เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
YOUR SMILE, MY EYES, THE WAY WE ARE .nninewnn
MR. PERFECT (END)
  • “วันนี้ผมต้องทำอะไรบ้างครับ”



    เป็นประจำเหมือนกับทุกวันฮวัง มินฮยอนเข้างานตอนแปดโมงเช้า ไม่ว่าจะเลิกงานกี่โมงก็จะโผล่หน้ามาเวลานี้เสมอ ส่วนคิมจงฮยอนเองก็ต้องเผื่อเวลาไว้ประมาณสิบห้านาทีก่อนหน้าเพื่อให้มั่นใจว่าเขาจะสามารถตอบคำถามนี้ของมินฮยอนได้ทุกเช้า


    “จะมีงานเอกสารให้คุณพิจารณาหลายฉบับรบกวนทำให้เสร็จภายในเที่ยงด้วยนะครับ” คนรับฟังตอบรับด้วยการพยักหน้า “หลังจากนั้นก็มีเวลาพักสองชั่วโมง เริ่มประชุมผู้ถือหุ้นตั้งแต่บ่ายสอง”


    “ตามกำหนดการสิ้นสุดเมื่อไหร่”


    “สามชั่วโมงครับ” เลขานุการหนุ่มตอบ “แต่ผมคิดว่ามันก็คงยืดยื้อตามเคย เลยเผื่อเวลาไว้ให้แล้วคิดว่าไม่น่าเกินหกโมงครึ่ง”


    “ดีเลย” เอ่ยชมเขาด้วยใบหน้าเฉยชาและน้ำเสียงไม่ยินดียินร้ายเช่นเคย


    “หลังจากนั้นก็ไปทานอาหารกับครอบครัวคุณอิมเป็นอันจบครับ”เขาปิดสมุดเล่มเล็กในมือตนเอง 


    จงฮยอนเคยโดนคนตรงหน้าว่าเขาคร่ำครึที่ใช้สมุดจดแบบนี้ (และโคตรเจ็บใจที่สิ่งมีชีวิตที่โบราณกว่าเขาเยอะมาทำตัวไฮเทคกว่าเขาเสียได้) แต่เขาก็คุ้นชินกับอะไรแบบนี้มากกว่าจริงๆ


    มินฮยอนพยักหน้าเคลื่อนย้ายตัวเองไปที่โต๊ะตัวใหญ่ริมหน้าต่าง ใช่, ตอนนี้มินฮยอนได้ย้ายโต๊ะเลขาฯ ของเขาเข้ามาในห้องทำงานด้วยแล้วอยากโต้แย้งไปบ้าง แต่อย่างว่า จงฮยอนไม่เคยเถียงชนะคนเอาแต่ใจและเผด็จการอย่างมิสเตอร์เพอร์เฟกต์ได้เสียที เขาไม่อยากลงแรงกับอะไรที่ไม่คุ้มค่าหรอก


    คนตัวเล็กเป็นคนจัดแฟ้มเอกสารเกือบสิบให้มินฮยอนด้วยตัวเองก่อนจะมาจัดการงานของตัวเองที่นอกเหนือจากตำแหน่งเลขาฯ บ้าง บางครั้งเขาก็รับงานเพิ่มเติมมาจากฝ่ายต่างๆ ยามที่เกิดเหตุวุ่นวาย เจ้านายเขาไม่พอใจเท่าไหร่กับเหตุการณ์เหล่านี้ อีกฝ่ายมักจะอ้างว่างานที่เขาต้องทำให้ตนเองก็หนักอยู่แล้ว อย่าทำตัวใจดีไปเรื่อยเพื่อกดดันตัวเองจะดีกว่า


    ซึ่งจงฮยอนเถียงในใจ งานเลขาฯ ของมินฮยอนไม่ได้หนักหนาขนาดนั้น มินฮยอนจัดการทุกอย่างได้ดีชนิดที่ว่าไม่มีเลขาฯ ก็คงไม่มีความลำบากใดในชีวิต แต่ก็ยังอุตส่าห์จ้างเขาไว้ในตำแหน่งนี้อยู่ดี


    เสียงปลายนิ้วเคาะลงบนแป้นคีย์บอร์ดกับเสียงจากเครื่องปรับอากาศเป็นสิ่งที่ทำลายความเงียบอยู่ตอนนี้ ไม่นานเขาก็จัดการพิมพ์เอกสาร


    “ผมเอาเอกสารไปให้ฝ่ายขายนะครับ”


    “เชิญเลย”


    ผู้น้อยขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อยปกติ แล้วมินฮยอนจะตอบรับสั้นๆ ไม่ใช่ถ้อยคำด้วยน้ำเสียงฟังดูประชดประชันกันแบบนี้


    หรือบางทีหูเขาอาจจะเพี้ยนพ่อแวมไพร์แสนเพอร์เฟกต์คงไม่รู้จักการประชดหรอก


    พอคิดแบบนั้นเลยเดินจากออกมาพร้อมกับเอกสารในมือกดลิฟต์ไปที่ชั้นสิบเอ็ดซึ่งเป็นที่อยู่ของฝ่ายขาย ไม่นานนักก็มาอยู่ตรงหน้าบอกตามตรงว่าจงฮยอนไม่ชอบโผล่หน้ามาที่แผนกนี้เท่าไหร่ แต่ก็ต้องมาอยู่ดี


    “อ้าวเจอัลรี่” ฉายาหน่อมแน้มเป็นสิ่งแรกที่กระทบหูเมื่อเปิดประตูเข้ามา เห็นรอยยิ้มแป้นแล้นขององ ซองอูฝ่ายขายอยู่ตรงหน้า “มาทำอะไรเหรอ”


    “เอาเอกสารมาให้ครับ” เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงเฉยชา “มีทั้งส่วนของดาเนียลกับส่วนของฮยอนบิน” เหลือบมองผ่านโต๊ะรูปร่างสูงผอมของอีกคนไปก็พบว่าสองคนนั้นหันมายิ้มน้อยๆ ให้เขา


    จงฮยอนสนิทกับดาเนียลในระดับหนึ่งเพราะเข้ามาทำงานพร้อมกัน แม้จะอยู่กันคนละฝ่ายแต่ฝ่ายเดิมของเขาก็อยู่ชั้นเดียวกันกับฝ่ายขายนั่นแหละ ส่วนฮยอนบินนั้นเป็นรุ่นน้องที่ดาเนียลเป็นพี่เลี้ยงให้ในช่วงแรก หากวันใดถ้าเจ้านายเขาไม่สามารถปลึกตัวมาทานข้าวด้วยกันได้ เขาก็นั่งกับสองคนนั้นบ่อยๆ


    “งั้นหรือแล้วตอนนี้มินฮยอนทำอะไรอยู่ล่ะ”


    คนตัวเล็กยิ้ม “ทำงานครับ”


    “กวนกันจังเลยนะเจอัลรี่” แววตาวาบวับของอีกคนมักจะทำให้อึดอัดใจเสมอ


    ซองอูเป็นเพื่อนของมินฮยอนตั้งแต่สมัยเรียน  ก็เพื่อนแหละ แต่ไม่ใช่เพื่อนสนิท มิสเตอร์เพอร์เฟกต์ว่างั้น


    “งั้นผมขอตัวนะครับคุณซองอู”


    “อา เดี๋ยวสิ” ทั้งที่เขาโน้มศีรษะแล้ว แต่ซองอูก็ยังไม่อนุญาตให้เขาไปไหนโดยการกวาดวงแขนขึ้นมาพาดบ่าเขาอย่างถือวิสาสะ “รีบไปจังเลย กลับห้องของมินฮยอนหรือครับ”


