เมื่อแสงอาทิตย์สุดท้ายลาลับเส้นขอบฟ้า เป็นสัญญาณอันดีสำหรับความมืดที่ต่างคืบคลานออกมาจากที่ซ่อนของตัวเองพร้อมกับดูดกลืนทุกสรรพสิ่งให้ตกอยู่ภายใต้เงาของตนด้วยความหิวกระหาย
โดยเฉพาะบริเวณที่เงียบสงัดที่สุดของเมืองใหญ่ที่ไม่ว่าแสงไฟนีออนหลากหลายสีจากตึกระฟ้าป้ายโฆษณา เสาไฟที่ตั้งอยู่รายทาง บ้านเรือนของผู้คน รวมไปถึงยวดยานพาหนะต่างๆ ไม่สามารถรบกวนการหลับใหลอันเป็นนิรันดร์ของร่างใต้ผืนดินที่จรดอาณาเขตกว้างขวางได้เลย มีก็แต่เพียงแสงรำไรแลดูคล้ายหิ่งห้อยส่องแสงนวลเล็ดลอดมาจากแมกไม้นานาชนิด ขนาดลำต้นของมันใหญ่พอที่จะให้ชายฉกรรจ์สองคนโอบ โลกเงียบสงบนี้ที่ถูกกั้นจากโลกของคนเป็นด้วยรั้วเหล็กกรำแดดกรำฝนมาหลายชั่วอายุคน
ผู้คนที่เดินผ่านไปแถวนั้นในยามวิกาลอาจจะรู้สึกตัวว่ามีกำลังถูกจ้องมองด้วยดวงตาสีซีดจากสุภาพสตรีในร่างโปร่งแสงที่กำลังยืนยกยิ้มให้อยู่ข้างป้ายหลุมศพหินอ่อนที่มีตะไคร่สีเขียวตุ่นแทรกออกมาตามรอยแตก แต่เมื่อลองจ้องมองให้ดีอีกครั้งผ่านซุ้มประตูหินโค้งที่ถูกจับจองด้วยเถาไม้เลื้อยอาจจะเป็นเพียงแค่หมอกสีขาวยามสนธยาที่สะท้อนอาบแสงจันทร์ แต่ไม่ว่าภาพที่เห็นจะเป็นเพียงแค่ภาพหลอนหรืออะไรก็ตาม ไม่มีใครกล้าย่างกรายเข้าไปรุกล้ำสถานที่พักสุดท้ายของผู้วายชนม์อันแสนสงบเลยแม้แต่น้อยหลังจากเวลาปิด ยกเว้นเพียงผู้ดูแล รู้จักได้ในนามของสัปเหร่อ ผู้คุ้นเคยกับสถานที่ชวนเสียวสันหลังนี้เป็นอย่างดีรุ่นแล้วรุ่นเล่า
นอกเหนือจากนี้ก็คงจะมีวัยรุ่นคึกคะนองที่อยากลองหาประสบการณ์ขนหัวลุกจากเรื่องราวสยองขวัญนับไม่ถ้วนที่ถูกส่งต่อกันในโลกอินเทอร์เน็ต หรือไม่ก็พวกคลั่งไสยศาสตร์ที่ชอบการลองของ ต่างเป็นแขกที่ไม่ได้รับเชิญอยู่เป็นประจำ แน่นอนว่าสองประเภทหลังจะได้รู้ถึงความกลัวอย่างหาที่สุดไม่ได้หากล่วงล้ำพื้นที่หลังความตาย
ไม่มีผู้ใดบอกได้แน่ชัดว่าสิ่งที่คนเหล่านั้นเจอคืออะไร
ข่าวลือต่างๆเกี่ยวกับความเฮี้ยนถูกปล่อยสะพัดไปทั่วทั้งเมือง จนกระทั่งทางการต้องหาทางแก้ปัญหาด้วยการออกประกาศอย่างชัดเจนโดยทั่วกันให้สถานที่แห่งนี้เป็นเขตสงวน ห้ามผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าหลังจากเวลาปิด แน่นอนว่าเป็นที่ฮือฮากันอยู่พักใหญ่ ก่อนที่ความร่ำลือเรื่องสุสานใจกลางเมืองแห่งนี้จะเงียบหายและถูกลืมเลือนไปจากความคิดของผู้ที่ยังมีลมหายใจ เนื่องจากวิถีชีวิตอันเร่งรีบของคนยุคใหม่ที่ไม่สามารถจดจ่ออยู่กับอะไรได้นานมากนัก
