ฮวังมินฮยอนคือหนึ่งในเรื่องน่าอัศจรรย์ของโลกใบนี้
นักธุรกิจหนุ่มไฟแรงผู้เป็นทายาทเจ้าของกิจการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สำหรับชนชั้นสูงราคาแพงลิบลิ่วชนิดที่คนธรรมดาไม่อาจฝันถึง ไม่ใช่เพียงเฉพาะชาติกำเนิดที่ยอดเยี่ยมจากครอบครัวที่เป็นผู้ดีเก่าที่หันมาหยิบจับด้านธุรกิจและมารดาผู้เป็นนักร้อง เขายังเติบโตมาเพียบพร้อม การันตีได้จากใบปริญญาโทสองใบจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ รวมไปถึงรูปร่างสูงโปร่ง ผิวขาวซีดน่ามอง และใบหน้าที่มีองค์ประกอบต่างๆ งดงามราวกับรูปสลัก
ไม่แปลกหากคนเช่นนี้จะได้รับฉายาจากหนังสือพิมพ์ว่ามิสเตอร์เพอร์เฟกต์ – แม้ว่าจะมีคนบางคนไม่ได้คิดเช่นนั้น
ดวงตากลมจ้องไปที่มิสเตอร์เพอร์เฟกต์ในชุดสูทสีดำพอดีตัว คลุมทับเสื้อเชิ้ตสีดำทำให้เนกไทสีแดงสดนั่นโดดเด่นออกมา อีกฝ่ายกำลังกล่าวแสดงคำยินดีให้กับญาติผู้พี่ของตัวเองที่อยู่ในชุดเจ้าสาวบนเวทีเดียวกัน คนข้างล่างเวทีแบบเขาไม่ได้ใส่ใจจะฟังนัก กล่าวให้ถูกต้องคือเขาค่อนข้างจะไม่สนิทใจกับที่แห่งนี้แม้ว่าตัวเองจะทำงานร่วมกับมิสเตอร์เพอร์เฟกต์คนนั้นมาร่วมสองปีแล้วก็ตามที
“ผมขอให้ทั้งคู่มีความสุขจากใจจริง - ขอบคุณมากครับ” นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่มินฮยอนเอ่ยก่อนที่จะโค้งศีรษะและลงจากเวที
เสียงปรบมือกึกก้องและเสียงกดชัตเตอร์รัว มินฮยอนสามารถเปลี่ยนงานแต่งงานให้เป็นงานแถลงข่าวทางธุรกิจได้อย่างน่าเหลือเชื่อ ขยับตัวนิดหน่อยก็โดนจับจ้อง ยิ่งเหตุการณ์นี้ที่เป็นการแต่งงานของญาติคนเดียวที่เหลืออยู่แล้วคงไม่แปลกที่ใครต่อใครจะให้การสงสัย
เมื่อไหร่ฮวังมินฮยอนจะแต่งงาน
อายุอานามตอนนี้เฉียดเข้าใกล้เลขสามอยู่รอมร่อ อีกไม่เกินปีหนึ่งคุณฮวังผู้ครอบครองตำแหน่งประธานบริษัทฮวังกรุ๊ปเองก็จะอำลาเก้าอี้ประธานโดยถาวร แรงขับเคลื่อนธุรกิจที่เปลี่ยนกัปตันย่อมได้รับความสนใจเป็นธรรมดา แต่แน่นอน, ไม่ใช่แค่ประธานที่น่าสนใจ – คนรักของประธานก็เป็นอีกตัวแปรหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กัน
ข่าวคราวเรื่องคนรักของมิสเตอร์เพอร์เฟกต์นั้นเงียบสนิท แม้ว่าจะมีนักข่าวบางคนเลือกที่จะนั่งเทียนเขียนถึงความสัมพันธ์ระหว่างนักธุรกิจหนุ่มกับนักร้องสาวชื่อดัง บุตรสาวทายาทสกุลผู้ดีเก่า กระทั่งบางสำนักข่าวบอกว่าชายหนุ่มปลูกต้นรักร่วมกับหญิงสาวชาวต่างชาติเลยด้วยซ้ำไป