    ริมฝีปากคลี่ยิ้มพยักหน้าให้น้อยๆ อย่างมีมารยาท “ครับ”


    หัวหน้าฝ่ายขายหัวเราะเพียงเล็กน้อยเดินออกจากแผนกพร้อมกับเขาใช้มืออีกข้างที่ไม่ได้เกาะกุมไหล่เขาอยู่ลากประตูปิดอย่างแผ่วเบา


    “คุณซองอูจะไปไหนหรือครับ” จงฮยอนอดถามไม่ได้เมื่ออีกฝ่ายยังคงไม่แยกกับเขา แม้จะมายืนอยู่หน้าลิฟต์แล้วก็ตาม


    อีกฝ่ายถอนหายใจ “จะไปหาแผนกบัญชีเสียหน่อยน่ะครับ มีเรื่องน่าปวดหัว อยากจะเลิกทำงานให้จบๆ ไปเสียที”


    เขานึกขันกับคำบ่นที่ฟังดูน่าหมั่นไส้ เพราะจริงๆ แล้วซองอูไม่ต้องทำงานก็คงจะมีกินมีใช้ไปตลอดทั้งชาติ สกุลองมีฐานะพอๆ กับสกุลฮวังนั่นแหละ เพียงแต่อีกฝ่ายเป็นผู้ถือหุ้นในสายธุรกิจบันเทิงอย่าว่างั้นว่างี้เลย, ใบหน้างดงามของซองอูจะไปทำงานในจอแก้วเองก็คงดังเป็นพลุแตก แต่เขาเคยได้ยินซองอูตอบกลับคนที่เสนอทางเลือกนี้ให้ในปาร์ตี้ของชนชั้นไฮโซของเกาหลีว่า


    “ไม่เอาหรอกครับผมไม่ชอบเป็นจุดสนใจ มันวางตัวลำบาก”


    และคิม จงฮยอนมารู้ทีหลังจากคนเป็นนายของตนเองว่าไอ้คำว่าวางตัวลำบากนั้นหมายถึงการเก็บความลับลำบากด้วย


    ความลับที่ว่าอีกฝ่ายเองก็ต้องดื่มเลือดเป็นอาหารจานหลักเหมือนกับมินฮยอน


    “ว่าแต่วันนี้มินฮยอนมีไปเลี้ยงทานอาหารกับครอบครัวอิมหรือเปล่าครับ”


    คนเป็นเลขาฯ นิ่วหน้าเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยเช่นนี้ “ทำไมหรือครับ?” ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ ต่อให้มินฮยอนบอกว่าอีกฝ่ายเป็นมิตรเขาก็มองไม่เห็นความสมควรที่จะเปิดเผยตารางชีวิตของเจ้านายให้อีกฝ่ายรู้ 


    “เปล่าหรอกวันก่อนบังเอิญเจอคุณหนูอิม เจ้าหล่อนถามถึงมินฮยอนน่ะ” รอยยิ้มแพรวพราวตอบกลับเขาเช่นนั้น จงฮยอนเหลือบมองตัวเลขบนลิฟต์ที่บ่งบอกว่าระยะเวลาที่ต้องคุยกับซองอูใกล้จะหมดลงแล้ว “ถ้าวันนี้พวกเขาได้เจอกันก็เป็นเรื่องดี”


    ติ๊ง!


    เสียงสัญญาณดังเบาๆ พร้อมกับประตูที่เปิดออก ซองอูก้าวออกจากลิฟต์ไป “ขอตัวนะครับ” เอ่ยลากันด้วยรอยยิ้ม


    คนตัวเล็กยิ้มกลับนั่นเป็นทั้งหมดที่ทำได้ พอประตูลิฟต์ปิดลงอีกคราเขาก็เผลอถอนหายใจออกพรืดใหญ่


    จงฮยอนรับมือแวมไพร์คนเดียวก็เหนื่อยแล้วอย่าให้เขาต้องมารับมือกับแวมไพร์อันตรายแบบอง ซองอูบ่อยๆ ด้วยเลย







     

    “หลังจากผมกินข้าวกับคุณอิมเสร็จผมจะไปส่งคุณ”


    มิสเตอร์เพอร์เฟกต์เองก็ช่างเผด็จการ เขาแย้งไปว่าเขาสามารถกลับบ้านได้เองก็ไม่ยักกะฟัง  เพราะเหตุนั้นเขาเลยมานั่งทำงานที่โซนรับรองแขกของโรงแรม ในขณะที่มินฮยอนไปร่วมโต๊ะอาหารกับคุณอิมและบุตรสาวที่ชื่ออิม นายองบนชั้นบนสุดของโรงแรม


    จนตอนนี้เป็นเวลาสามทุ่มแล้ว จงฮยอนเริ่มรู้สึกว่ากระเพาะเขาส่งเสียงประท้วงบ่อยเกินไปกาแฟกับพายที่ทานไปเมื่อทุ่มก็ย่อยไปหมดแล้ว มือเล็กเอื้อมมือไปปิดหน้าจอโน้ตบุ๊กที่จับจ้องมานาน เหลือบมองนาฬิกาข้อมือตัวเอง


    หรือเขาควรจะคาทกไปบอกอีกฝ่ายแล้วหนีกลับให้จบๆ ไปเลยดีกันหนอ


           เหมือนเจ้าตัวจะรู้ตัวเมื่อหน้าจอโทรศัพท์มือถือราคาแพงที่ฮวัง มินฮยอนซื้อให้สำหรับใช้ทำงานสว่างวาบขึ้นมาพร้อมข้อความจากเจ้านายของเขาที่บอกว่ากำลังจะลงมา


              สิบนาทีไม่นานนักถ้าเทียบกับที่รอมาร่วมชั่วโมง แต่เมื่อประตูลิฟต์ใกล้นั้นเปิดออก จงฮยอนกลับพบว่าเขายอมรอให้นานกว่านี้หน่อยคงจะดี


              “คิม จงฮยอนเลขาฯ ของผม” มิสเตอร์เพอร์เฟกต์ที่ไม่ได้เดินลงมาคนเดียวเอ่ยเรียกชื่อเขา ไม่ใช่จะสั่ง แต่เป็นการแนะนำตัวให้เขารู้จักกับคนตรงหน้า “จงฮยอน นี่คุณนายอง ลูกสาวของคุณอิม”


             คนเป็นเลขาฯ โค้งตัวให้หญิงสาวรูปร่างผอมเพรียวตรงหน้า เจ้าหล่อนสวยด้วยรอยยิ้มบางๆที่ปรากฎบนใบหน้า หุ่นดีราวกับนางแบบชุดแซคสีเข้มขับผิวขาวเนียนละเอียดของเธอให้เด่นชัด เธอดูดีเสียจนเขากลัวว่าจะเผลอจ้องมองหล่อนมากไปด้วยซ้ำ


              “คุณอิมมีธุระต่อเดี๋ยวผมคงไปส่งคุณนายองเอง”


              คำพูดนั้นทำให้คนที่นั่งรอมาตลอดนิ่งเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะสูดลมหายใจ “จะให้ผมขับรถให้หรือคุณมินฮยอนจะขับรถเองครับ”


              “ผมขับไปเองดีกว่า”