เสียงระฆังดังเหง่งหง่างไปกับสายลมพัดผ่านยอดหญ้าบนเนินเขาที่ทอดตัวยาวตลอดแนวสุสานหอระฆังแห่งนี้เป็นสิ่งปลูกสร้างที่ตั้งตระหง่านอย่างโดดเดียวมาเป็นเวลานาน โดยมีระยะเวลามากเสียกว่าอายุของผู้ที่อาวุโสที่สุดในเมืองแห่งนี้ แน่นอนว่ามันควรจะเป็นสถานที่ที่ไม่มีผู้ใดสามารถอาศัยอยู่ได้
ก็แค่ควรจะ
นอกจากการเคลื่อนไหวของสัตว์ที่ออกหากินตอนกลางคืนในบริเวณสุสาน เงาตะคุ่มจากการเคลื่อนไหวร่างกายของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ไม่ได้เข้าสู่ห้วงนิทราเหมือนคนปกติทั่วไปกำลังโลดแล่นอ้อล้อกับแสงสีนวลของดวงจันทร์กลมโตที่ลอยอยู่เหนือหัว การเต้นเป็นหนึ่งในกิจกรรมไม่กี่อย่างที่ทำให้จิตใจปลดปล่อยจากพันธนาการต่างๆที่กักขังเขาไว้แต่ในสุสานแห่งนี้ ใบหน้าและกลุ่มผมสีน้ำตาลเข้มเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อที่ผุดพราวระยับราวกับดวงดาวบนท้องฟ้า
“ทอม...มาอยู่ที่นี่เอง”
เสียงดังมาจากชั้นบนสุดของหอระฆัง เด็กหนุ่มอีกคนที่รุ่นราวคราวเดียวกันกับเจ้าของชื่อผ่อนลมหายใจออกมาหนึ่ง ครั้งหลังจากพยายามตามหาเจ้าตัวเล็กจอมแสบที่เป็นดังลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเจ้านายตัวเองเจอ เจ้าของเสียงเมื่อครู่กระโดดลงมาจากหอระฆังราวกับย่างก้าวลงบันได ผมสี
บลอนด์อ่อนเป็นประกายทันทีเมื่อต้องแสงจันทร์
“มีอะไรหรือเปล่า แฮร์ริสัน” เสียงใสเอ่ยขึ้นกับผู้มาใหม่ เด็กหนุ่มหยิบเฮดโฟนออกจากหัวทุยๆของตัวเองพลางกดหยุดเพลงจากเครื่องเล่นเพลงที่ตอนนี้ตกรุ่นไปแล้ว โดยไม่ได้สังเกตเห็นแววตาของอีกคนที่หลุบต่ำลงทุกครั้งที่ถูกเรียกชื่อเต็มแบบเป็นทางการ
มันดูห่างเหินชะมัด
“บอกไปตั้งหลายรอบแล้วว่าเรียกแฮซเฉยๆก็ได้”
“ขอโทษนะๆ ก็ดันเรียกแบบนี้จนติดปากไปแล้วน่ะสิ...แฮซ” เด็กหนุ่มส่งยิ้มเป็นเชิงขอโทษให้กับเพื่อนเพียงคนเดียวของเขาในสุสานแห่งนี้ใน โลกใบเดียวที่เขารู้จัก ทอมมักจะทำตัวตลกไปเรื่อยจนกระทั่งจอมหน้านิ่งตลอดกาลอย่างแฮร์ริสันหลุดหัวเราะออกมา
“พอเถอะ หายโกรธแล้ว” ทันทีที่พูดออกไปเพื่อนตัวเล็กกว่าก็วิ่งเข้ามาโอบไหล่ แล้วตบลงเบาๆสามที
“ต่อไปนี้จะเรียกแต่แฮซตลอดไปเลยจนเบื่อเลยนะ โอเคไหมเพื่อน”
“วันนี้ง้อเยอะเป็นพิเศษนะ แสดงว่าอยากแอบออกไปนอกสุสานล่ะสิ” แฮร์ริสันพูดขึ้นอย่างรู้ทัน
ทอมพยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะปล่อยลมหายใจออกมา คนข้างๆมีเอกสิทธิ์ในการเข้าออกสุสานกับโลกภายนอกได้อย่างอิสระ ไม่เหมือนตัวเขาที่ไม่ว่าจะขอต่อรองอย่างไรคนที่เลี้ยงดูเขามาเหมือนพ่อแท้ๆกลับไม่เคยผ่อนปรนให้เขาได้ออกไปสัมผัสกับชีวิตมนุษย์ธรรมดา แม้ว่าเทียนบนเค้กช็อกโกแลตเรดเวลเวตในวันเกิดของทอมจะเพิ่มมากขึ้นในทุกๆปีก็ตาม ประโยคที่มักได้ยินก็ทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเพียงแค่เด็กน้อยเพิ่งลืมตาดูโลกเมื่อสามวันก่อน
มนุษย์ไว้ใจไม่ได้ข้างนอกอันตรายเกินกว่าที่เจ้าจะจินตนาการ เผ่าพันธุ์ของเราเหลือน้อยลงเต็มทีข้าจะไม่ยอมเสี่ยงกับการสูญเสียเจ้าไป...ทอม
อ้างแต่เรื่องนี้ไม่เห็นจะสมเหตุสมผลตรงไหนเลย จนตอนนี้ทอมก็ไม่เข้าใจเหตุผลที่แท้จริงว่าทำไมเขาต้องมาทนจับเจ่าอยู่ในสุสานแบบนี้ตลอด แล้วทำไมแฮร์ริสันที่อายุก็ไม่ได้มากไปกว่าตัวเขาเองสักเท่าไหร่กลับได้ออกไปตามที่ใจต้องการ
“ก็แค่มีข่าวดีมาบอก...ป๊ะป๋านายออกเดินทางไปโรมาเนียตั้งแต่ก่อนอาทิตย์ตกแล้ว เขาคงยังไม่ได้บอกนายล่วงหน้าสินะ ได้ข่าวว่าเรื่องด่วนมาก ดังนั้นวันนี้นายจะได้ออกไปโลดแล่นอยู่นอกสุสานแล้ว”
แต่ยังดีที่เพื่อนของเขาที่จะคอยแจ้งข่าวและดูลาดเลาให้ตอนที่ท่านพ่อไม่อยู่ เพื่อให้ทอมได้ออกไปเที่ยวเล่นบ้างตามประสาแวมไพร์กำลังโตทุกครั้งที่ท่านพ่อออกไปทำสิ่งที่เรียกว่า ธุระของผู้ใหญ่ เด็กไม่เกี่ยว ทอมจะสามารถออกจากสุสานแห่งนี้ได้ถึงแม้จะเป็นเพียงเวลาสั้นๆก็ตามที แต่ในระยะหลังดูเหมือนว่าท่านพ่อจะต้องเดินสายไปบ่อยซึ่งนั่นเป็นเรื่องดีมากทีเดียวสำหรับทอม
ตัวแฮร์ริสันเองถึงแม้จะมีความกังวลใจทุกครั้งที่ยอมให้ทอมออกไปเที่ยวเล่นคนเดียว ทั้งๆที่เจ้านายของเขาห้าม เขาเองก็ไม่รู้เหตุผลที่ทอมไม่สามารถออกจากสุสานไปได้ แต่เขาก็มั่นใจว่าถ้าหากทอมมีอันตรายเขาสามารถเข้าไปปกป้องทอมได้ทันท่วงที ด้วยรัศมีของเมืองที่มีขนาดไม่ใหญ่มากแบบนี้ ทั้งหมดที่ทำก็เพื่อให้ได้เห็นอีกคนมีความสุข แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว
กลิ่นของอิสรภาพที่สุดแสนจะหอมหวานลอยมาตามลม ทันทีที่ร่างของคนตัวเล็กก้าวเท้าออกมาจากประตู พลางดึงฮู้ดขึ้นมาคลุมหัวเพื่อปกปิดตัวตน แก้มตุ่ยของเด็กหนุ่มที่ดูเหมือนกับคนธรรมดาทั่วไปก็ยกขึ้นฉีกยิ้มกว้างด้วยความสุขใจ เพราะเป็นอีกครั้งที่เขาได้เดินไปตามถนนที่ตัวเองได้แต่จินตนาการว่าจะทอดยาวไปถึงที่ไหน ทอมไม่รู้ว่าตัวเองเดินมานานเท่าไหร่แล้ว แต่สองขาก็ก้าวไปเรื่อยตามสัญชาตญาณ พลางดื่มด่ำไปกับวิถีชีวิตยามค่ำคืนของเมืองที่ไม่เร่งรีบวุ่นวายเท่าตอนกลางวัน ตามคำพูดของแฮร์ริสันที่ชอบเล่าเรื่องโลกนอกสุสานให้ฟังบ่อยๆ