ยามที่ถูกสัมภาษณ์ถึงเรื่องที่ใครต่อใครใคร่รู้ มินฮยอนก็ตอบกลับมาเพียงคำเดียวว่า กำลังรอคนที่พร้อมจะเป็นคนรักของตนอย่างเต็มตัว
“คิมจงฮยอน”
เจ้าของชื่อส่งยื่นไวน์แก้วหนึ่งในสองที่ตัวเองถืออยู่ให้คนที่เพิ่งลงจากเวทีมาในทันที อีกฝ่ายไม่ได้ยิ้มให้ ใบหน้าเฉยชานั่นไม่เคยแสดงสิ่งใดให้เห็นแม้แต่น้อย
ร่างสูงยกแก้วไวน์ขึ้นจิบเบาๆ ไม่ได้ขยับเคลื่อนย้ายไปทักทายใคร แต่ก็ใช่ว่าจะพูดคุยกับเลขาส่วนตัวเช่นเขาเสียด้วย
“วันนี้มีงานอะไรที่ต้องกลับไปเคลียร์อีกไหม จงฮยอน”
“ไม่มีแล้วครับ” คุณเลขาฯ ตอบกลับ “เมื่อเลิกงานแล้ว คุณว่าง”
“ผมหมายถึงคุณ”
ชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะตอบไปตามจริง “—ไม่มีครับ”
จงฮยอนก้มหน้ามองแก้วไวน์ในมือเขาจับแก้วโดยใช้ระหว่างนิ้วหนีบขาแก้วไว้ เป็นนิสัยเสียที่บอสเคยเอ่ยเตือนไว้หลายต่อหลายรอบว่าอุณหภูมิจากมือจะทำให้ไวน์เสียรสชาติ แต่จงฮยอนก็ยังแก้นิสัยนี้ไม่หายเสียที
คนเป็นนายส่งเสียงครางเบาๆ ในลำคอราวกับจะบอกว่ารับรู้ หมุนวนไวน์แดงสีแดงก่ำในแก้วให้ไหลไปมาอย่างแช่มช้า ดวงตาเรียวมองสีสันของของเหลวเหล่านั้น พาลนึกถึงสิ่งที่ปรารถนา
“ผมไม่ได้ดื่มไวน์คนเดียวนานแล้วด้วยสิ” ฮวัง มินฮยอนกล่าวเสียงเบา “งานคืนนี้เลิกกี่โมงนะ?”
“ถ้าตามกำหนดก็คงเกือบเที่ยงคืนครับ”
“ถ้าไม่ตามกำหนดล่ะ”
เลขาฯ หนุ่มผ่อนลมหายใจ “ทักทายคู่ค้าแต่ละคนหมดแล้ว, พูดคุยกับครอบครัวพี่เขยคุณตามมารยาทแล้ว” คิ้วของมิสเตอร์เพอร์เฟกต์เลิกขึ้นเล็กน้อยเป็นเชิงให้พูดต่อยามเขาเว้นวรรค “ตามมารยาทก็สามารถกลับได้แล้วครับ”
“ก็แค่นั้น” เมื่อได้คำตอบที่พึงพอใจแล้วคนเป็นนายก็พยักหน้า วางแก้วไวน์ที่แทบไม่พร่องลงไปบนถาดของบริกรที่อยู่ใกล้ที่สุด เดินนำออกไปโดยไม่เอ่ยคำพูดใด
คิมจงฮยอนรู้ดีว่าเขาต้องรีบเดินตามไปแม้ในใจจะอดบ่นไม่ได้ – เขาต้องเดาใจกันให้ได้หรืออย่างไร ตอนเขียนประกาศรับสมัครงานไม่มีความสามารถพิเศษในการเดาใจเจ้านายเขียนไว้ในคุณสมบัติผู้สมัครเสียหน่อย
“คิม จงฮยอน”
“ครับ” เจ้าของชื่อวางแก้วไวน์ลงบนถาดของบริกรคนเดิม ก่อนที่จะสาวเท้าเดินเข้าไปใกล้
เหมือนฮวังมินฮยอนจะไม่ให้เขาห่างกายเกินสามก้าว ต้องหันมาเร่งให้เขาเดินตามไปเป็นแบบนี้อยู่เสมอและหน้าที่ของเขาคือยืนข้างหลังอีกฝ่าย
มองแผ่นหลังของอีกฝ่ายเท่านั้น
ฟันขาวลากไล้ไปบนผิวเนียนสีน้ำผึ้งแช่มช้าจมูกโด่งซุกไซร้ สูดลมหายใจคล้ายเชยชิมความหอมหวาน การกระทำราวกับจะหลอกล่อให้อาหารของตนคลุ้มคลั่ง