    คำตอบนั้นยิ่งกว่าโดนตบหน้าเสียอีกหากแต่จงฮยอนก็ไม่ได้แสดงทีท่าออกไป


    “ครับ” ทำได้เพียงตอบรับแค่นั้น


    กุญแจรถไม่ได้อยู่ที่เขาเนื่องจากโรงแรมระดับสูงเช่นนี้มีบริการให้เสร็จสรรพ มินฮยอนพยักหน้าให้เขาเล็กน้อย สีหน้าเฉยชาเหมือนปกติตอนที่เขาเก็บข้าวของเพราะอยากให้โอกาสให้มิสเตอร์เพอร์เฟกต์อยู่กับบุตรสาวผู้ถือหุ้นรายใหญ่รายหนึ่งของคู่ธุรกิจ


    นั่นสิในเวลาที่มินฮยอนอยากมองหาคู่ครองปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าเจ้าหล่อนเป็นคนที่เหมาะสมพอตัว


    คิมจงฮยอนผ่อนลมหายใจ บอกตัวเองว่าอาการเจ็บปวดและหวิวในอกนี้เป็นเพราะเขาต้องการอาหารเท่านั้นเอง









     

    ช่วงหลังๆ มานี่มีแต่ผู้คนเริ่มคุยกันว่าสถานะของมิสเตอร์เพอร์เฟกต์กับลูกสาวคนเดียวของผู้ถือหุ้นรายใหญ่คืออะไร อย่าว่าแต่นักข่าวเลย ผู้คนในบริษัทเองก็อดใส่ใจใคร่รู้ไม่ได้เหมือนกัน ในเมื่อนายองเริ่มปรากฎตัวที่บริษัทบ่อยครั้งเพื่อมากินข้าวกับนักธุรกิจหนุ่มในตอนเที่ยงบ้าง ตอนเย็นบ้างสลับกันไป


              “อื้อฮึ, ดูเหมือนคุณมินฮยอนใกล้จะสละโสดแล้ว” ดาเนียลเอ่ยเช่นนั้นตอนที่เขากำลังทานข้าวเที่ยงกันอยู่ “เขาพูดถึงกันเยอะเชียว”


              “ฉันเชื่อ” จงฮยอนตอบอย่างไม่ปิดบัง


              ลองคิดดูสิว่าใครจะกล้าถามมินฮยอนตรงๆ ถึงข่าวลือพวกนี้ ไม่มีหรอก คนรับเคราะห์กรรมก็เขาทั้งนั้นแหละที่ต้องคอยตอบคำถามเรื่องส่วนตัวของเจ้านาย


              “แล้วมันจริงหรือเปล่าล่ะพี่” ฮยอนบินเป็นคนถามเขาบ้าง


              ดวงตากลมผลุบลงต่ำ “ไม่รู้สิ”


    เขาหมายถึงแบบนั้นจริงๆ


              ช่วงนี้มินฮยอนแบ่งเวลาไปให้นายองอย่างเห็นได้ชัด จะกล่าวว่างานไม่ยุ่งก็คงไม่ใช่ อีกฝ่ายงานยุ่งสม่ำเสมอแทบไม่มีวันว่างปกติแล้ว ถ้าช่วงกลางวันไม่ได้มีนัดไปทานข้าวกับคู่ค้าอีกฝ่ายก็สั่งอาหารมาทานร่วมกับเขาในห้องเสมอ ครั้นจะบอกว่าการทานอาหารกับเจ้าหล่อนเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจก็ไม่ได้เมกเซ้นส์แม้แต่น้อย คงไม่มีการกินข้าวเพื่อธุรกิจกับหญิงสาวคนเดินสองวันต่อสัปดาห์เช่นนี้หรอก


              มินฮยอนไม่พูดเรื่องส่วนตัวให้เขาฟังนักคงเพราะมิสเตอร์เพอร์เฟกอย่างอีกฝ่ายไม่มีปัญหากับเรื่องใดๆ ในโลกจัดการได้ทุกอย่างทั้งเรื่องธุรกิจและเรื่องการใช้ชีวิตล่ะมั้ง


              พอคิดเช่นนี้เขาก็นิ่งงันไปพักใหญ่ เหมือนตกลงไปในหลุมลึกที่ไม่รู้ว่าก้นบึ้งอยู่ตรงไหน เขาจะลอยอยู่บนอากาศนานแค่ไหน ร้ายไปกว่านั้น จงฮยอนไม่รู้หรอกว่าก้นบึ้งนั้นมีอะไรอยู่ จะเป็นหนามแหลมคมแทงเขาจนสะบักสะบอมหรือจะเป็นปุยนุ่นสัมผัสเบาสบายรองรับเขากันแน่


    บทสนทนาที่ถูกเปลี่ยนไปเรื่อยไม่ชักจูงเขาออกจากภวังค์ของตัวเอง จงฮยอนไล้ปลายนิ้วลงบนลำคอเหนือไหปลาร้าตนเองอย่างแผ่วเบา เขายังจำได้ว่าตอนที่ถูกคมเขี้ยวสีขาวสะอาดของอีกฝ่ายฝังลงบนร่างกายครั้งแรกเขารู้สึกอย่างไร แม้มินฮยอนไม่เคยลากไล้เขี้ยวมาบริเวณนี้เป็นครั้งที่สองตามที่ตกลงกันไว้ – ในเมื่อเขายินยอมเป็นอาหารให้อีกฝ่ายดื่มด่ำก็ไม่มีสาเหตุอะไรให้อีกฝ่ายจะเปลี่ยนเขาให้เป็นเหมือนตน นอกจากครั้งแรกแล้ว มินฮยอนชื่นชอบที่จะดื่มไวน์คนเดียวที่ต้นขาด้านในของเขามากกว่า


              บอกตามตรงเขาไม่ชอบหรอกการที่ต้องมาอ้าขาบนเตียงให้ผู้ชายสักคนเชยชม มินฮยอนใช้เวลาพินิจเขานานเกินไป คงเพราะเป็นคนละเอียดละออการละเลียดชิมอาหารเลยเป็นไปเช่นนั้น


              แต่มินฮยอนไม่ได้เรียกเขาไปทานนานแล้ว


              ฮยอง จงฮยอนฮยอง!”


              “ฮะ? อะไรนะ” เจ้าของชื่อสะดุ้งเมื่อพบว่าตัวเองตกอยู่ในภวังค์


              “ไปกันเถอะครับ ใกล้หมดเวลาแล้วด้วย”


         คนตัวเล็กครางตอบรับในลำคอกุลีกุจอเก็บข้าวของ ฮยอนบินกับดาเนียลมีการพักที่เป็นเวลามากกว่าเขา แต่การรีบกลับโต๊ะตัวเองก็ดี เขายังมีงานเหลือให้เคลียร์อยู่บ้าง


              ส่วนเจ้านายเขาน่ะหรือ ลองไปกินข้าวกับคุณนายองไม่มีทางกลับมาเร็วกว่าเขาอยู่แล้ว


              คิม จงฮยอนแบกตัวเองกลับมาที่ชั้นสิบเก้า ห้องที่ควรจะล็อกอยู่กลับไม่ได้ล็อกไว้เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็พบว่าคนที่ควรจะยังทานอาหารอยู่ที่ภัตราคารหรูกลับมาประจำโต๊ะทำงานของตัวเองเรียบร้อยแล้ว


              “ช้าไปสองนาทีนะ” นั่นเป็นคำแรกที่ได้รับ


              “ขอโทษครับ” จงฮยอนโน้มศีรษะ “มื้ออาหารวันนี้เป็นยังไงบ้างครับคุณมินฮยอน”


              มิสเตอร์เพอร์เฟกต์ละสายตาจากแฟ้มเอกสารตรงหน้าเหลือบตามองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ติดจะเย็นชาด้วยซ้ำไป หรือจะไม่ควรถาม แต่อย่างไรก็ตาม, เขาคงเอาคำพูดตนคืนมาไม่ได้หรอก


