“วันนี้ผมต้องทำอะไรบ้างครับ”
เป็นประจำเหมือนกับทุกวันฮวัง มินฮยอนเข้างานตอนแปดโมงเช้า ไม่ว่าจะเลิกงานกี่โมงก็จะโผล่หน้ามาเวลานี้เสมอ ส่วนคิมจงฮยอนเองก็ต้องเผื่อเวลาไว้ประมาณสิบห้านาทีก่อนหน้าเพื่อให้มั่นใจว่าเขาจะสามารถตอบคำถามนี้ของมินฮยอนได้ทุกเช้า
“จะมีงานเอกสารให้คุณพิจารณาหลายฉบับรบกวนทำให้เสร็จภายในเที่ยงด้วยนะครับ” คนรับฟังตอบรับด้วยการพยักหน้า “หลังจากนั้นก็มีเวลาพักสองชั่วโมง เริ่มประชุมผู้ถือหุ้นตั้งแต่บ่ายสอง”
“ตามกำหนดการสิ้นสุดเมื่อไหร่”
“สามชั่วโมงครับ” เลขานุการหนุ่มตอบ “แต่ผมคิดว่ามันก็คงยืดยื้อตามเคย เลยเผื่อเวลาไว้ให้แล้วคิดว่าไม่น่าเกินหกโมงครึ่ง”
“ดีเลย” เอ่ยชมเขาด้วยใบหน้าเฉยชาและน้ำเสียงไม่ยินดียินร้ายเช่นเคย
“หลังจากนั้นก็ไปทานอาหารกับครอบครัวคุณอิมเป็นอันจบครับ”เขาปิดสมุดเล่มเล็กในมือตนเอง
จงฮยอนเคยโดนคนตรงหน้าว่าเขาคร่ำครึที่ใช้สมุดจดแบบนี้ (และโคตรเจ็บใจที่สิ่งมีชีวิตที่โบราณกว่าเขาเยอะมาทำตัวไฮเทคกว่าเขาเสียได้) แต่เขาก็คุ้นชินกับอะไรแบบนี้มากกว่าจริงๆ
มินฮยอนพยักหน้าเคลื่อนย้ายตัวเองไปที่โต๊ะตัวใหญ่ริมหน้าต่าง ใช่,
คนตัวเล็กเป็นคนจัดแฟ้มเอกสารเกือบสิบให้มินฮยอนด้วยตัวเองก่อนจะมาจัดการงานของตัวเองที่นอกเหนือจากตำแหน่งเลขาฯ บ้าง บางครั้งเขาก็รับงานเพิ่มเติมมาจากฝ่ายต่างๆ ยามที่เกิดเหตุวุ่นวาย เจ้านายเขาไม่พอใจเท่าไหร่กับเหตุการณ์เหล่านี้ อีกฝ่ายมักจะอ้างว่างานที่เขาต้องทำให้ตนเองก็หนักอยู่แล้ว อย่าทำตัวใจดีไปเรื่อยเพื่อกดดันตัวเองจะดีกว่า
ซึ่งจงฮยอนเถียงในใจ –งานเลขาฯ ของมินฮยอนไม่ได้หนักหนาขนาดนั้น มินฮยอนจัดการทุกอย่างได้ดีชนิดที่ว่าไม่มีเลขาฯ ก็คงไม่มีความลำบากใดในชีวิต แต่ก็ยังอุตส่าห์จ้างเขาไว้ในตำแหน่งนี้อยู่ดี
เสียงปลายนิ้วเคาะลงบนแป้นคีย์บอร์ดกับเสียงจากเครื่องปรับอากาศเป็นสิ่งที่ทำลายความเงียบอยู่ตอนนี้ ไม่นานเขาก็จัดการพิมพ์เอกสาร
“ผมเอาเอกสารไปให้ฝ่ายขายนะครับ”
“เชิญเลย”
ผู้น้อยขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อยปกติ แล้วมินฮยอนจะตอบรับสั้นๆ ไม่ใช่ถ้อยคำด้วยน้ำเสียงฟังดูประชดประชันกันแบบนี้
หรือบางทีหูเขาอาจจะเพี้ยนพ่อแวมไพร์แสนเพอร์เฟกต์คงไม่รู้จักการประชดหรอก
พอคิดแบบนั้นเลยเดินจากออกมาพร้อมกับเอกสารในมือกดลิฟต์ไปที่ชั้นสิบเอ็ดซึ่งเป็นที่อยู่ของฝ่ายขาย ไม่นานนักก็มาอยู่ตรงหน้าบอกตามตรงว่าจงฮยอนไม่ชอบโผล่หน้ามาที่แผนกนี้เท่าไหร่ แต่ก็ต้องมาอยู่ดี