“คุณมินฮยอนครับ” และก็คงได้ผล เมื่อเจ้าของความลุ่มหลงกระซิบเสียงพร่ามือเล็กเลื่อนมาแตะหัวไหล่เปลือยเปล่าของคนที่อยู่เหนือร่าง “รีบๆ ทำสักที”
ว่ากันตามความเป็นจริงแล้วมิสเตอร์เพอร์เฟกต์ไม่ใช่คนชอบให้ใครต่อใครออกคำสั่ง แต่ในกรณีนี้เขาก็ยินยอม ถือว่าเป็นการให้ผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ หลังจากที่เขาสามารถจัดการกอบโกยผลประโยชน์ที่มีค่ามากมายมหาศาลมากกว่านั้นได้อย่างง่ายดาย
มือหนาของมิสเตอร์เพอร์เฟกต์ลากไล้บนปลีกขาเนียนในขณะที่คุณเลขานุการซึ่งตอนนี้ไม่ได้อยู่ในสถานะนั้นเม้มริมฝีปากแน่น ลมหายใจขาดช่วงอยู่รอมร่อ เกรงว่าคงขาดอากาศตายไปจริงๆ แน่หากอีกฝ่ายยังกระทำการอ้อยอิ่งแช่มช้อยถึงเพียงนี้
ราวกับฮวัง มินฮยอนรับรู้ในความย่ามใจ, เขาอาศัยจังหวะนั้นในการตรึงท่อนขาของอีกคนให้แยกออกก่อนที่จะซุกศีรษะลงไปบริเวณปลีกเนื้ออ่อนฝังคมเขี้ยวลงไปเสียจนคนถูกกระทำกระชากทึ้งผ้าปูที่นอนเพราะความเจ็บปวดที่แล่นริ้วเข้ามา
หากให้บรรยายความรู้สึก คิมจงฮยอนคงจะรู้สึกคล้ายถูกฉุดกระชากจากโซ่ตรวนที่มองไม่เห็นลงสู่เหวลึกเพียงเพื่อค้นพบว่าใต้เหวลึกนั้นคือสรวงสวรรค์ และมันเป็นแบบนี้เสมอมา
เขารับรู้ว่าร่างกายของตัวเองเบาหวิว หลับตาลงยามที่อีกฝ่ายฝังคมเขี้ยวลงไป ไม่ใช่แค่ตีตราจับจองแต่หมายถึงดูดกลืนทุกสิ่งในชีวิตของเขา มือหนาข้างหนึ่งของมิสเตอร์เพอร์เฟกต์กำลังบีบเค้นต้นขาอ่อนอีกข้างในขณะที่มืออีกข้างยึดตรึงข้อเท้าเล็กไว้ให้อยู่ในท่าทางที่จัดการง่ายๆ
คนตัวเล็กเกือบสูญสิ้นสติไปแล้ว อาการตาพร่าเริ่มแล่นริ้วเมื่อโดนตักตวงไปจนเกือบถึงขีดอันตราย มือของคนข้างใต้เลื่อนไปเกาะกุมที่ต้นคอของอีกคน ใช้สามนิ้วจิกลงไปไม่แรงนักตามที่ตกลงกันไว้
ขอบคุณที่มิสเตอร์เพอร์เฟกต์คนนั้นไม่มัวเมาในรสชาติจนเกินไปถึงยอมเงยหน้าขึ้นมามองเขาพร้อมกับรอยเปื้อนสีแดงฉานที่แสดงถึงความตะกละตะกลามเมื่อครู่ – และเขาเป็นเจ้าของรอยเปื้อนนั้น
เลือดของเขา
ดวงตาเฉยชาปรายตามองเขาไม่ได้แสดงความเป็นห่วงหรือสิ่งใดออกมาให้เห็น มือเล็กเลื่อนไปปาดร่องรอยคาวฉุนจมูกให้อย่างแผ่วเบาแต่กลับโดนเสียงทุ้มเอ่ยขัด
“ไม่ต้อง ฉันจัดการเองได้”
และคำว่าจัดการของคนเป็นนายหมายถึงนำมือเปื้อนเลือดของเขาไปโลมเลียจนสะอาดสะอ้าน ตะกละตะกลาม จวบจนหยาดหยดสุดท้าย ทุกครั้งคราเขาต้องตั้งคำถามในใจเสมอว่ารสชาติคาวนั่นมันอร่อยถึงเพียงใดมิสเตอร์เพอร์เฟกต์ถึงลุ่มหลงรสชาติของมันราวกับไวน์ที่บ่มหมักมาร่วมร้อยปีเช่นนี้