              “ก็ดี” ท้ายที่สุดก็ได้รับคำตอบมาเช่นนั้น “อาหารอร่อยดี”


              จงฮยอนขยับปากแผ่วเบาว่า งั้นหรือครับ’ แต่คงเบาเกินกว่าที่อีกฝ่ายจะได้ยินเลยไม่มีบทสนทนาใดๆต่อมา


    เขาทิ้งกายบนเบาะนุ่มของตัวเองเปิดเอกสารต่างๆ มาจัดการจากที่ค้างไว้


              ฮวัง มินฮยอนที่เป็นมิสเตอร์เพอร์เฟกต์คงซื่อบื้อเกินกว่าจะเข้าใจคำถามในใจเขากระมัง







     

    การประชุมที่ยืดเยื้อจนเกินไปย่อมทำให้เขาอ่อนล้าเป็นธรรมดา


              มินฮยอนเองก็ดูสีหน้าหงุดหงิดไม่แพ้กัน คนเข้าร่วมทั้งยังจดการประชุมอย่างเขาหัวหมุนกับข้อสรุปที่ไม่ปรากฎเสียที นานร่วมสองชั่วโมง หิวเสียจนท้องกิ่วไปหมดแล้ว พอออกจากห้องประชุมเขาเลยตรงดิ่งไปเก็บของที่ห้องในทันที


              “เดี๋ยวผมไปส่ง”


              “ไม่เป็นไรหรอกครับ” เอ่ยดักทันทีที่ร่างสูงบอก “ผมกลับเองได้”


              “ไปทานอาหารแล้วค่อยไปส่งคุณก็ได้”


              “ผม” ในใจนึกอยากโต้แย้ง แต่คนตรงหน้ากับใช้แววตานั่นสื่อสารกับเขาว่าอย่าคิดเถียงต่อ พอเป็นอย่างนี้ก็ทำให้กลืนคำพูดทั้งหมดลงคอเสียไม่ได้ “โอเคครับ ผมจะกลับกับคุณ”


              “กินข้าวด้วย”


    “ครับ”


    หน้าผากของมินฮยอนแปะคำว่า ก็แค่นี้ ไว้พร้อมกับลมหายใจที่ผ่อนออกมา


              เพราะเขาไม่มีแม้กระทั่งใบขับขี่หากไปไหนมาไหนเป็นการส่วนตัว คนที่ต้องอยู่หน้าพวงมาลัยก็ต้องเป็นมินฮยอนร่ำ ไปนี่เลยไม่ใช่ครั้งแรกที่เขานั่งข้างๆ คนขับ ลอบมองใบหน้างดงามของอีกฝ่ายผ่านกระจกหลังที่อีกคนใช้ แน่นอนจงฮยอนปฏิเสธไม่ได้หรอกว่ามินฮยอนดูดีเสมอ ทั้งผิวซีดเซียวดวงตาคมเฉี่ยว ริมฝีปากบางและใบหน้าที่ไร้อารมณ์นั่น


              มินฮยอนพาเขามาที่ร้านอาหารอิตาเลียนที่อีกฝ่ายเคยพูดถึง จงฮยอนไม่ค่อยชื่นชอบมันเท่าไหร่แม้อาหารจะอร่อยมากแต่ราคาแพงระยับเกินกว่าที่เขาจะนึกถึงมันก่อนได้เป็นอาหารของคุณแวมไพร์เสียอีก


              “คุณอยากกินไวน์ไหม”


    นั่นเป็นคำถามแรกหลังจากที่มินฮยอนสั่งอาหารทั้งในส่วนของตนและส่วนของเขาเสร็จ


              คนตัวเล็กกว่าเลิกคิ้ว “ไม่หรอกครับ” เขาไม่ได้สันทัดกับเครื่องดื่มราคาแพงขนาดนั้น


              “งั้นหรือ” อีกฝ่ายพยักหน้าน้อยๆใช้ดวงตาคู่นั้นไล้บนกายของเขาแบบที่คนถูกมองเผลอยืดหลังให้ตรงโดยอัตโนมัติก่อนที่ริมฝีปากนั่นจะบดเข้าหากัน มินฮยอนก็เอ่ยเอื้อนคำหนึ่งออกมา “แต่ผมอยากดื่มไวน์อยู่นะดื่มคนเดียวก็จะดี”


              ไวน์ที่ว่านั่นคือคีย์เวิร์ดที่ทำให้รู้ว่ามันไม่ใช่ไวน์แดงราคาแพงแต่หมายถึงหยาดเลือดสีแดงก่ำที่ไหลเวียนในตัวเขาต่างหาก


              ดวงตากลมผลุบลงต่ำ “ขอโทษนะครับ ผมคิดว่าร่างกายผมไม่ค่อยดีตอนนี้”


              “หลังจากมื้อนี้ – เพราะผมไม่ได้ทานอะไรนานแล้ว”


              แหงล่ะ, ในเมื่อครั้งสุดท้ายที่มือของมินฮยอนเคลื่อนไหวบนตัวเขาฟันเขียวสีขาวขบลงมาบนร่างเขาครั้งสุดท้ายก็ตอนคืนวันแต่งงานของญาติผู้ พี่มิสเตอร์เพอร์เฟกต์ไม่ได้ทานอาหารมาจะร่วมเดือนแล้ว


              “อาหารกำลังจะมาแล้วครับ”


              “คิม จงฮยอน” คนที่ห่างกันเพียงแค่โต๊ะกั้นเรียกชื่อเขาเสียงเข้มกว่าเดิมนิดหน่อย “คุณรู้ว่าผมไม่ได้หิวอาหารพรรค์นี้”


              เขารู้, ใช่ รู้ดีที่เดียว


              “ช่วงนี้งานหนักครับ คุณก็เห็น”


              “ผมเองก็ต้องอดทนมากเหมือนกันถึงเอ่ยขอคุณอย่างตรงไปตรงมา”


              “ขอโทษครับ” ความขุ่นเคืองฉายชัดบนแววตาของมิสเตอร์เพอร์เฟกต์จนเขาต้องหลบตา ได้ยินแค่เสียงนิ้วเรียวเคาะลงกับโต๊ะขณะที่รอจนอาหารจานหลักสำหรับเขามา


              แม้จะหงุดหงิดอีกฝ่ายก็ยังคงกินอาหารที่คงไม่มีผลอะไรกับความต้องการของตน ละเลียดชิมเหมือนกับชมงานศิลปะ ในขณะที่คนที่ต้องการอาหารประเภทนี้จริงๆ อย่างเขากลับกลืนมันด้วยความยากลำบาก พวกเขากินข้าวกันเงียบๆ นานทีเดียวกว่าอาหารในจานจะหมดลงเสียที


              จ่ายเงิน เดินตรงมาที่รถราคาแพงมินฮยอนยังคงจับจองที่นั่งคนขับและเขายังคงนั่งข้างๆ


              “คุณมินฮยอนครับ คอนโดผมไม่ใช่ทางนี้”


              แต่เส้นทางกลับไม่ใช่ที่คุ้นเคย


              เจ้าของรถยังไม่ละสายตามามองเขาแม้แต่น้อยทั้งยังเหยียบคันเร่งด้วยซ้ำ


              “คุณมินฮยอน!” เรียกอีกครั้งด้วยเสียงดังขึ้น ความหวาดหวั่นเริ่มเกาะกุมหัวใจ “คุณมิน—!”