“อ้าวเจอัลรี่” ฉายาหน่อมแน้มเป็นสิ่งแรกที่กระทบหูเมื่อเปิดประตูเข้ามา เห็นรอยยิ้มแป้นแล้นขององ ซองอูฝ่ายขายอยู่ตรงหน้า “มาทำอะไรเหรอ”
“เอาเอกสารมาให้ครับ” เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงเฉยชา “มีทั้งส่วนของดาเนียลกับส่วนของฮยอนบิน” เหลือบมองผ่านโต๊ะรูปร่างสูงผอมของอีกคนไปก็พบว่าสองคนนั้นหันมายิ้มน้อยๆ ให้เขา
จงฮยอนสนิทกับดาเนียลในระดับหนึ่งเพราะเข้ามาทำงานพร้อมกัน แม้จะอยู่กันคนละฝ่ายแต่ฝ่ายเดิมของเขาก็อยู่ชั้นเดียวกันกับฝ่ายขายนั่นแหละ ส่วนฮยอนบินนั้นเป็นรุ่นน้องที่ดาเนียลเป็นพี่เลี้ยงให้ในช่วงแรก หากวันใดถ้าเจ้านายเขาไม่สามารถปลึกตัวมาทานข้าวด้วยกันได้ เขาก็นั่งกับสองคนนั้นบ่อยๆ
“งั้นหรือแล้วตอนนี้มินฮยอนทำอะไรอยู่ล่ะ”
คนตัวเล็กยิ้ม “ทำงานครับ”
“กวนกันจังเลยนะเจอัลรี่” แววตาวาบวับของอีกคนมักจะทำให้อึดอัดใจเสมอ
ซองอูเป็นเพื่อนของมินฮยอนตั้งแต่สมัยเรียน –
“งั้นผมขอตัวนะครับคุณซองอู”
“อา
ริมฝีปากคลี่ยิ้มพยักหน้าให้น้อยๆ อย่างมีมารยาท “ครับ”
หัวหน้าฝ่ายขายหัวเราะเพียงเล็กน้อยเดินออกจากแผนกพร้อมกับเขาใช้มืออีกข้างที่ไม่ได้เกาะกุมไหล่เขาอยู่ลากประตูปิดอย่างแผ่วเบา
“คุณซองอูจะไปไหนหรือครับ” จงฮยอนอดถามไม่ได้เมื่ออีกฝ่ายยังคงไม่แยกกับเขา แม้จะมายืนอยู่หน้าลิฟต์แล้วก็ตาม
อีกฝ่ายถอนหายใจ “จะไปหาแผนกบัญชีเสียหน่อยน่ะครับ มีเรื่องน่าปวดหัว อยากจะเลิกทำงานให้จบๆ ไปเสียที”
เขานึกขันกับคำบ่นที่ฟังดูน่าหมั่นไส้ เพราะจริงๆ แล้วซองอูไม่ต้องทำงานก็คงจะมีกินมีใช้ไปตลอดทั้งชาติ สกุลองมีฐานะพอๆ กับสกุลฮวังนั่นแหละ เพียงแต่อีกฝ่ายเป็นผู้ถือหุ้นในสายธุรกิจบันเทิงอย่าว่างั้นว่างี้เลย, ใบหน้างดงามของซองอูจะไปทำงานในจอแก้วเองก็คงดังเป็นพลุแตก แต่เขาเคยได้ยินซองอูตอบกลับคนที่เสนอทางเลือกนี้ให้ในปาร์ตี้ของชนชั้นไฮโซของเกาหลีว่า
“ไม่เอาหรอกครับผมไม่ชอบเป็นจุดสนใจ มันวางตัวลำบาก”
และคิม จงฮยอนมารู้ทีหลังจากคนเป็นนายของตนเองว่าไอ้คำว่าวางตัวลำบากนั้นหมายถึงการเก็บความลับลำบากด้วย
ความลับที่ว่าอีกฝ่ายเองก็ต้องดื่มเลือดเป็นอาหารจานหลักเหมือนกับมินฮยอน
“ว่าแต่วันนี้มินฮยอนมีไปเลี้ยงทานอาหารกับครอบครัวอิมหรือเปล่าครับ”