ถึงแม้การเป็นแวมไพร์เลือดผสมจะสามารถใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงกับมนุษย์นิดหน่อย เขาสามารถอยู่ภายใต้แสงแดดได้เล็กน้อย แต่เขาเองไม่เคยได้ออกมาจากโลงก่อนอาทิตย์ตกดินเลย เหตุผลว่าทำไมคงต้องไปถามท่านพ่อของเขาเองเพื่อความกระจ่าง แล้วก็จะได้ฟังแต่คำตอบเดิมเหมือนแผ่นเสียงตกร่อง
แต่ทอมกลับคิดว่าโลกภายนอกออกจะน่าค้นหา ไม่เห็นมีอะไรต้องกลัว อีกอย่างตัวเองก็เป็นถึงตั้งแวมไพร์ ไม่ใช่คนเดินดินปกติ จะมีอะไรมากล้าต่อกรกับเขาได้
แต่แล้วความคิดทุกอย่างรวมไปถึงฝีเท้าของทอมก็หยุดลง ทันทีที่โสตประสาทตอบสนองต่อเสียงกดคีย์บอร์ดสลับกับเสียงคลิกเม้าส์ เสียงพูดงึมงำ เสียงลมหายใจ รวมไปถึงเสียงหัวใจที่เต้นแรงจากตัวของคนที่กำลังขะมักเขม้นทำอะไรบางอย่างอยู่ในมุมเดิม ริมหน้าต่าง
และเสียงหัวใจของทอมเอง
“วันนี้เป็นคอมพิวเตอร์สินะ ดึกดื่นป่านนี้ยังไม่เลิกเล่นอีกเหรอ เด็กติดเกม” รอยยิ้มปรากฎบนมุมปากของทอมกระตุกขึ้นมาเบาๆ ก่อนจะรีบพาร่างตัวเองไปยังที่มาของต้นเสียงเร็วดังใจคิด
ร่างของเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันในห้องนอนไฟสลัวปรากฏชัดขึ้นมาในระยะสายตาของทอมที่กำลังปีนขึ้นต้นไม้ที่ตั้งอยู่ในละแวกนั้นอย่างคล่องแคล่ว เจ้าตัวจัดแจงหาท่าทางที่สบายบนกิ่งไม้ใหญ่เพื่อดูอีกคนเล่นเกมอยู่ในคอมพิวเตอร์
ท่ามกลางความมืดมิดในห้องมีเพียงแสงหลากสีจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ส่องสว่างวูบวาบไปตามเนื้อเรื่องและจังหวะการเคลื่อนไหวของนิ้วมือที่สอดประสานกันเป็นอย่างดี ไม่ต่างจากเวลาที่นัก เปียโนบรรจงจรดนิ้วลงไปบนลิ่มนิ้วเพื่อสร้างเสียงดนตรี แววตาสีฟ้าภายใต้กรอบแว่นสีดำจดจ้องอยู่กับภารกิจที่ต้องทำให้สำเร็จลุล่วงภายในระยะเวลาที่จำกัด
เห็นได้ชัดว่าใบหน้าที่มักจะเรียบเฉยในเวลาที่ไม่ได้กำลังทำสิ่งที่ตัวเองชื่นชอบ กลับแสดงอารมณ์ที่แตกต่างกันออกไประหว่างการเล่นเกมตรงหน้า ทั้งตอนที่คิ้วหนาขมวดมุ่นเข้าหากันและสันกรามที่ขบแน่นเวลาที่ต้องใช้ความคิดวางแผนอย่างหนัก ตอนที่ริมฝีปากได้รูปที่ขยับขึ้นลงเวลาพูดสื่อสารกับเพื่อนร่วมทีมผ่านทางหูฟังเกมมิ่ง รอยยิ้มมุมปากที่ปรากฏให้เห็นบ่อยครั้งเมื่อทุกอย่างในเกมเป็นไปตามแผน