              เสียงเรียกชะงักไปเมื่อมินฮยอนหักเลี้ยวข้างทาง เหยียบเบรกอย่างรวดเร็ว จงฮยอนเผลอเอามือกำเบาะแน่นด้วยความตกใจ หายใจหอบถี่ ไม่อยากจะจินตนาการแม้แต่นิด หากถนนสายนี้มีรถหนาแน่นเขาคงได้ตายเข้าจริงๆ แน่


              “ช่วงนี้คุณเป็นอะไร คิม จงฮยอน” น้ำเสียงของอีกคนไม่เรียบเฉยอีกแล้ว“คิดว่าผมไม่รู้หรือว่าคุณหงุดหงิดแค่ไหนและทำงานพลาดไปตรงไหนบ้าง”


              คนตัวเล็กบดกลีบปากเข้าหากัน


              “ผมเองก็เห็นคุณเป็นแบบนั้นเลยไม่อยากท้วงเรื่องที่จะดื่มเลือดคุณหรอกนะ แต่ผมเองก็ต้องทานอาหารเหมือนกัน”


              อาหารมนุษย์ไม่เคยดับความกระหายของเขาได้ -ไม่เคยเลย และจะให้ไปหาอาหารที่ไหนอีกในเมื่อสิ่งเดียวที่มิสเตอร์เพอร์เฟกต์ทานได้คือเลือดของคนตรงหน้านี้


              เขาใกล้หมดความอดทนเต็มทีแล้ว


              “อ๋อ, ขอบคุณครับที่อุตส่าห์ใส่ใจในสุขภาพของผม งั้นก็ช่วยไปส่งผมที่บ้านที”


              “คิม จงฮยอน” กดเสียงต่ำลอดไรฟัน “ผมต้องการเลือดของคุณคืนนี้ไม่อย่างนั้นผมคลั่งแน่”


              คนตัวเล็กทราบดีว่าอาการของแวมไพร์ขาดอาหารเป็นอย่างไรก็เป็นเหมือนตอนที่อีกฝ่ายสิ้นสติจนต้องกินเลือดเขาที่บังเอิญไปเจอยังไงล่ะ


              “จงฮยอน”


              “คุณมินฮยอน ผมขอโทษแต่ผมคิดว่า


              “ไม่มีคำว่าแต่” อีกฝ่ายขัดก่อนเขาจะพูดจบเสียอีก “จงฮยอนผมกำลังจะตายอยู่แล้ว”


              จังหวะนั้นเองที่จงฮยอนเห็นว่าคมเขี้ยวของอีกฝ่ายเริ่มโผล่มาให้เห็น ทั้งที่มันมักจะปรากฎมาเฉพาะตอนที่อีกฝ่ายจะดื่มเลือดเขาเท่านั้น เขามองมือหนาของอีกฝ่ายที่กำพวงมาลัยรถแน่นเสียเหลือเกิน ดวงตาสีเข้มก็เริ่มเปลี่ยนไปเป็นสีแดงก่ำ


              เขาคว้าประตูรถ สัญชาติญาณบอกว่าตอนนี้อีกฝ่ายอันตรายเกินไป แต่มือนั้นกลับเปลี่ยนมาคว้ามือของเขาก่อนที่จะหนีไปไหน ในขณะที่อีกมือคว้าที่ลำคอแรงที่ถูกส่งมากลับทำให้จงฮยอนรู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออก


              “อย่าคุณมินฮยอน”


    เสียงห้ามของเขาแผ่วเบาเมื่ออีกคนเริ่มซุกไซร้ที่ซอกคอ จงฮยอนภาวนาให้อีกฝ่ายยังคงมีสติอยู่ ได้โปรด กระซิบแผ่วเบาในขณะที่สัมผัสได้ถึงความเย็นจากคมเขี้ยวที่ลากไล้บริเวณลำคอนานเกินไป


    ท้ายที่สุดแล้วมิสเตอร์เพอร์เฟกต์ก็ใช้แรงที่มากมายกว่ามนุษย์ทั่วไปของตัวเองดึงเสื้อของเขาจนขาดวิ่นใช้คมเขี้ยวนั้นแทงลงบนเนื้อของเขาที่ต้นแขนด้านใน ความเจ็บปวดนั่นทำให้จงฮยอนกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ มันรุนแรงกว่าทุกครั้งที่มินฮยอนฝากฝังร่างกายลงมา หยาดน้ำตาคลอเมื่อคิดถึงสถานะของตนเอง


    เขาเป็นอาหาร เป็นแค่อาหาร – ต้องย้ำตัวเองอีกกี่ครั้งจึงจะเข้าใจ


    มือเล็กที่พยายามผลักคนสูงใหญ่กว่าเริ่มหมดแรงที่จะปฏิเสธ สายตาเขาเริ่มพร่าเลือน ร่างกายของเขาเบาหวิวเหมือนลอยบนปุยนุ่น ก่อนที่สติของเขาจะเลือนรางเสียจนหมดสิ้นลง แววตาแดงก่ำของอีกฝ่ายพร้อมกับริมฝีปากที่เปื้อนเลือดสีแดงก่ำของเขาเป็นสิ่งสุดท้ายที่เห็น


    เพราะฮวังมินฮยอนเป็นแวมไพร์อย่างนั้นหรือ ถึงมองเขาเป็นเพียงแค่อาหาร


    อาหารสำหรับมนุษย์ไม่ได้มีหัวจิตหัวใจ แต่เขาไม่ใช่เสียหน่อย


    ไม่เช่นนั้นในอกนี้คงไม่เจ็บปวดยามคิดว่าตัวเองเป็นได้แค่อาหารของอีกฝ่ายถึงเพียงนี้หรอก






     

    “เลขาฯ นายไปไหนเสียละมินฮยอน”


             “เงียบน่ะ”


              อง ซองอูผิวปากอย่างเริงร่า คนที่มีงานอดิเรกเป็นการกวนอารมณ์ชาวบ้านอย่างเขามีมิสเตอร์เพอร์เฟกต์เป็นศัตรู จะทำอะไรอีกฝ่ายก็ไม่ยินดียินร้ายไปเสียหมด แกล้งเลขานุการหนุ่มของมินฮยอนครั้นจะมีความสุขมากกว่าเสียอีก


              “เมื่อวานฉันก็ไม่เห็นนะ ลาหยุดงานเหรอ”


              “มีธุระอะไรอีกไหม”


              “หรืออาจจะลาออก


              “อง ซองอู”


              เจ้าของชื่อชะงักไปนิดหน่อยก่อนจะยกมือขึ้นเหนือหัวเหมือนคนร้ายโดนตำรวจจับ “โอเค คุณชายฮวัง ผมยอมแพ้แล้ว” ว่าพลางกลั้วหัวเราะ


              ไม่เคยเสียหรอกที่อีกฝ่ายจะน๊อตหลุดเร็วขนาดนี้ ช่วงหลังๆ มานี่ซองอูเหมือนได้กุมจุดอ่อนของอีกฝ่ายอยู่พอคิดแบบนี้แล้วเลือดรักสนุกในกายมันเต้นชอบกล


              “ถามจริงๆ นะ” เก็บความยิ้มกระหยิ่มไว้ในใจก่อนจะเอ่ยถามเสียงจริงจัง “แล้วสรุปเลขาฯ ของนายไปไหน นายคงไม่ได้เผลอดูดเลือดเขาจนหมดตัวแล้วเอาไปโยนทิ้งใช่ไหม”


              “น้อยๆ หน่อยซองอู ฉันไม่ทำอย่างนั้น ไม่มีวันแน่ๆ


              “งั้นเหรอสงสัยเจอัลรี่จะป่วยล่ะมั้ง ฝากบอกเขาว่าหายไวๆ ด้วยล่ะ”