คนเป็นเลขาฯ นิ่วหน้าเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยเช่นนี้ “ทำไมหรือครับ?” ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ ต่อให้มินฮยอนบอกว่าอีกฝ่ายเป็นมิตรเขาก็มองไม่เห็นความสมควรที่จะเปิดเผยตารางชีวิตของเจ้านายให้อีกฝ่ายรู้
“เปล่าหรอกวันก่อนบังเอิญเจอคุณหนูอิม เจ้าหล่อนถามถึงมินฮยอนน่ะ” รอยยิ้มแพรวพราวตอบกลับเขาเช่นนั้น จงฮยอนเหลือบมองตัวเลขบนลิฟต์ที่บ่งบอกว่าระยะเวลาที่ต้องคุยกับซองอูใกล้จะหมดลงแล้ว “ถ้าวันนี้พวกเขาได้เจอกันก็เป็นเรื่องดี”
ติ๊ง
เสียงสัญญาณดังเบาๆ พร้อมกับประตูที่เปิดออก ซองอูก้าวออกจากลิฟต์ไป “ขอตัวนะครับ” เอ่ยลากันด้วยรอยยิ้ม
คนตัวเล็กยิ้มกลับนั่นเป็นทั้งหมดที่ทำได้ พอประตูลิฟต์ปิดลงอีกคราเขาก็เผลอถอนหายใจออกพรืดใหญ่
จงฮยอนรับมือแวมไพร์คนเดียวก็เหนื่อยแล้วอย่าให้เขาต้องมารับมือกับแวมไพร์อันตรายแบบอง ซองอูบ่อยๆ ด้วยเลย
“หลังจากผมกินข้าวกับคุณอิมเสร็จผมจะไปส่งคุณ”
มิสเตอร์เพอร์เฟกต์เองก็ช่างเผด็จการ เขาแย้งไปว่าเขาสามารถกลับบ้านได้เองก็ไม่ยักกะฟัง เพราะเหตุนั้นเขาเลยมานั่งทำงานที่โซนรับรองแขกของโรงแรม ในขณะที่มินฮยอนไปร่วมโต๊ะอาหารกับคุณอิมและบุตรสาวที่ชื่ออิม นายองบนชั้นบนสุดของโรงแรม
จนตอนนี้เป็นเวลาสามทุ่มแล้ว จงฮยอนเริ่มรู้สึกว่ากระเพาะเขาส่งเสียงประท้วงบ่อยเกินไปกาแฟกับพายที่ทานไปเมื่อทุ่มก็ย่อยไปหมดแล้ว มือเล็กเอื้อมมือไปปิดหน้าจอโน้ตบุ๊กที่จับจ้องมานาน เหลือบมองนาฬิกาข้อมือตัวเอง
หรือเขาควรจะคาทกไปบอกอีกฝ่ายแล้วหนีกลับให้จบๆ ไปเลยดีกันหนอ
คำตอบนั้นยิ่งกว่าโดนตบหน้าเสียอีกหากแต่จงฮยอนก็ไม่ได้แสดงทีท่าออกไป
“ครับ” ทำได้เพียงตอบรับแค่นั้น
กุญแจรถไม่ได้อยู่ที่เขาเนื่องจากโรงแรมระดับสูงเช่นนี้มีบริการให้เสร็จสรรพ มินฮยอนพยักหน้าให้เขาเล็กน้อย สีหน้าเฉยชาเหมือนปกติตอนที่เขาเก็บข้าวของเพราะอยากให้โอกาสให้มิสเตอร์เพอร์เฟกต์อยู่กับบุตรสาวผู้ถือหุ้นรายใหญ่รายหนึ่งของคู่ธุรกิจ
นั่นสิ
คิมจงฮยอนผ่อนลมหายใจ บอกตัวเองว่าอาการเจ็บปวดและหวิวในอกนี้เป็นเพราะเขาต้องการอาหารเท่านั้นเอง
ช่วงหลังๆ มานี่มีแต่ผู้คนเริ่มคุยกันว่าสถานะของมิสเตอร์เพอร์เฟกต์กับลูกสาวคนเดียวของผู้ถือหุ้นรายใหญ่คืออะไร อย่าว่าแต่นักข่าวเลย ผู้คนในบริษัทเองก็อดใส่ใจใคร่รู้ไม่ได้เหมือนกัน ในเมื่อนายองเริ่มปรากฎตัวที่บริษัทบ่อยครั้งเพื่อมากินข้าวกับนักธุรกิจหนุ่มในตอนเที่ยงบ้าง ตอนเย็นบ้างสลับกันไป