ถ้าวันนั้นฝีมือที่เก่งกาจของเกมเมอร์คนนี้ได้รับการเข้าข้างจากโชค เด็กหนุ่มนั่นก็จะเสียงกู่ร้องด้วยความดีใจอย่างสุดเหวี่ยง ทันทีที่เขาได้เป็นผู้ชนะ แต่ถ้าผลเป็นไปในทางกลับกัน ทอมก็จะได้เห็นคนอารมณ์ฉุนเฉียวที่ระบายความโกรธใส่สิ่งของที่อยู่ใกล้ตัวอย่างคีย์บอร์ดและเม้าส์ แต่เขาคนนั้นไม่กล้าทำอะไรรุนแรงมาก แค่อารมณ์ชั่ววูบ เพราะของเหล่านี้เป็นของสำคัญที่สุดของเขาลำดับต้นๆที่ไม่สามารถขาดได้
เป็นเวลาเกือบปีแล้วหลังจากที่ทอมได้เจอกับเด็กหนุ่มจอมติดเกมคนนี้ด้วยความบังเอิญตอนแอบหนีออกมานอกสุสานครั้งแรก ก็เพราะเสียงโหวกเหวกจากบ้านหลังนี้ดังเข้ามาในประสาทสัมผัสที่รับรู้ได้ไวของทอม ทำให้ทอมตัดสินใจเดินทางตามหาต้นเสียง จนกระทั่งไปเจอเจ้าของห้องกำลังทำอะไรบางอย่างกับเพื่อนอีกสองสามคนในมือกำลังถือเครื่องมือที่ต่อสายยาวๆไปหาสิ่งที่เรียกว่าโทรทัศน์
ทอมมารู้ที่หลังจากแฮร์ริสันว่านั่นคือกิจกรรมที่เรียกว่าการเล่นเกม ทอมชอบบรรยากาศสนุกสนานของการเล่นเกม หรือในที่นี้คือ การแค่ได้มองคนๆนั้นเล่นเกม
ยิ่งได้เรียนรู้ ก็ยิ่งได้ค้นพบว่ามีประเภทของเกมเยอะแยะเต็มไปหมด ทั้งแบ่งจากเนื้อเรื่องลักษณะการดำเนินเรื่อง การควบคุมเกม เครื่องเล่นเกมและอื่นๆอีกมากมาย ทอมรู้สึกว่าเกมเป็นหนังแบบหนึ่งที่ทำให้ผู้เล่นเข้าไปมีส่วนร่วมในการเลือกทางเดินการผจญภัยหรือฉากจบให้กับตัวเองได้อย่างอิสระ
ตั้งแต่นั้นการหนีออกมาเดินเล่นในโลกมนุษย์ ทอมจะต้องพาตัวเองมาเยี่ยมเพื่อนที่เขารู้จักแต่เพียงฝ่ายเดียวทุ่มเทให้กับการเล่มเกมทุกรูปแบบคนนี้ทุกครั้งไป
“ยังไม่นอนอีกเหรอลูก” เสียงผู้หญิงดังขึ้น เจ้าของห้องหยุดการเคลื่อนไหว ร่างสูงรีบทำลายหลักฐาน เขาปิดหน้าจอคอม วิ่งทิ้งตัวลงบนเตียงที่อยู่ข้างๆโต๊ะคอมพิวเตอร์โดยเร็ว แสร้งทำเหมือนว่าตัวเองกำลังเข้าไปเดินทางอยู่ในดินแดนแห่งความฝันอยู่และแน่นอนว่าเมื่อผู้เป็นแม่เปิดประตูห้องนอนเข้ามาก็พบกับร่างลูกชายที่นอนผ่อนลมหายใจออกมาสม่ำเสมอเป็นปกติ
“นายนี่มันจริงๆเลยนะเอซ่า”
ร่างคุ้ดคู้ในผ้าห่มรีบยันตัวจากเตียงเพื่อหันไปทางต้นเสียงแน่นอนว่าเขาไม่พบอะไรเลย นอกจากต้นไม้ข้างบ้านที่กิ่งก้านพลิ้วไหวไปตามลมเท่านั้น
แต่แล้วคนบนเตียงก็ฉีกยิ้มกว้างออกมาอย่างห้ามไม่ได้