              ท่าจะไม่ดีเอาเสียแล้ว เพื่อนแวมไพร์ของเขาเริ่มชักสีหน้าให้เห็นซองอูเลยตัดบทเช่นนั้น ตบบ่ากว้างเบาๆ ก่อนจะเดินออกมาจากห้องของอีกฝ่ายเสียก่อนเป็นการดีที่สุด


              มินฮยอนผ่อนลมหายใจยาว ยกมือขึ้นมานวดขมับของตัวเองอย่างแผ่วเบา คำพูดของเพื่อนอย่างซองอูพาลให้ในอกเขาร้อนรุ่มใจกว่าเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตระหนักได้ว่าคิม จงฮยอนหายหน้าหายตาไปอย่างไม่บอกล่าว


              หลังจากวันที่เขาได้ดื่มเลือดจนดับความอยากของตนเองไปแล้ว มินฮยอนเป็นคนที่ขับรถย้อนไปส่งอีกฝ่ายที่คอนโดด้วยตัวเอง ยอมรับว่าทำเกินไปหน่อยเพราะความหิวกระหายที่เก็บงำมาร่วมเดือน เมื่อมีอาหารกลิ่นหอมหวนมาอยู่ตรงหน้าก็ยากที่จะห้ามตัวเอง เขาตักตวงจนสุขสมใจได้แต่รออีกฝ่ายมาทำงานจะได้เอ่ยปากขอโทษอย่างตรงไปตรงมา


              แต่เช้าวันถัดมาจงฮยอนกลับติดต่อเขามาเพียงแค่คาทกบอกกันว่ารู้สึกไม่สบายจนต้องขอลางาน จะสั่งห้ามก็ไม่ได้ – ในเมื่อสาเหตุทั้งหมดเกิดจากเขาทั้งนั้น


              ถึงอย่างนั้นก็เถอะ, ตอนนี้เป็นวันที่สามแล้วที่จงฮยอนยังไม่โผล่หน้ามาที่บริษัท ไม่มีการติดต่อและข้อความใดๆ ต่อให้มินฮยอนเป็นคนใจเย็นแค่ไหนครานี้ก็ใช่ว่าจะใจเย็นไหว เขาคิดไว้แล้วด้วยซ้ำว่าหากพรุ่งนี้อีกฝ่ายไม่มาทำงานเขานี่แหละจะบุกไปที่คอนโดอีกฝ่ายเสียเอง


              ระหว่างที่ไม่ละสายตาจากหน้าจอทั้งที่ในใจคิดไปถึงเลขานุการตัวเล็ก เสียงเครื่องมือสื่อสารสำหรับเบอร์ติดต่อส่วนตัวก็ดังขึ้น มินฮยอนเหลือบมองชื่อที่ปรากฎอยู่ตรงหน้าแล้วได้แต่ถอนหายใจพรืดใหญ่


              “คราวนี้มีธุระอะไรล่ะ”


              “การพูดแบบนี้ในการรับสายสุภาพสตรีถือเป็นเรื่องหยาบคายนะคะ” เสียงแหบของสาวเจ้าตอบกลับมาในทันที “วันนี้อยู่ที่บริษัทหรือเปล่า”


              “อยู่ แต่คงไม่ว่างไปกับคุณหรอกนายอง”


              อิม นายองที่อยู่ปลายสายจิ๊ปาก “น่าเสียดายจริงๆ”


              “ถ้าไม่เกี่ยวกับเรื่องงานก็ช่วยเลิกชวนผมไปกินข้าวเถอะ” มิสเตอร์เพอร์เฟกต์เอ่ยออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน “ถ้าอยากจะหาแวมไพร์ในแวดวงเราก็มีคนอื่นนะผมติดต่อซองอูให้ไหม”


              “พูดจาให้ดีๆ หน่อย ฉันคือคนที่คุณวานให้ช่วยเหลือนะคะ”


              พอเจอแบบนี้เขาเองก็จนแต้มไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับเธอเลยแม้แต่น้อย


              อิม นายองเป็นแวมไพร์ เหมือนกับเขาและซองอู


              หล่อนเป็นบุตรสาวคนเดียวของสกุลอิมที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทเขามาตั้งแต่ต้น บิดาของเขากับเจ้าหล่อนสนิทกันพอสมควร แต่เธอเติบโตที่ต่างประเทศ ไม่ใช่แค่เขารู้ถึงตัวจริงของเจ้าหล่อน หล่อนเองก็รู้ถึงตัวจริงของเขาเช่นกัน หากจะเรียกว่าพันธมิตรทางสายพันธุ์ก็คงไม่ผิดเท่าไหร่ เหมือนที่เขากับซองอูจำต้องผูกมิตรกันไว้นั่นแหละ


              แวมไพร์ในประเทศเกาหลีมีไม่มากมายเหมือนในอังกฤษหรือสหรัฐอเมริกา การอาหารอะไรก็ยากกว่าเป็นธรรมดา จริงอยู่ที่พวกเขามีทักษะในการอดอาหารเป็นเลิศแต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่มีวันหิว ไม่เช่นนั้นแล้ว เขาจะใกล้สติแตกตอนที่ขาดเลือดจากจงฮยอนหรืออย่างไรกัน เพราะฉะนั้นแล้วการผูกมิตรกันระหว่างชนกลุ่มน้อยอย่างพวกเขาเองก็ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญพอตัว


              ไม่ใช่แค่นั้น, ตอนนี้สถานะระหว่างเขากับเจ้าหล่อนคือว่าที่คู่หูทางธุรกิจที่เขากำลังจะเปิดไลน์ใหม่ถึงจะยังไม่เป็นทางการเพราะเจ้าหล่อนยังไม่ตัดสินใจนั่นเป็นสาเหตุให้เขาต้องเอาใจนายองให้มากๆ เพื่อผลประโยชน์ที่จะสุกง่อมในอนาคต


              “แล้วเป็นยังไงบ้างคะ ได้กินหรือยัง”


              คำถามของเธอทำให้มินฮยอนเผลอกลอกตา “นั่นไม่ใช่เรื่องของคุณนะครับ”


              “ฉันเห็นว่าคุณใกล้จะคลั่งตายอยู่แล้ว น่าเสียใจจริงนะคะที่ดูดเลือดได้แค่คนเดียวแบบนี้” เสียงแหบของสาวเจ้าดังขึ้นมาตามสาย “อดอาหารอร่อยๆ ไปเสียเยอะเชียว”


              “งั้นหรือ”


              เขายิ้มในใจ นายองคิดผิดถนัด รสชาติหอมหวลของจงฮยอนมากกว่ารสชาติใดๆ บนโลกเสียอีก    “ฉันว่าจะชวนคุณไปทานอาหารกลางวันด้วยกันเสียหน่อย ถ้าคุณไม่ว่างฉันก็คงต้องขอวางสายแล้วกันค่ะ”


              “เชิญเลยคุณนายองครั้งหน้าที่เราเจอกันผมหวังว่าจะได้รับข่าวดี”


              “ปฏิเสธคำชวนของฉันแต่หวังข่าวดีเชื่อเขาเลย มิสเตอร์เพอร์เฟกต์”


              “ไม่ยักกะรู้ว่าคุณชอบอ่านนิตยสารประเภทนั่งเทียนเขียนข่าวด้วย”


              เขาได้ยินเสียงถอนหายใจดังขึ้นตามสาย “แค่นี้แหละค่ะคุณมินฮยอน” หล่อนว่าเช่นนั้นก่อนจะตัดสายไป