ใช่ ฮวัง มินฮยอนเป็นแวมไพร์
หากมีไทม์แมชชีนให้เขาไปบอกเล่าสถานการณ์ว่าเขากำลังเผชิญกับผีดูดเลือดที่มีตำนานกล่าวขานมานานให้ตัวเองเมื่อสอง – สามปีก่อน ตัวเขาในอดีตคงจะหัวเราะขำขันเหมือนกับได้ยินมุขตลกโง่ๆออกมา แต่เขารู้ดีว่ามันไม่ใช่ ในเมื่อตอนนี้เขาไม่ใช่เพียงเลขานุการสำหรับมิสเตอร์เพอร์เฟกต์ แต่ได้ควบตำแหน่งอาหารค่ำส่วนตัวให้อีกฝ่ายไปด้วย
คนเป็นนายดื่มด่ำเครื่องดื่มชั้นสูงจนสมใจ ในขณะที่คนเป็นอาหารได้แต่นอนแผ่บนเตียงด้วยร่างเปลือยเปล่ามินฮยอนชื่นชอบจะเชยชมรสชาติของเขาที่เส้นเลือดใหญ่บนปลีกขาอ่อน แรกเริ่มก็รู้สึกอับอายที่ต้องปล่อยให้อีกคนกระทำเช่นนี้ แต่นานวันเข้าก็ชิน เขาหมายรวมถึงการคุ้นชินกับอ้อมกอดของอีกฝ่ายหลังจากที่มิสเตอร์เพอร์เฟกต์ดื่มเลือดเขาจนหมดด้วย
หากมีคนภายนอกมาเห็นตอนนี้มินฮยอนคงโดนตราหน้าว่าเป็นสมภารกินไก่วัด – อันที่จริงก็ไม่ได้ผิดอะไรนักหรอกในเมื่อเขาเป็นคนถูกกินจริงๆ เพียงแค่ภายนอกไม่มีสิ่งใดเสียหายเท่านั้น
“คิม จงฮยอน”
“—ครับ” เจ้าของชื่อบิดเร้ากายเล็กน้อย เขาโดนแขนแกร่งของอีกฝ่ายกอดกกไว้ในอ้อมอกจากด้านหลังและไม่มีทีท่าจะปล่อยง่ายๆ
มิสเตอร์เพอร์เฟกต์ไม่ตอบ ทำเพียงก้มลงกดริมฝีปากลงบนหลังคอ เล่นเอาคนโดนกระทำขนอ่อนลุกชันยามคมเขี้ยวที่ยังไม่ถูกเก็บเข้าไปครูดลงบนเนื้อเนียน
มือเล็กเผลอตะปบต้นคอของตัวเองในทันที “คุณมินฮยอนครับ” เอ่ยปรามอย่างที่ไม่ทำบ่อยนัก
พอโดนเช่นนั้นแวมไพร์หนุ่มก็กดริมฝีปากลงบนปลายนิ้วที่วางในตำแหน่งเดิม ขบกัดเบาๆ ให้จงฮยอนเผลอครางฮึมในลำคอ ก่อนที่จะผละออกไปเคลื่อนย้ายร่างกายสูงโปร่งของตนไปที่ห้องน้ำ
ดวงตามองจนประตูห้องน้ำปิดลง มือเล็กไล้บนสัมผัสเหล่านั้นด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก
เขาไม่ปรารถนาที่จะถูกอีกคนกลืนกินโดยสมบูรณ์ –แม้ว่าตอนนี้จะใกล้เคียงเต็มที
เสียงน้ำไหลออกจากฝักบัวดังให้ได้ยินอย่างแผ่วเบา คิม จงฮยอนที่ร่างกายอ่อนล้าโหยหาห้วงนิทราเต็มแก่ แต่ไม่ทันที่จะหลับดีเสียงที่เงียบไปก็บ่งบอกว่าเจ้าของห้องกำลังจะออกมาเขากำลังจะเอื้อมมือไปดับไฟหัวเตียงแต่ไม่ทัน มิสเตอร์เพอร์เฟกต์เปิดประตูห้องน้ำออกมาด้วยสภาพกางเกงนอนเนื้อดีตัวเดียว
“ผมพูดจริงๆ นะ คิม จงฮยอน”
เจ้าของชื่อยิ้มแห้ง “ครับ?”
