษ์เหมาะสมที่สุด แต่ประเด็นคือ แม่มาบอกผมในเช้าวันที่เราควรจะย้ายเข้าบ้านนั้นเอง และหลังจากที่แม่ผมวางสายไปไม่นาน แม่ของเก่งที่ไม่รู้ไปคุยกับแม่ผมมาตอนไหนก็โทรไปหาเก่งและไลน์หาผมในเรื่องเดียวกัน พร้อมกำชับว่าให้เราถ่ายรูปการย้ายเข้าบ้านมาให้ดูด้วย วันนั้นเราจึงได้ฤกษ์เข้าบ้านกันแบบงง ๆ
      
    ผมขอเจ้านายและทีมออกจากออฟฟิศเร็วกว่าเวลาเลิกงานจริงชั่วโมงหนึ่ง ส่วนเก่งเผ่นออกจากออฟฟิศตัวเองพร้อมกับยืมพระพุทธรูปที่แม่ผมย้ำหนักหนาว่ายังไงก็ต้องเอาเข้าบ้านให้ได้จากพี่ที่ออฟฟิศมาองค์หนึ่ง (ทำไมพี่เขาถึงมีสิ่งนี้ในออฟฟิศ หรือในออฟฟิศของเก่งมีอะไรจนต้องมีสิ่งนี้อยู่ จนถึงตอนที่เก่งเอาพระไปคืนแล้ว ผมก็ไม่ได้ฝากถาม) หลังจากฝ่าการจราจรนรกแตกของย่านสีลมออกมาได้ เราแวะเข้าซูเปอร์มาร์เก็ตซื้อผลไม้สำหรับไหว้เจ้าที่อย่างที่แม่ของเก่งสั่งมา น้ำดื่มและอาหารเท่าที่นึกได้ แล้วก็ของใช้พวกสบู่ แปรงสีฟัน ยาสีฟันอีกนิดหน่อย พร้อมผ้าปูที่นอนกับหมอนอีกหนึ่งชุด (และขอบคุณตัวเราสองคนที่ตัดสินใจติดอินเทอร์เน็ตในบ้านไว้ก่อนตั้งแต่ปลายสัปดาห์ที่แล้ว)
      
    ทุกอย่างก็เกือบเรียบร้อยดี ยกเว้นแต่ว่ามีปัญหาเรื่องใครจะอุ้มพระพุทธรูปเข้าบ้าน เพราะแม่ของเราสองคนบอกว่า ให้คนที่มีอาวุโสเป็นคนนำเข้าไป แต่เราสองคนเกิดปีเดียวกัน ผมแก่เดือนกว่าเก่งนิดหน่อย (และแน่นอนว่า ผมจะไม่ยอมแก่)

    ระหว่างที่เรายืนมองหน้ากันอยู่สองคน เพื่อนข้างบ้านที่กำลังถอยรถออกมาจากโรงรถก็จอดรถแล้วลงมาหา ดูท่าเราสองคนจะเก้ ๆ กัง ๆ จนเขาสงสารหรือไม่อย่างนั้นอาจจะคิดว่าเป็นมิจฉาชีพอุ้มพระมาตระเวนเรี่ยไรเงินบริจาค
      
    “อ้าว ย้ายเข้ามาวันนี้เลยเหรอครับ” เขาเป็นผู้ชายอายุประมาณสี่สิบหรือห้าสิบ บุคลิกท่าทางดี และมีอะไรบางอย่างในน้ำเสียงเวลาถามที่ทำให้ผมนึกถึงอาจารย์มหาวิทยาลัย โดยเฉพาะเวลาที่ผมโดนเรียกให้ตอบคำถาม แต่เขาดูใจดีและเป็นมิตร ผมรู้ว่าเขาเป็นเพื่อนบ้านตอนที่เราให้ช่างมาตรวจความเรียบร้อยของบ้านและขนเฟอร์นิเจอร์ขนาดใหญ่เข้ามา ถึงจะเห็นกันบ้าง เราก็ได้แค่พูดคุยกันแบบผิวเผิน เพราะผมเองก็ไม่อยากรบกวนเขาและเขาก็ไม่อยากรบกวนเวลาของเรา
      
    “แม่ให้ฤกษ์มาวันนี้เองครับ พวกผมก็เลยต้องรีบมาทั้งที่ไม่ค่อยพร้อมเท่าไหร่เหมือนกัน” เก่งบอกพลางหัวเราะ “ตอนนี้ยังตกลงกันไม่ได้เลยครับ ว่าใครจะเป็นคนถือพระพุทธรูปนำเข้าบ้าน”
      
    คำตอบของเก่งทำให้เขาหัวเราะออกมา “ความจริงต้องให้ญาติผู้ใหญ่ถือนำเข้าไป ถ้าพวกคุณไม่ถือ ผมถือเข้าไปวางที่หิ้งพระให้ดีไหม”
      