              มินฮยอนส่ายหน้าอย่างนึกระอานายองฉลาดกว่าผู้หญิงทั่วไปทีเดียว มีความสามารถมากกว่าผู้ชายวัยเดียวกันด้วยซ้ำทั้งยังเจ้าเล่ห์ด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย ทำเพียงแค่ยิ้มเล็กๆ ที่มุมปากในขณะที่สายตาช่างสังเกตเสียเหลือเกิน


    นึกขอบคุณที่หล่อนยังไม่สังเกตไปถึงเลขานุการคนเก่งของเขาว่ารสชาติเลือดสดๆ ของอีกคนเหมือนไวน์แดงที่ผ่านการบ่มมาอย่างดีแค่ไหน ภายนอกคงดูเก่าเก็บไม่น่าสนใจแต่ไม่ใช่สำหรับเหล่าซอมเมอร์ลิเยผู้ลุ่มหลงในรสชาติและสัมผัสที่ติดลิ้นแบบนั้นแน่นอน แต่มินฮยอนไม่คิดจะบอกใครหรอก เขาไม่ชื่นชอบเวลาที่มีใครมาวอแวอาหารของเขานักหรอก


    โดยเฉพาะอย่างยิ่งแล้วถ้าเป็นอาหารที่เขาปรารถนาในอีกฝ่ายก้าวเข้ามาในโลกของแวมไพร์เต็มตัวไม่มีวันเสียหรอกที่เขาจะให้ใครมาแตะต้องได้







     

    จงฮยอนไม่ชอบที่จะอยู่คอนโดตัวเอง


              ว่ากันตามจริงแล้วเขาไม่ชอบที่จะอยู่คนเดียว แต่จะให้เขาเอาเวลาไปใช้กับใครนอกเวลางานในเมื่อครอบครัวของเขาเสียไปหมดแล้ว ญาติของบิดามารดาก็นานครั้งจึงจะได้ติดต่อกันทีและมีความสัมพันธ์ที่ห่างเหินกันถึงเพียงนั้น ด้วยเหตุนั้นเอง จงฮยอนจึงชื่นชอบที่จะเอางานมาทับถมตัวเองเสียจนไม่มีอากาศหายใจอยู่เป็นประจำ


    ทั้งที่เป็นเช่นนั้น ครานี้กลับแตกต่างออกไป จงฮยอนอ่อนล้าเต็มทีทั้งร่างกายและจิตใจ เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่ามินฮยอนจะดื่มด่ำเลือดเขาเหมือนจะสูบเลือดสูบเนื้อเช่นสองวันก่อน นำเขากลับมาที่คอนโดแห่งนี้และจากไปโดยไม่มีการบอกกล่าวกันสักคำ


    อ้อ, ลืมไปหลงระเริงไปเสียหน่อยทั้งที่ฐานะตัวเองเป็นแค่อาหาร


    ทั้งที่เป็นแค่นั้น ก่อนหน้านี้กลับคาดหวังมากมาย มินฮยอนที่อยู่ในวัยที่กำลังจะต้องมีคู่ครองก็บอกกล่าวเป็นประจำว่าอยากได้คนที่เหมาะสมกับตน แล้วเป็นไงเล่า, พอคนนั้นมาปรากฎตัวให้เห็นตรงหน้ากลายเป็นเขาเองที่ต้องหมดคำพูด ละอายแก่ใจเหลือเกินที่ส่วนหนึ่งในใจเผลอไปคาดหวังว่าจะได้ครอบครองอีกฝ่ายไว้คนเดียว


    รู้หรอกว่าที่ทำนี่มันเด็กและเป็นการหนีปัญหาที่งี่เง่าที่สุด แต่จงฮยอนก็ยังทำมัน


    จงฮยอนไม่มั่นใจว่าตัวเองจะทำตัวเหมือนไม่เป็นอะไรได้นานแค่ไหน หากวันใดสองคนนั้นคบกันจริงจังขึ้นมา หรือบางทีอาจจะแต่งงานแล้ วจงฮยอนต้องผูกติดกับมินฮยอนตลอดชีวิตในฐานะถังเก็บเลือด เขาคงปวดใจน่าดู


    ก๊อกๆ


    เจ้าของห้องสะดุ้งอย่างตกใจ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองสั่งอาหารไว้ ตอนนี้คงมาส่งพอดี จึงเดินออกไปที่หน้าประตูห้องของเขาเปิดประตูในขณะที่คนข้างนอกเคาะซ้ำ


    “ขอบ” ถ้อยคำทั้งหมดถูกกลืนลงคอเมื่อพบว่าคนที่อยู่ตรงหน้าประตูไม่ใช่พนักงานส่งอาหารแต่เป็นเจ้านายของตัวเอง


    ร่างสูงใช้จังหวะที่เขาตกใจผลักเขาเข้าไปในห้องแทรกตัวผ่านประตูเข้ามาอย่างถือวิสาสะ กดล็อกประตูให้เขาปราศจากทางหนี


    “มาทำอะไรถึงนี่ครับ” เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่แสร้งเป็นเรียบเฉยทั้งที่ใจร้อนรน มินฮยอนไม่ได้บอกเขาแม้แต่น้อยว่าจะมา อีกฝ่ายไม่เคยติดต่อเขานอกเวลางานแม้ว่าเราจะใช้เวลาทำงานร่วมกันกว่าสิบชั่วโมงต่อวัน


    “คุณคิดจะลาหยุดไปถึงวันไหน”


    คนตัวเล็กกว่าเค้นยิ้ม “ผมไม่ค่อยได้ลาหยุดเลยในช่วงสองปีที่ผ่านมา”


    “ตอนแรกคุณบอกว่าป่วย คุณโกหกผมหรือ”


    เขาเกลียดมิสเตอร์เพอร์เฟกต์ที่ช่างจับผิดไปทุกระเบียดนิ้ว จงฮยอนผลุบตาลงต่ำ “เปล่าครับ คุณก็รู้ดีว่าทำไมผมถึงป่วย”


    เหมือนคำตอบนั้นจะทำให้มินฮยอนคิดได้บ้าง เพราะอีกฝ่ายเงียบไป คนตัวเล็กกว่ากำมือเข้าหากันแน่น ทั้งที่เป็นคอนโดของตัวเองเขากลับไม่รู้สึกว่านี่เป็นที่ของตนเลยสักนิด


    “ผมขอโทษ” คำนั้นทำให้เลขาฯหนุ่มเงยหน้าขึ้น แทบไม่เชื่อหูตัวเอง “หมายถึงแบบนั้นจริงๆ ผมแค่ หิวมากไปหน่อย”


    หัวใจที่ถูกสูบลมเข้าไปโดนเจาะด้วยเข็มในมือของมินฮยอนเอง ช่างน่าเศร้าใจ


    “ถ้าคุณจะโกรธผมก็ได้” อีกฝ่ายพูดต่อในขณะที่จงฮยอนถอนหายใจ ริมฝีปากยิ้มให้ทั้งที่แววตาเขาไม่ได้ยิ้มเลยแม้แต่น้อย “หรือคุณต้องการให้ชดใช้อะไร”


    “คุณมินฮยอนครับ” คนตัวเล็กกว่าพูดเสียงแผ่ว


    “ว่าอย่างไร คุณต้องการอะไรหรือ”


    เขาเหนื่อยแล้ว ,หมายความเช่นนั้นจริงๆ คงต้องพอกันได้แล้วการตั้งความหวังที่ไม่มีค่า จงฮยอนคงต้องทำลายมันด้วยตัวเองเสียที


    “ตอบคำถามผมตรงๆ สักข้อ” จงฮยอนสูดลมหายใจลึก “คุณคิดว่าคุณเจอคนที่เหมาะสมกับคุณแล้วใช่ไหมครับ”


    ฮวัง มินฮยอนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ความแปลกใจปรากฎให้เห็นบนใบหน้าที่มักจะนิ่งเฉยจนเขาอ่านไม่ออก ก่อนที่อีกฝ่ายจะให้คำตอบด้วยการการพยักหน้า


    ทั้งที่ทำใจไว้แล้วแต่จงฮยอนกลับรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงบางอย่างแตกกระจัดกระจาย ชิ้นส่วนเล็กน้อยนั้นบิ่น บิดเบี้ยว และร้าวเกินกว่าที่เขาประเมินไว้เสียอีก


    “อา” คนตัวเล็กเป็นคนทำลายความเงียบที่น่าอึดอัดออกไปก่อน “ผมเข้าใจแล้ว”


    “งั้นหรือ?”