“หายไปไหนมาตั้งนานฉันรอนายมาตั้งหลายคืนแล้วนะ”
บางทีทอมคงต้องคิดทบทวนใหม่แล้วว่าคนที่มีประสาทสัมผัสไวไม่ได้มีแค่แวมไพร์เลือดผสมอย่างเขาเพียงคนเดียว แต่การเล่นเกมก็ทำให้เอซ่าพัฒนาประสาทสัมผัสของเขาได้ไม่ต่างกัน
“ครับแม่...ผมเลิกงานแล้วครับ แม่นอนไปก่อนได้เลยนะครับ ไม่ต้องรอผมนะ แล้วเจอกันครับ” เด็กหนุ่มเจ้าของดวงตาสีฟ้ากดวางหูโทรศัพท์ก่อนจะถอนหายใจหนัก เพราะเส้นทางลัดที่จะสามารถกลับบ้านได้เร็วที่สุดมีเพียงต้องผ่านหน้าสุสานสถานที่วังเวงตอนดึกสงัด ซึ่งไม่มีใครกล้ามาเดินเพ่นพ่าน
เอซ่ารีบสาวเท้ายาวๆให้พ้นจากสถานที่ที่เป็นมุมเปลี่ยวของเมืองโดยเฉพาะยามดึกดื่นแบบนี้ ถ้าไม่ติดว่าจะต้องเร่งเก็บเงินให้ทันแผ่นเกมที่จะวางขายในอีกไม่กี่อาทิตย์ เขาคงไม่ต้องโหมงานพิเศษจนเกินเหตุแบบนี้ เกมที่เขาตั้งใจจะซื้อไม่ใช่เกมทั่วไปที่สามารถซื้อได้ดาษดื่นตามร้าน แต่เป็นรุ่นพิเศษของเกมที่เขาชื่นชอบตลอดกาล แน่นอนว่าร้านเกมที่มีเพียงร้านเดียวในเมืองมีวางขายจำนวนจำกัด ให้ตายยังไงแผ่นเกมนี้จะต้องเป็นของเขาให้ได้ ในหัวของเอซ่าพยายามให้กำลังใจตัวเองที่ต้องมาเดินในสถานที่แบบนี้ ก่อนจะก้มลงผูกเชือกรองเท้าที่ไม่ได้หลุดแต่อย่างใด
เพียงแต่เขาสัมผัสได้ถึงการตามมาของใครบางคนที่เขารับรู้มาตลอดทาง
“ผูกเชือกรองเท้าเสร็จเมื่อไหร่ ต้องลุกขึ้นมาจ่ายค่าผ่านทางมาให้พวกพี่ซะแล้วล่ะ” เสียงแหบพร่าดังขึ้น พร้อมร่างของชายฉกรรจ์สองคนเดินออกมาจากซอยเล็กๆ เป็นไปตามคาดว่ามีคนตามมาจริงๆ แต่เอซ่าไม่ได้คิดว่าจะมาโดนนักเลงหัวไม้ไถเงินตัวเองแบบนี้
คนเรานี่มันน่ากลัวกว่าผีหรือปีศาจใดๆซะอีก
“ใครจะอยู่ให้ไถละครับพี่ชาย” สัญชาติญาณของตัวเองสั่งให้เขาวิ่งออกไปเท่าที่จะเร็วได้แต่แล้วก็ถูกชายร่างอ้วนอีกคนขวางทางเต็มเปา ตอนนี้เด็กหนุ่มกำลังจะเข้าตาจน ไม่มีทางให้หนีต่อไปโดยไม่เจ็บตัวแล้ว
เสียงหัวใจเต้นที่คุ้นเคยของใครบางคนดังขึ้นผิดปกติ จนทอมที่กำลังนั่งอ่านนิตยสารเกมที่แอบหยิบมาตอนออกไปเดินเล่นนอกสุสานบนแผ่นป้ายหลุมศพต้องรีบวางมือจากคอลัมน์แนะนำเกมเข้าใหม่เขารีบวิ่งไปตามต้นเสียงเท่าที่จะเร็วได้ ในที่สุดก็พบชายท่าทางน่ากลัวและเด็กหนุ่มที่เขารู้จักกำลังระดมหมัดเข้าใส่กันอย่างไม่ลดละ
ไม่น่าใช่เรื่องดีแล้ว สายตาของทอมพลันเหลือบไปเห็นชายคนหนึ่งชักมีดออกมาหมายจะจ้วงแทงเด็กหนุ่มที่ไร้ทางสู้
“เอซ่า ระวัง!”