“ตอนนี้ผมอายุเท่านี้แล้ว จริงอยู่ที่พวกผมมักจะอายุยืนยาวแต่อายุขัยของผมก็ไม่ได้แตกต่างจากมนุษย์เท่าไหร่หรอก”
คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน เขายังคิดไม่ออกว่าอะไรทำให้ทายาทคนสำคัญของสกุลฺฮวังพูดเรื่องอายุขึ้นมาแต่ประโยคต่อมา จงฮยอนก็เข้าใจอย่างถ่องแท้
“ผมคิดว่ามันถึงเวลาแล้วที่ผมจะมีคู่ครองเสียที”
อา—แบบนี้นี่เอง คนตัวเล็กที่ยังนอนอยู่อดคิดแบบนั้นในใจ เขาไม่สามารถทำอะไรไปมากกว่านั้นได้อีกแล้ว
“คุณคิดว่ายังไง” มิสเตอร์เพอร์เฟกต์เอ่ยถามต่อเมื่อเห็นว่าเขาเงียบไป “มันจะดีไหม”
เล่นพูดตรงไปตรงมาเสียขนาดนี้ คุณเลขาฯทำได้แค่ยิ้มให้เท่านั้น “คนอย่างคุณ, เรื่องแบบไหนยังไงก็สามารถจัดการได้ดีอยู่แล้วล่ะครับ”
มีเพียงเสียงครางรับอย่างแผ่วเบาจากคนที่เพิ่งดื่มเลือดเขาต่างไวน์ ก่อนที่มือเล็กจะเอื้อมมือไปปิดโคมไฟบริเวณหัวเตียง ทิ้งร่างและสติตัวเองลงบนผ้าห่มที่ห่อหุ้มกาย
จริงๆ แล้วคิมจงฮยอนได้กลายมาเป็นอาหารของอีกฝ่ายอย่างจับพลัดจับผลู
ตอนนั้นเขาเป็นเพียงเด็กใหม่ในบริษัทยักษ์ใหญ่ทำงานในแผนกจัดการการขายที่โดนใช้งานจิปาถะไปด้วย ขณะที่ยังอยู่ในช่วงประเมินงานไม่ทันได้หยิบจับชิ้นงานที่จริงจังเสียเท่าไหร่เขากลับบังเอิญไปเจอชายหนุ่มที่ทุกคนรู้จักที่ห้องเก็บเอกสารแคบๆ
“คุณมินฮยอน เป็นอะไรหรือเปล่าครับ ให้ผมติดต่อหมอให้ไหม”
รัวคำถามไปไม่หยุดไม่สิ้นแม้ว่ามินฮยอนที่ตอนนั้นเป็นเพียงรองประธานบริษัทแต่ตำแหน่งก็สูงส่งกว่าเขาหลายขั้น ลองมาเห็นลูกชายประธานบริษัทมีอาการหายใจหอบถี่เหมือนจะสิ้นสติในสถานที่แคบๆ แห่งนี้ย่อมทำให้วิตกกังวลเป็นธรรมดา
“อย่าเข้ามา”
“ตะ แต่—”
“ทำไมถึงมาเดินเตร่อยู่ที่นี่ได้”
ทั้งสั่งห้ามทั้งยังมองเขาอย่างไม่สบอารมณ์ จงฮยอนไม่ใส่ใจทั้งหมดนั่น ทั้งยังดันทุรังเข้าไปใกล้หมายจะปฐมพยาบาลให้อีกฝ่ายเสียก่อน
แต่สิ่งที่มองเห็นคืออาการเกร็งของมือแกร่งเสียจนเห็นเส้นเลือด แววตาสีแดงก่ำ และคมเขี้ยวสีขาวที่เผยให้เห็นบนหยักริมฝีปาก สมองยังไม่ทันประมวลผลให้วิ่งหนี เขากลับโดนร่างสูงจับที่แขน ฉุดกระชากอย่างแรงที่เหนือกว่ามนุษย์ทั่วไปเหวี่ยงเขาลงบนพื้นเสียจนได้ยินเสียงกล่องเอกสารหล่นโครมในที่ไหนสักที่และความเย็นเฉียบที่แนบลงบนลำคอของเขาอย่างแรงเสียจนต้องหวีดร้องด้วยความหวาดกลัว
เขาได้สติหลังจากนั้นประมาณสอง – สามชั่วโมงพร้อมตัวต้นเหตุที่รออยู่ข้างๆ
“ผมเป็นแวมไพร์”