    “ครับ” เขาพยักหน้า “ถ้าได้ยินแบบนั้นแล้วผมก็ดีใจส่วนเรื่องเลือด, ผมขอแค่คุณไม่ดื่มเลือดของผมรุนแรงแบบคราวก่อนแล้วก็ อาอะไรอีกนะ”


    สติของเขาหลุดไปไกลแล้ว จงฮยอนรู้สึกว่าคำพูดของเขาวกวนฉิบหาย เขาไม่กล้ามองสีหน้าของอีกฝ่ายอีกแม้แต่น้อย บอกตัวเองให้นับหนึ่งถึงสิบ อย่างน้อยเขาต้องมีสติมากกว่านี้ แต่มันไม่เป็นผลเลยสุดท้ายแล้วเขาก็รวบรวมอะไรไม่ได้สักอย่าง ทั้งสติ คำยินดี หรือแม้แต่เศษเสี้ยวใจของตัวเองที่กองอยู่บนพื้น


    “ยังไงก็ยินดีด้วย


    เขาได้ยินเสียงถอนหายใจ “คิม จงฮยอน” ฝ่ายนั้นเรียกชื่อเขาก่อนที่จะพูดจบเสียอีก “คุณเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า”


    คนตัวเล็กกัดริมฝีปากด้วยความทำอะไรไม่ถูก


    “การกระทำที่ผ่านมาของผมไม่ชัดเจนพอหรือ”


    โอ้, หากพูดกันเช่นนี้อย่าบอกเลยว่าเขากำลังเข้าใจผิด


    “ผมเจอผมคิดว่าคนที่เหมาะสมกับผมมาตั้งนานแล้วนะครับ ไม่ใช่เพิ่งมาเจอ”


    หนึ่งก้าว สองก้าว จงฮยอนนับเลขในใจยามที่อีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้จนปลายเท้าของเราแทบจะชนกัน


    “เงยหน้าขึ้น คิม จงฮยอน” เขาไม่กล้าทำตามคำสั่ง มิสเตอร์เพอร์เฟกต์เลยเอ่ยย้ำอีกที “ผมบอกให้เงยหน้าขึ้น”


    เมื่อคนเป็นนายพูดเช่นนั้นด้วยน้ำเสียงที่แข็งกว่าเดิมเขาจะทำอย่างไรได้นอกจากทำตามคำสั่ง


    ใบหน้างดงามของอีกคนอยู่ใกล้มากเสียจนน่าหวาดกลัวส่วนสูงที่ต่างกันทำให้เขามองเห็นระดับริมฝีปากของอีกฝ่าย ริมฝีปากที่ซ่อนคมเขี้ยวไว้ข้างใน ลากไล้และฝังลึกในร่างกายเขานับไม่ถ้วน ดูดกลืนเขาไปทั้งหมด ไม่ใช่แค่เลือดที่หล่อเลี้ยงร่างกายแต่หมายรวมถึงพื้นที่ในจิตใจ


    “มองตาผม”


    ช่างออกคำสั่ง, ช่างเผด็จการ, เกลียดความไม่สมบูรณ์แบบ, สมฉายามิสเตอร์เพอร์เฟกต์


    เขาก่นด่ามันเป็นพันครั้งแต่เขาก็ยังคงทำตามคำสั่งของอีกฝ่าย ก้อนเนื้อในอกเต้นระรัวยามที่เห็นว่าดวงตานั้นมองเพียงเขา


    “ผมคิดว่าผมรู้แล้วว่าอะไรทำให้คุณทำงานไม่ค่อยดีในช่วงนี้”


    คำพูดนั้นทำให้จงฮยอนแทบจะสิ้นสติมือหนาของอีกคนเอื้อมมาสัมผัสแก้มนวลของคนตัวเล็กกว่าอย่างแผ่วเบา บางครั้งก็อ่อนโยน บางครากลับพร้อมฉีกกระชากเขาทั้งเป็น กระทั่งตอนนี้มินฮยอนยังเอ่ยเอื้อมมันออกมาราวกับเป็นเรื่องธรรมดาเหมือนสั่งให้เขาทำรายงานการประชุม


    ก็เป็นเสียอย่างนี้ เขาจะเดาใจอีกฝ่ายได้อย่างไร


    “คิม จงฮยอน”


    เจ้าของชื่อนิ่งเงียบเมื่ออีกฝ่ายลากปลายนิ้ววนบริเวณคอผ่านไหปลาร้า แอ่งชีพจร ก่อนที่จะเลื่อนมาแตะต้องริมฝีปากของเขาใหม่


    “ทำไมผมยังรอให้คนนั้นพร้อมจริงๆ รู้ไหม”


    มิสเตอร์เพอร์เฟกต์พูดเสียงนิ่งเรียบมองลึกเข้าไปในแววตาเขาเหมือนร่ายมนตร์สะกดให้เขาละออกไปไหนไม่ได้ ไม่ใช่แค่สายตา – หมายถึงตัวเขาในตอนนี้จริงๆ


    “ในโลกของแวมไพร์น่ะการครองคู่กับมนุษย์ไม่ใช่เรื่องที่ยอมรับได้หรอกนะ”


    เขารู้สึกเหมือนตัวเองลืมหายใจไปแล้วจริงๆ


    “เพราะฉะนั้น— ผมรอให้คุณยอมให้ผมทำให้คุณเป็นเหมือนผมอยู่” อีกฝ่ายโน้มกาย “หวังว่าคุณจะเข้าใจ”


    สติของจงฮยอนกระเจิดกระเจิงไปตั้งแต่ต้นแล้วน่าแปลกเหลือเกินที่เขายังอุตส่าห์จดจำได้ว่าริมฝีปากที่ซ่อนเขี้ยวของอีกฝ่ายนั้นให้ความรู้สึกอย่างไรตอนที่มิสเตอร์เพอร์เฟกต์ใช้มันบดเบียดลงมาที่ริมฝีปากของเขา


    หอมหวล ชวนให้ดื่มด่ำอย่างใจเย็นละเลียดชิมไม่อยากละออกไป


    จงฮยอนเริ่มไม่มั่นใจเสียแล้วว่าเขาเป็นไวน์ของมิสเตอร์เพอร์เฟกต์หรือมิสเตอร์เพอร์เฟกต์เป็นเครื่องดื่มชั้นสูงเกินไปสำหรับคนธรรมดาเช่นเขา







    ----------------------------------

    หายไปนานมาก ไม่เถียง เลยมาอัพให้จนจบเลยค่ะ

    ตอนนั้นที่แต่งมันต้องมีจำกัดความยาวเลยตัดจบแบบนี้

    ถ้าไม่ชอบต้องขอโทษด้วยนะคะ ;-;


    เผื่อใครอยากหวีด เจอกันใน #nandnsf ค่ะ 

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in