เขาหมายถึงแบบนั้นจริงๆ
บทสนทนาที่ถูกเปลี่ยนไปเรื่อยไม่ชักจูงเขาออกจากภวังค์ของตัวเอง จงฮยอนไล้ปลายนิ้วลงบนลำคอเหนือไหปลาร้าตนเองอย่างแผ่วเบา เขายังจำได้ว่าตอนที่ถูกคมเขี้ยวสีขาวสะอาดของอีกฝ่ายฝังลงบนร่างกายครั้งแรกเขารู้สึกอย่างไร แม้มินฮยอนไม่เคยลากไล้เขี้ยวมาบริเวณนี้เป็นครั้งที่สองตามที่ตกลงกันไว้
คนตัวเล็กครางตอบรับในลำคอกุลีกุจอเก็บข้าวของ ฮยอนบินกับดาเนียลมีการพักที่เป็นเวลามากกว่าเขา แต่การรีบกลับโต๊ะตัวเองก็ดี เขายังมีงานเหลือให้เคลียร์อยู่บ้าง
เขาทิ้งกายบนเบาะนุ่มของตัวเองเปิดเอกสารต่างๆ มาจัดการจากที่ค้างไว้
การประชุมที่ยืดเยื้อจนเกินไปย่อมทำให้เขาอ่อนล้าเป็นธรรมดา
“ครับ”
หน้าผากของมินฮยอนแปะคำว่า ‘
นั่นเป็นคำถามแรกหลังจากที่มินฮยอนสั่งอาหารทั้งในส่วนของตนและส่วนของเขาเสร็จ
เสียงห้ามของเขาแผ่วเบาเมื่ออีกคนเริ่มซุกไซร้ที่ซอกคอ จงฮยอนภาวนาให้อีกฝ่ายยังคงมีสติอยู่ ได้โปรด กระซิบแผ่วเบาในขณะที่สัมผัสได้ถึงความเย็นจากคมเขี้ยวที่ลากไล้บริเวณลำคอนานเกินไป
ท้ายที่สุดแล้วมิสเตอร์เพอร์เฟกต์ก็ใช้แรงที่มากมายกว่ามนุษย์ทั่วไปของตัวเองดึงเสื้อของเขาจนขาดวิ่นใช้คมเขี้ยวนั้นแทงลงบนเนื้อของเขาที่ต้นแขนด้านใน ความเจ็บปวดนั่นทำให้จงฮยอนกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ มันรุนแรงกว่าทุกครั้งที่มินฮยอนฝากฝังร่างกายลงมา หยาดน้ำตาคลอเมื่อคิดถึงสถานะของตนเอง
เขาเป็นอาหาร –เป็นแค่อาหาร
มือเล็กที่พยายามผลักคนสูงใหญ่กว่าเริ่มหมดแรงที่จะปฏิเสธ สายตาเขาเริ่มพร่าเลือน ร่างกายของเขาเบาหวิวเหมือนลอยบนปุยนุ่น ก่อนที่สติของเขาจะเลือนรางเสียจนหมดสิ้นลง แววตาแดงก่ำของอีกฝ่ายพร้อมกับริมฝีปากที่เปื้อนเลือดสีแดงก่ำของเขาเป็นสิ่งสุดท้ายที่เห็น
เพราะฮวังมินฮยอนเป็นแวมไพร์อย่างนั้นหรือ ถึงมองเขาเป็นเพียงแค่อาหาร
อาหารสำหรับมนุษย์ไม่ได้มีหัวจิตหัวใจ แต่เขาไม่ใช่เสียหน่อย
ไม่เช่นนั้น
นึกขอบคุณที่หล่อนยังไม่สังเกตไปถึงเลขานุการคนเก่งของเขาว่ารสชาติเลือดสดๆ ของอีกคนเหมือนไวน์แดงที่ผ่านการบ่มมาอย่างดีแค่ไหน ภายนอกคงดูเก่าเก็บไม่น่าสนใจแต่ไม่ใช่สำหรับเหล่าซอมเมอร์ลิเย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งแล้ว