จำได้ว่าน่าขันแค่ไหนตอนที่เขาได้ยินคำพูดนั้นจากมิสเตอร์เพอร์เฟกต์ที่ไม่เคยแม้แต่จะรู้จักชื่อพนักงานต๊อกต๋อยแบบเขาด้วยซ้ำ แต่พอเห็นสีหน้าจริงจัง ประกอบกับเรื่องทั้งหมดก่อนหน้านี้แล้วก็พาลขำไม่ออก หากพินิจพิจารณาดูก็พบว่าทั้งหลายมันก็น่าจะเป็นไปตามที่พูด มินฮยอนมีผิวขาวซีดดวงตาที่ตอนนี้เป็นสีดำขลับก็เคยเป็นสีแดงก่ำ ริมฝีปากของอีกคนแม้จะไม่เห็นคมเขี้ยวนั่นแล้วแต่เขาก็ยังมั่นใจว่าอีกฝ่ายฝังเขี้ยวลงบนคอเขาจริงๆ
“แล้วคุณไม่ต้องหลบแสงแดดหรือ”
“นั่นมันนิทานหลอกเด็กน่า” น้ำเสียงของอีกคนดูแปลกใจระคนขำขันเมื่อเขาเอ่ยถามเช่นนั้นแม้ว่าสีหน้าจะไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย “พวกเราไม่ต้องหลบแดดหรอก ไม่ได้กลัวกระเทียม แล้วก็ไม่ได้ตายได้เฉพาะเวลาโดนสิ่วตอกด้วย”
คิมจงฮยอนรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กน้อย เพราะเขาดันจำภาพแวมไพร์เป็นแบบนั้นตามที่ร่างสูงบอกเป๊ะ
“แต่ว่า—”
คนที่บอกตัวเองไม่ใช่มนุษย์เว้นไปชั่วครู่ สบตากับเขาอย่างตรงไปตรงมา แววตาจริงจังเสียจนใจหวิวแม้ว่าจงฮยอนจะคิดว่ามันมาจากการเสียเลือดไปก่อนหน้านี้ก็ตาม
“เรื่องที่กัดใครแล้วเขาจะกลายเป็นพวกเดียวกับผมน่ะเป็นเรื่องจริงนะ”
วินาทีนั้นจงฮยอนทำอะไรไม่ถูก
ความหวาดกลัวและหวาดหวั่นเกาะกุมทั่วหัวใจทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก ทั้งยังไม่น่าเชื่อถือหากหลังจากนี้จะมีจุดประทัดดังปัง แล้วใครสักคนตะโกนออกมาว่า ‘เซอร์ไพรส์’ ยังจะดูเป็นเรื่องจริงเสียมากกว่า แต่ก็ไม่มีใครทำอะไรแบบนั้นเสียที
หลังจากนั้นเขาก็เหมือนโดนช่วงชิงสติไปพร้อมๆ กับเลือด มินฮยอนบอกว่าจะจัดการชดเชยทุกอย่างให้อย่างสมน้ำสมเนื้อ กำชับหลายครั้งว่าถ้าหากมีอาการผิดปกติใดๆ เช่นไม่อยากอาหารเหมือนเดิม หรือนอนไม่หลับกระสับกระส่ายให้ติดต่อเขาทันที
ผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ คิม จงฮยอนยังไม่เห็นมีอาการเช่นที่มิสเตอร์เพอร์เฟกต์บอกเสียหน่อย
ขณะที่กำลังวางใจ คิดในแง่ดีว่ามินฮยอนอาจจะลืมเดินมาจุดประทัดบอก ‘เซอร์ไพรส์’ เขาเพราะว่าอีกฝ่ายเป็นนักธุรกิจคิวทอง แต่ความหวังว่ามันจะเป็นการซ่อนกล้องก็พังทลายลงเมื่อเช้าวันหนึ่งเขาเดินขึ้นมาที่ห้องแผนกตัวเองเพื่อพบว่าโต๊ะของเขาว่างเปล่า
“อารอนฮยองครับ โต๊ะของผม—”
รุ่นพี่ในแผนกหันมาขมวดคิ้วมุ่น “อ๋อ, เดี๋ยวสิไม่มีใครบอกนายเลยหรือ” ทำสีหน้าแปลกใจทั้งที่คนควรจะแปลกใจต้องเป็นเขาเสียมากก่า