สิ้นเสียง ร่างของเด็กหนุ่มลึกลับวิ่งเข้าใส่ชายถือมีดด้วยการเคลื่อนไหวที่เป็นเลิศ ข้อมือหนาถูกหักลงอย่างง่ายดาย พร้อมกับอาวุธที่ร่วงหล่นจากมือที่ไร้เรี่ยวแรง ชายคนนั้นส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดเป็นเวลามากพอที่เอซ่าจะตั้งหลักทันและชกเข้าไปอีกเต็มแรง
กลิ่นคาวเลือดที่ลอยฟุ้งอยู่ในอากาศทำให้เขี้ยวของแวมไพร์เลือดผสมที่ไม่เคยได้ลิ้มรสชาติของเลือดมนุษย์มาก่อนทำงานตามสัญชาติญาณ เขี้ยวสีขาวค่อยๆงอกออกมา แววตาของเขาว่างเปล่า ทอมรู้สึกว่าร่างกายของตัวเองกำลังเสียการควบคุม
ภาพตรงหน้าเป็นที่น่าสยดสยองสำหรับเหล่าหัวขโมยเสียงหวีดร้องขอชีวิตดังโหวกเหวกไปทั่วก่อนจะรีบหนีไปในความมืดพร้อมแบกร่างของเพื่อนอีกคนไปด้วยความทุลักทุเล
“หาเรื่องผิดคนแล้วไอ้พวกอันธพาล” เด็กหนุ่มผู้โชคร้ายตะโกนไล่หลังออกไปด้วยกำลังที่มีเหลืออยู่น้อยนิด ก่อนจะพาร่างอันบอบช้ำของตัวเองเข้ามาหาอีกคนที่ยืนหันหลังให้อย่างมีพิรุธ
“ขอบคุณมากนะ ถ้าไม่ได้นาย ป่านนี้ก็คงแย่ไปแล้ว” ร่างสูงก้มลงหยิบกระเป๋าสะพายของตัวเองขึ้นมาอย่างเหนื่อยอ่อน
“...ไม่เป็นไร ฉันอยู่แถวนี้ บังเอิญได้ยินเสียงน่ะเลยออกมาดูว่ามีอะไรหรือเปล่า”
“ขอบใจนะ ฉันสบายดีไม่เคยสบายดีแบบนี้มาก่อนเลย” เอซ่าพูดติดตลกด้วยน้ำเสียงแหบพร่า เด็กหนุ่มคนนั้นค่อยๆหันมาเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย ร่างของทอมเดินใกล้เข้ามาทีละน้อยอย่างกล้าๆกลัวๆเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ปรากฏตัวต่อหน้าเพื่อนที่รู้จักแต่เพียงฝ่ายเดียวอย่างเปิดเผย
“แต่นายเลือดออก...” มือของทอมชี้ไปที่มุมปากที่เจ็บแปลบของอีกคนจากการตะลุมบอนเมื่อครู่
เวลาเดียวกันกับที่เอซ่ากำลังจะต่อบทสนทนาเมื่อครู่ แสงไฟจากรถยนต์โดยสารที่นานๆจะมาสักทีสาดส่องทำให้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยของคนตรงหน้า เอซ่าสบตากับพลเมืองดีที่ช่วยชีวิตตนไว้ทุกอย่างในสมองของเขาก็ขาวโพลนไปหมด
“นาย...”