ทั้งที่เป็นเช่นนั้น ครานี้กลับแตกต่างออกไป จงฮยอนอ่อนล้าเต็มทีทั้งร่างกายและจิตใจ เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่ามินฮยอนจะดื่มด่ำเลือดเขาเหมือนจะสูบเลือดสูบเนื้อเช่นสองวันก่อน นำเขากลับมาที่คอนโดแห่งนี้และจากไปโดยไม่มีการบอกกล่าวกันสักคำ
อ้อ, ลืมไป, หลงระเริงไปเสียหน่อยทั้งที่ฐานะตัวเองเป็นแค่อาหาร
ทั้งที่เป็นแค่นั้น ก่อนหน้านี้กลับคาดหวังมากมาย มินฮยอนที่อยู่ในวัยที่กำลังจะต้องมีคู่ครองก็บอกกล่าวเป็นประจำว่าอยากได้คนที่เหมาะสมกับตน แล้วเป็นไงเล่า, พอคนนั้นมาปรากฎตัวให้เห็นตรงหน้ากลายเป็นเขาเองที่ต้องหมดคำพูด ละอายแก่ใจเหลือเกินที่ส่วนหนึ่งในใจเผลอไปคาดหวังว่าจะได้ครอบครองอีกฝ่ายไว้คนเดียว
รู้หรอกว่าที่ทำนี่มันเด็กและเป็นการหนีปัญหาที่งี่เง่าที่สุด แต่จงฮยอนก็ยังทำมัน
จงฮยอนไม่มั่นใจว่าตัวเองจะทำตัวเหมือนไม่เป็นอะไรได้นานแค่ไหน หากวันใดสองคนนั้นคบกันจริงจังขึ้นมา หรือบางทีอาจจะแต่งงานแล้ วจงฮยอนต้องผูกติดกับมินฮยอนตลอดชีวิตในฐานะถังเก็บเลือด เขาคงปวดใจน่าดู
ก๊อกๆ
เจ้าของห้องสะดุ้งอย่างตกใจ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองสั่งอาหารไว้ ตอนนี้คงมาส่งพอดี จึงเดินออกไปที่หน้าประตูห้องของเขาเปิดประตูในขณะที่คนข้างนอกเคาะซ้ำ
“ขอบ—” ถ้อยคำทั้งหมดถูกกลืนลงคอเมื่อพบว่าคนที่อยู่ตรงหน้าประตูไม่ใช่พนักงานส่งอาหารแต่เป็นเจ้านายของตัวเอง
ร่างสูงใช้จังหวะที่เขาตกใจผลักเขาเข้าไปในห้องแทรกตัวผ่านประตูเข้ามาอย่างถือวิสาสะ กดล็อกประตูให้เขาปราศจากทางหนี
“มาทำอะไรถึงนี่ครับ” เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่แสร้งเป็นเรียบเฉยทั้งที่ใจร้อนรน มินฮยอนไม่ได้บอกเขาแม้แต่น้อยว่าจะมา อีกฝ่ายไม่เคยติดต่อเขานอกเวลางานแม้ว่าเราจะใช้เวลาทำงานร่วมกันกว่าสิบชั่วโมงต่อวัน
“คุณคิดจะลาหยุดไปถึงวันไหน”
คนตัวเล็กกว่าเค้นยิ้ม “ผมไม่ค่อยได้ลาหยุดเลยในช่วงสองปีที่ผ่านมา”
“ตอนแรกคุณบอกว่าป่วย คุณโกหกผมหรือ”
เขาเกลียดมิสเตอร์เพอร์เฟกต์ที่ช่างจับผิดไปทุกระเบียดนิ้ว จงฮยอนผลุบตาลงต่ำ “เปล่าครับ คุณก็รู้ดีว่าทำไมผมถึงป่วย”
เหมือนคำตอบนั้นจะทำให้มินฮยอนคิดได้บ้าง เพราะอีกฝ่ายเงียบไป คนตัวเล็กกว่ากำมือเข้าหากันแน่น ทั้งที่เป็นคอนโดของตัวเองเขากลับไม่รู้สึกว่านี่เป็นที่ของตนเลยสักนิด
“ผมขอโทษ” คำนั้นทำให้เลขาฯหนุ่มเงยหน้าขึ้น แทบไม่เชื่อหูตัวเอง “หมายถึงแบบนั้นจริงๆ ผมแค่