“อะไรเหรอครับ” สาบานว่าตอนนั้นเขาคิดจริงๆ ว่าตัวเองจะโดนไล่ออก
“เลื่อนตำแหน่งไง นายได้เลื่อนตำแหน่ง”
ให้ตายเถอะ เขายังไม่ทันผ่านประเมินงานเลยด้วยซ้ำแต่กลับมีการเลื่อนตำแหน่งแบบฉุกละหุกมากองอยู่ตรงหน้า ใครก็รู้ว่ามันไม่ปกติ และยิ่งไม่ปกติเข้าไปใหญ่เมื่อพบว่าโต๊ะประจำตำแหน่งเขาย้ายมาอยู่หน้าห้องของรองประธานบริษัทพร้อมกับป้าย ‘เลขานุการ’ ที่วางให้บนโต๊ะ
เขาไม่ได้จะเป็นเลขาฯ ว่ากันตามตรงคือไม่แม้แต่จะมีความคิดเหล่านั้นในหัว ถึงการโดนใช้งานจิปาถะทำให้เขารู้สึกเบื่อหน่ายงาน แต่คนที่จ้างเขาในตำแหน่งเลขาฯ ก็ไม่ยอมให้เขาจากไปไหน
“ผมจะย้ายไปตำแหน่งเดิม”
“ไม่จำเป็น” อีกฝ่ายไม่ฟังข้อโต้แย้งของเขาเลยสักนิด “ฉันอยากให้นายอยู่ใกล้ๆ ตัว”
“คุณมินฮยอนครับ” คนตัวเล็กพ่นลมหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน “ผมขอร้อง ผมไม่เคยมีประสบการณ์ด้านนี้แล้วนี่ก็ไม่ใช่ตำแหน่งที่ผมสมัครมา—”
“ก็ช่างมันสิ”
จำไม่ได้เหมือนกันว่าสบถในใจไปกี่ครั้ง ถ้าอีกฝ่ายไม่มีตำแหน่งสูงและเขาเป็นผู้น้อย สาบานว่าเขาคงตะโกนด่าตรงนั้นให้มันจบๆ ไป
ช่างเอาแต่ใจเหลือเกิน – นั่นเป็นนิสัยเสียข้อแรกที่เขาได้รับรู้
มิสเตอร์เพอร์เฟกต์จับเขาไว้ใกล้ๆตัว ห้ามออกห่าง ให้ไปกินข้าวด้วยกันทั้งที่อีกฝ่ายไม่มีความอยากอาหารเฉกเช่นมนุษย์แต่เขายังคงปรารถนาเช่นนั้นอยู่ บางวันก็ต้องลากเขาไปงานเลี้ยงสังคมด้วย (พร้อมกับให้เขาท่องจำรายชื่อแขกทั้งหมดที่ต้องไปทักทาย หน้าที่จิปาถะสุดๆ) เป็นเช่นนี้เกือบเดือนเห็นจะได้ อีกฝ่ายจึงจับเข่าคุยกับเขาอย่างจริงจัง
“ผมคิดว่าคุณเป็นข้อยกเว้น”
“ครับ?”
“มันเคยมีข้อยกเว้นอยู่บ้างในโลกของเรา – หมายถึงโลกของผมน่ะนะ”
คิม จงฮยอนหรี่ดวงตากลมโตนั่นลงเล็กน้อย เขาทราบดีว่าคำพูดเหล่านั้นหมายถึงเรื่องแฟนตาซีทั้งหลายที่เจ้านายของเขาเป็น
พอมาพิจารณาตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาก็คิดว่าเป็นไปได้อยู่มินฮยอนไม่ค่อยอยากอาหารเหมือนกับมนุษย์ ไม่อยากนอนพักเท่าคนอื่นๆ ตอนที่ไปทำงานร่วมกันนอกสถานที่ จงฮยอนเห็นมินฮยอนไม่หลับไม่นอนสามวันเต็มๆ แต่ยังมีใบหน้าที่สดใสและไม่ทุรนทุรายแม้แต่น้อยทั้งยังไม่ต้องพึ่งคาเฟอีนสักช้อน ถึงจะไม่ได้หลบแสงแดดหรือเลี่ยงอาหารที่มีกระเทียมก็เถอะ
“คุณจะบอกว่าผมเป็นพิเศษอย่างไรล่ะครับ”
“อืม, พิเศษงั้นหรือ นั่นเป็นคำพูดที่ดี” มิสเตอร์เพอร์เฟกต์พึมพำกับตัวเอง “แต่ก็ใช่ คุณพิเศษ”