    ข้อเสนอของเขาทำให้ผมกับเก่งหันมาสบตากัน มันเป็นความคิดที่ดีเลยละ ว่ากันตามตรง

    “เอ่อ... จะรบกวนหรือเปล่าครับ เห็นว่ากำลังจะออกไปข้างนอก” ผมว่า
      
    เขายิ้มให้ “ไม่รบกวนหรอก ผมกำลังจะออกไปรับแฟนที่สนามบินน่ะ แต่ไม่ได้รีบอะไร ยังมีเวลาอีกเยอะ”
    “ขอบคุณมากเลยครับ เอ่อ...” ผมไม่รู้ว่าจะเรียกเขาว่าอะไรดี
      
    “ผมชื่อเนตร” เขาบอก
      
    “ผมเก่งครับ” คนข้างตัวของผมบอก และหันมาทางผม “นี่ต้น...”

    แต่คำที่จะใช้แนะนำความสัมพันธ์ระหว่างเราสองคนขาดหายไป ผมเข้าใจ เพราะถ้าเป็นผมบ้าง ผมก็คงชะงักและประเมินท่าทีของอีกฝ่ายก่อน
      
    “ยินดีกับบ้านใหม่ของทั้งสองคนเลยนะ” รอยยิ้มของคุณเนตรบอกให้ผมรู้ว่า เขามองออกว่าเราเป็นอะไรกัน “เราเข้าบ้านกัน เดี๋ยวผมถือพระพุทธรูปเข้าไปวางที่หิ้งพระให้”

    “ขอบคุณครับ”
      
    คุณเนตรรับพระพุทธรูปมาจากเก่ง ส่วนผมเปิดประตูให้ ในบ้านตกแต่งเสร็จแล้ว แต่ยังไม่ได้ขนข้าวของอื่น ๆ เข้ามาทำให้บ้านดูไม่รกและอยู่ในสภาพเหมือนเคาะออกมาจากนิตยสารแต่งบ้าง ผมชี้บอกทางขึ้นไปยังบันไดชั้นสอง ตรงที่ว่างระหว่างห้องของเราสองคนถูกกันไว้เป็นหิ้งพระ ซึ่งจริง ๆ ก็เป็นไปตามคำแนะนำของผู้ใหญ่มากกว่าจะเป็นสิ่งที่เรานึกถึงแต่แรก คุณเนตรวางพระลงบนหิ้งเป็นพระประธานของบ้าน แล้วเราสามคนก็นั่งลงกราบพระสามครั้ง

    “ต้องเอาธูปเทียนอะไรมาจุดไหว้ด้วยไหมครับ” เก่งถาม “หรือต้องเอาผลไม้อะไรมาไหว้อีกหรือเปล่า”

    “เอาตามที่สะดวกคุณว่าเถอะ” คุณเนตรบอกพลางลุกขึ้นยืน “แต่ผมว่าไม่ต้องจุดธูปเทียนอะไรก็ได้ แค่ไหว้อย่างเดียวก็พอแล้ว ส่วนของถวายพระหรือเจ้าที่ ก็จัดการอย่างที่ควรเห็นสมควรหรือตามที่ผู้ใหญ่ของคุณแนะนำมาก็ได้”

    “ต้องขอบคุณคุณเนตรมากเลยนะครับ” ผมบอกระหว่างที่เดินไปส่งเขาที่หน้าบ้าน ยกมือไหว้เขา ในขณะที่เขารับไหว้จากผมและเก่ง ยื่นมือออกมาวางบนบ่าของเราสองคน

    “ขออนุญาตอวยพรคุณสองคนแทนญาติผู้ใหญ่ของคุณที่มาไม่ได้ก็แล้วกัน” เขาบอก “ขอให้อยู่เย็นเป็นสุขนะครับ”

    และก่อนที่จะขับรถออกไป คุณเนตรก็เปิดกระจกรถออกมาบอกเราสองคนอีกครั้ง

    “มาถึงขั้นซื้อบ้านอยู่ด้วยกันแล้ว ก็รักกันไปนาน ๆ นะครับ ยินดีด้วย”
      
    แล้วเขาก็ขับรถออกไป
      
    ผมกับเก่งมองหน้ากัน ก่อนที่เก่งจะเอ่ยถามคำถามที่ผมเองก็ไม่รู้จะตอบอย่างไร

     “เราสองคนแม่งดูเป็นแฟนกันชัดขนาดนั้นจริงดิ”

    “เซลส์ของโครงการเม้าท์ให้เขาฟังปะ”
      
    “แต่เขาดูไม่ใช่คนขี้เสือกถึงขนาดจะฟังเซลส์เม้าท์มั้ย”

    ข้อนั้นผมเห็นด้วย แต่อย่างน้อยมีเพื่อนบ้านที่พอคบได้ ก็สบายใจไปอย่างหนึ่งละมั้งนะ
      
    ผมหวังว่าจะเป็นอย่างนั้น

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in