หัวใจที่ถูกสูบลมเข้าไปโดนเจาะด้วยเข็มในมือของมินฮยอนเอง ช่างน่าเศร้าใจ
“ถ้าคุณจะโกรธผมก็ได้” อีกฝ่ายพูดต่อในขณะที่จงฮยอนถอนหายใจ ริมฝีปากยิ้มให้ทั้งที่แววตาเขาไม่ได้ยิ้มเลยแม้แต่น้อย “หรือคุณต้องการให้ชดใช้อะไร”
“คุณมินฮยอนครับ” คนตัวเล็กกว่าพูดเสียงแผ่ว
“ว่าอย่างไร คุณต้องการอะไรหรือ”
เขาเหนื่อยแล้ว ,หมายความเช่นนั้นจริงๆ คงต้องพอกันได้แล้วการตั้งความหวังที่ไม่มีค่า จงฮยอนคงต้องทำลายมันด้วยตัวเองเสียที
“ตอบคำถามผมตรงๆ สักข้อ” จงฮยอนสูดลมหายใจลึก “คุณคิดว่าคุณเจอคนที่เหมาะสมกับคุณแล้วใช่ไหมครับ”
ฮวัง มินฮยอนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ความแปลกใจปรากฎให้เห็นบนใบหน้าที่มักจะนิ่งเฉยจนเขาอ่านไม่ออก ก่อนที่อีกฝ่ายจะให้คำตอบด้วยการการพยักหน้า
ทั้งที่ทำใจไว้แล้วแต่จงฮยอนกลับรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงบางอย่างแตกกระจัดกระจาย ชิ้นส่วนเล็กน้อยนั้นบิ่น บิดเบี้ยว และร้าวเกินกว่าที่เขาประเมินไว้เสียอีก
“อา—” คนตัวเล็กเป็นคนทำลายความเงียบที่น่าอึดอัดออกไปก่อน “ผมเข้าใจแล้ว”
“งั้นหรือ?”
“ครับ” เขาพยักหน้า “ถ้าได้ยินแบบนั้นแล้วผมก็ดีใจส่วนเรื่องเลือด, ผมขอแค่คุณไม่ดื่มเลือดของผมรุนแรงแบบคราวก่อนแล้วก็ อา— อะไรอีกนะ”
สติของเขาหลุดไปไกลแล้ว จงฮยอนรู้สึกว่าคำพูดของเขาวกวนฉิบหาย เขาไม่กล้ามองสีหน้าของอีกฝ่ายอีกแม้แต่น้อย บอกตัวเองให้นับหนึ่งถึงสิบ อย่างน้อยเขาต้องมีสติมากกว่านี้ แต่มันไม่เป็นผลเลยสุดท้ายแล้วเขาก็รวบรวมอะไรไม่ได้สักอย่าง ทั้งสติ คำยินดี หรือแม้แต่เศษเสี้ยวใจของตัวเองที่กองอยู่บนพื้น
“ยังไงก็ยินดีด้วย—
เขาได้ยินเสียงถอนหายใจ “คิม จงฮยอน” ฝ่ายนั้นเรียกชื่อเขาก่อนที่จะพูดจบเสียอีก “คุณเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า”
คนตัวเล็กกัดริมฝีปากด้วยความทำอะไรไม่ถูก
“การกระทำที่ผ่านมาของผมไม่ชัดเจนพอหรือ”
โอ้, หากพูดกันเช่นนี้อย่าบอกเลยว่าเขากำลังเข้าใจผิด
“ผมเจอผมคิดว่าคนที่เหมาะสมกับผมมาตั้งนานแล้วนะครับ ไม่ใช่เพิ่งมาเจอ”
หนึ่งก้าว สองก้าว จงฮยอนนับเลขในใจยามที่อีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้จนปลายเท้าของเราแทบจะชนกัน
“เงยหน้าขึ้น คิม จงฮยอน” เขาไม่กล้าทำตามคำสั่ง มิสเตอร์เพอร์เฟกต์เลยเอ่ยย้ำอีกที “ผมบอกให้เงยหน้าขึ้น”