ยอมรับว่าเผลอใจกระตุกไปหน่อยถ้าฮวัง มินฮยอนเอาไปพูดกับผู้หญิง เจ้าหล่อนคงจะละลายตรงนั้น โชคดีเหลือเกินที่เขาไม่ใช่ผู้หญิง
“ยังไงครับ”
“เป็นอาหาร”
คนตัวเล็กกว่ามองสีหน้าจริงจังของคนตรงหน้า นิ่งเงียบไปเพื่อรอให้อีกฝ่ายพูดต่อ และเหมือนมินฮยอนจะเข้าใจ
“กรณีที่พวกแวมไพร์ดื่มเลือดมนุษย์ที่คอ ปกติแล้วมนุษย์มักจะกลายมาเป็นพวกเดียวกับเรา แต่ผมใช้เวลาทั้งหมดที่ผ่านมาสังเกตคุณ ผมมั่นใจเลยว่าไม่ใช่กรณีนี้ ”เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยขึ้นออกมาอย่างใจเย็น อันที่จริงมินฮยอนก็ใจเย็นทุกครั้งไปนั่นแหละ “มันก็มีอีกกรณีหนึ่ง – ซึ่งพบเจอได้น้อยมากๆ – ก็คือคุณจะกลายมาเป็นอาหารของผม”
พอฟังจบจงฮยอนก็พยักหน้าน้อยๆ “ครับ ผมเชื่อแล้ว” เขาเข้าใจว่าเขาบริจาคเลือดไปให้อีกฝ่ายจนเต็มท้องแล้ว
“มันไม่ใช่แค่นั้น” มิสเตอร์เพอร์เฟกต์เอ่ยเสียงเข้มขึ้นมาอีกหน่อย คิ้วเริ่มขมวดเข้าหากัน “ผมดื่มเลือดได้แค่คุณ”
“...”
“ผมจะดื่มเลือดได้แค่คุณ ไปเรื่อยๆ จนคุณหรือผมตายไป หรือไม่ก็—”
“โลกแวมไพร์นี่มีทางเลือกเยอะดีจังนะครับ”
“ผมเข้าใจว่านั่นคือการประชด”
เลขานุการพ่นลมหายใจพรืดเค้นหัวเราะออกมาเบาๆ เขาจดลิสต์ข้อเสียของมินฮยอนเพิ่มไปอีกข้อว่าไร้ทักษะในการตอบรับอารมณ์ขันที่เขาหยิบยื่นให้เพราะไม่อยากให้สถานการณ์ตึงเครียดเกิน
“แล้วยังไงต่อครับ” จงฮยอนชักจูงให้เข้าประเด็นต่อ “ผมมีทางเลือกขนาดนั้นหรือ”
“ก็มีแค่สองทางให้คุณหนึ่ง – ให้ผมกัดที่คอของคุณอีกครั้งคุณจะกลายเป็นเหมือนกับผม” คนตัวเล็กรู้ดีว่าแววตาของตัวเองสั่นไหวขนาดไหนน่าจะแกว่งเหมือนกับก้อนเนื้อในอกตนตอนนี้ “ส่วนทางที่สอง – คุณแค่เป็นอาหารให้ผมเรื่อยๆ เท่านั้นแหละ”
“...”
“จะเลือกทางไหนครับคิม จงฮยอน”
-------------------------------------------------------
ก็ไม่ได้โกหกนะคะว่าจะเขียนฟิคมินเจตอนปี 2019
แต่ฟิคนี้ถูกเขียนนานมากๆๆๆ แล้ว มีจนจบแล้วด้วย
ด้วยสาเหตุบางประการเลยไม่ได้ลง
แต่ตอนนี้ได้ลงแล้วนะคะ มี 3 พาร์ท
รบกวนคอมเม้นในแท็ก #nandnsf (เอ็น แอนด์ เอ็น sf) ให้ทีนะคะ <3
ว่าแต่ว่า คู่ครองที่พูดถึงให้อาหารฟังเนี่ย หมายถึงคุณไวน์แสนอร่อยตรงหน้าไหมคะ โอยยยย ชอบความสัมพันธ์แบบคุณคนเพอร์เฟคโดนบ่นในใจตลอดเวลา อายุไม่ต่างจากมนุษย์แถมเจรจาให้เขากลายเป็นของตัวเองอีก ขอให้ประสบความสำเร็จนะคะพ่อแวมไพร์น่าเอ็นดู แงงงง ชอบๆๆชอบนายเอก ไม่ชอบงานเลขาก็ต้องทำบ่นเจ้าแวมไพร์เยอะๆเลย ฮืออออ