ไม่มีคำพูดต่อมาจากเอซ่า เพราะคนตัวเล็กกว่าขยับเข้ามาใกล้ชิดจนเกินไปมีเพียงลมหายใจที่เป่ารดกันกั้นพวกเขาทั้งสองไว้ ดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้มจดจ้องไปที่มุมปากด้วยแววตาชวนฝัน กระทั่งลำคอของร่างสูงถูกเหนี่ยวรั้งลงมาริมฝีปากบางบรรจงแนบไปที่มุมปากกบเลือดของอีกคนอย่างอ่อนโยน เอซ่าที่กำลังประติดประต่อเรื่องราวต่างๆไม่ทันได้แต่เบิกตาโพลงด้วยความตกใจ
แวมไพร์หนุ่มที่ได้ลิ้มหยาดหยดของเลือดมนุษย์เป็นครั้งแรกในชีวิตกำลังจะเสียการควบคุมตัวเองแต่ก่อนที่สัญชาติญาณกระหายเลือดจะทำงานอย่างเต็มที่ ร่างสูงก็เป็นฝ่ายประคองใบหน้าของอีกคนไว้และปรับองศาให้เหมาะสมมากขึ้น
ทันใดนั้นเองสติของทอมที่กลับมาอีกครั้งก็พยายามใช้เรี่ยวแรงที่มีทั้งหมดผละออกจากริมฝีปากที่แสนเย้ายวนของอีกคนราวกับถูกน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ มือของเขาทุบไปที่อกกว้างของคนตรงหน้า
“ฉันขอโทษ!” เอซ่ารีบขอโทษกับการกระทำของตนเองเมื่อครู่ทั้งๆที่เขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าตัวเองทำอะไรลงไป แต่เมื่อเห็นว่าอีกคนไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับคำขอโทษจากเขา เอซ่าก็เลยพูดทุกสิ่งที่พอจะคิดออกได้ในตอนนั้นออกไป
“...ก็นาย...เริ่มก่อนเอง เฮ้ย ไม่ใช่ๆ”แน่นอนว่ามันไม่ได้ช่วยทำให้อะไรดีขึ้นเลย เอซ่าได้แต่ก่นด่าตัวเองในใจไม่หยุด
“ขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะ...จูบนายนะ” เอซ่ารู้สึกได้ถึงไอร้อนผ่าวบนใบหน้าของตัวเองทันทีที่พูดคำๆนั้นออกไป
คนที่ก้มหน้างุดค่อยๆเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาสีน้ำตาลเข้มสบเข้ากับดวงตาสีฟ้าอยู่ครู่หนึ่งทอมพยักหน้าหงึกหงัก ก่อนจะเตรียมตัวออกวิ่งไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุดแต่ก็ถูกรั้งไว้
“ฉันชื่อเอซ่านะ ยินดีที่ได้รู้จัก” เอซ่าพูดขึ้น พลางยื่นมือออกไปหาเพื่อนที่เขาควรจะได้ทำความรู้จักตั้งนานแล้ว เขายิ้มกว้าง แต่ก็ทำไม่ได้นานนัก เพราะบาดแผลเจ้าปัญหานั่น
“ทอม ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันนะ เด็กติดเกม” เจ้าของใบหน้าน่ารัก ดวงตาเป็นประกายและรอยยิ้มที่ชวนให้หัวใจเต้นแรงยื่นมือมาจับแต่โดยดี
ถ้าเอซ่าเป็นเด็กติดเกม ตัวเขาเองก็คงเป็นเด็กติดเกมเหมือนกัน
ทอมติดเกมที่เอซ่าเล่น หรือไม่ก็ทอมติดใจเอซ่าไปซะแล้ว
เอซ่ากระชับมือของอีกคนให้แนบแน่นขึ้น เผื่อจะทำให้ทั้งคู่ใกล้ชิดกันได้เร็วกว่าเดิม ก่อนจะค่อยๆปล่อยมือของทอมไป ทั้งๆที่อยากจับไว้ให้นานกว่านี้อีกสักนิด อันที่จริงคงต้องขอบคุณอันธพาลพวกนั้นที่ทำให้เอซ่าได้มีค่ำคืนที่เลวร้ายและดีที่สุดในชีวิต เพราะตัวเขาเองคงจะต้องเสียใจ หากได้ทำความรู้จักกับคนตรงหน้าช้าไปอีกหนึ่งวัน
“ไม่ว่านายจะเป็นคนหรือเป็นอะไรก็ช่าง มันก็ไม่สำคัญหรอก แค่เป็นตัวของตัวเอง เป็นนายในแบบที่ฉันชอบ...ก็พอแล้ว”
Fin ❤
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in