เมื่อคนเป็นนายพูดเช่นนั้นด้วยน้ำเสียงที่แข็งกว่าเดิมเขาจะทำอย่างไรได้นอกจากทำตามคำสั่ง
ใบหน้างดงามของอีกคนอยู่ใกล้มากเสียจนน่าหวาดกลัวส่วนสูงที่ต่างกันทำให้เขามองเห็นระดับริมฝีปากของอีกฝ่าย ริมฝีปากที่ซ่อนคมเขี้ยวไว้ข้างใน ลากไล้และฝังลึกในร่างกายเขานับไม่ถ้วน ดูดกลืนเขาไปทั้งหมด ไม่ใช่แค่เลือดที่หล่อเลี้ยงร่างกายแต่หมายรวมถึงพื้นที่ในจิตใจ
“มองตาผม”
ช่างออกคำสั่ง, ช่างเผด็จการ, เกลียดความไม่สมบูรณ์แบบ, สมฉายามิสเตอร์เพอร์เฟกต์
เขาก่นด่ามันเป็นพันครั้งแต่เขาก็ยังคงทำตามคำสั่งของอีกฝ่าย ก้อนเนื้อในอกเต้นระรัวยามที่เห็นว่าดวงตานั้นมองเพียงเขา
“ผมคิดว่าผมรู้แล้วว่าอะไรทำให้คุณทำงานไม่ค่อยดีในช่วงนี้”
คำพูดนั้นทำให้จงฮยอนแทบจะสิ้นสติมือหนาของอีกคนเอื้อมมาสัมผัสแก้มนวลของคนตัวเล็กกว่าอย่างแผ่วเบา บางครั้งก็อ่อนโยน บางครากลับพร้อมฉีกกระชากเขาทั้งเป็น กระทั่งตอนนี้
ก็เป็นเสียอย่างนี้ เขาจะเดาใจอีกฝ่ายได้อย่างไร
“คิม จงฮยอน”
เจ้าของชื่อนิ่งเงียบเมื่ออีกฝ่ายลากปลายนิ้ววนบริเวณคอผ่านไหปลาร้า แอ่งชีพจร ก่อนที่จะเลื่อนมาแตะต้องริมฝีปากของเขาใหม่
“ทำไมผมยังรอให้คนนั้นพร้อมจริงๆ รู้ไหม”
มิสเตอร์เพอร์เฟกต์พูดเสียงนิ่งเรียบมองลึกเข้าไปในแววตาเขาเหมือนร่ายมนตร์สะกดให้เขาละออกไปไหนไม่ได้
“ในโลกของแวมไพร์น่ะการครองคู่กับมนุษย์ไม่ใช่เรื่องที่ยอมรับได้หรอกนะ”
เขารู้สึกเหมือนตัวเองลืมหายใจไปแล้วจริงๆ
“เพราะฉะนั้น— ผมรอให้คุณยอมให้ผมทำให้คุณเป็นเหมือนผมอยู่” อีกฝ่ายโน้มกาย “หวังว่าคุณจะเข้าใจ”
สติของจงฮยอนกระเจิดกระเจิงไปตั้งแต่ต้นแล้วน่าแปลกเหลือเกินที่เขายังอุตส่าห์จดจำได้ว่าริมฝีปากที่ซ่อนเขี้ยวของอีกฝ่ายนั้นให้ความรู้สึกอย่างไรตอนที่มิสเตอร์เพอร์เฟกต์ใช้มันบดเบียดลงมาที่ริมฝีปากของเขา
หอมหวล ชวนให้ดื่มด่ำอย่างใจเย็นละเลียดชิมไม่อยากละออกไป
จงฮยอนเริ่มไม่มั่นใจเสียแล้วว่าเขาเป็นไวน์ของมิสเตอร์เพอร์เฟกต์หรือมิสเตอร์เพอร์เฟกต์เป็นเครื่องดื่มชั้นสูงเกินไปสำหรับคนธรรมดาเช่นเขา
----------------------------------
หายไปนานมาก ไม่เถียง เลยมาอัพให้จนจบเลยค่ะ
ตอนนั้นที่แต่งมันต้องมีจำกัดความยาวเลยตัดจบแบบนี้
ถ้าไม่ชอบต้องขอโทษด้วยนะคะ ;-;
เผื่อใครอยากหวีด เจอกันใน #nandnsf ค่ะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in