รถเบนซ์แล่นมาถึงสนามบินเถาหยวน หากแต่รถไม่ได้เลี้ยวเข้าไปจอดในอาคารจอดรถอย่างเช่นคนทั่วไปพึงกระทำ
รถเบนซ์เลี้ยวเข้าไปในลานจอดเครื่องบินส่วนบุคคลหรือเครื่องบินเฉพาะ บริเวณนั้นไม่มีคนนอกเข้ามาวุ่นวาย
กิลโดสั่งให้ลูกน้องของเขาหิ้วซิงเฉิงซึ่งยังคงหมดสติขึ้นไปบนเครื่องบินส่วนบุคคลลำไม่ใหญ่มาก
"เสร็จทุกอย่างแล้วไปเจอกันที่ฮ่องกง ฉันกับบอสจะรออยู่ที่นั่น..." เขาหันไปสั่งชายหน้าบาก
"ครับ คุณกิลโด" ลูกน้องทั้งหมดตอบรับพร้อมกัน
จากนั้นเครื่องบินจึงบินขึ้นสู่ท้องฟ้ามุ่งหน้าสู่ประเทศการค้าที่สำคัญอีกประเทศหนึ่ง
ฮ่องกง...
บนตึกระฟ้าในโรงแรมหรูใจกลางย่านธุรกิจของฮ่องกง ชายหนุ่มวัยยี่สิบสี่ปี เส้นผมสีดำทรงอันเดอร์คัทถูกเซ็ตเรียบร้อย เข้ากับชุดสูทสีเทา เนคไทสีน้ำเงินเหมือนไพลินเช่นเดียวกับสีตาและรองเท้าคัทชูหนังสีน้ำตาลเข้าชุดกัน
แหวนเงินบนนิ้วชี้มือขวายิ่งขับให้นิ้วเรียวขาวแบบคนยุโรปยิ่งดูน่ามอง เขาคีบบุหรี่สูบอย่างสบายอารมณ์
"กิลโดมาถึงแล้วครับนายท่าน.." ชายสูงวัยดูแข็งแรงผิดกับสังขารที่ควรจะร่วงโรย ทำความเคารพอย่างนอบน้อม ชายหนุ่มเพียงแค่พยักหน้ารับเบาๆ
"ไปกันเถอะ อัลเบอร์โต้..." พูดจบจึงเดินนำออกไปยังห้องที่กิลโดพาแขกของเขามารออยู่ก่อนแล้ว
ซิงเฉิงฟื้นบนเครื่องบิน แต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไร ก็ถูกฟาดต้นคอจนสลบไปอีก ลืมตาขึ้นมาอีกที ก็พบกับห้องไม่คุ้นเคย และข้อมือที่ถูกใส่กุญแจมือไพล่หลังไว้
ท้ายทอยปวดหนึบ แต่นอกจากความเจ็บปวดนั้น ความทรงจำก็ยังปกติดีทุกอย่าง จึงโล่งใจไปได้ส่วนหนึ่ง
เขาเห็นคนไม่คุ้นหน้าอยู่รอบตัว ทั้งบอดี้การ์ดสูทดำ ชายเชิ้ตเขียวท่าทางเจ้าสำราญ ชายสูงวัย และที่สำคัญที่สุด...
คนที่นั่งสูบบุหรี่สบายใจอยู่บนเก้าอี้นวมตรงหน้า!!
ชายหนุ่มขยับตัวพอเป็นสัญญาณว่าเขามีสติมากพอแล้ว แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
จะให้ถามว่า 'พวกคุณคือใคร จับฉันมาทำไม' น่ะหรือ..?
ฝันไปเถอะ!!
ชายหนุ่มเอาบุหรี่ที่ใกล้หมดมวนไปดับที่จานรองบุหรี่ตรงโต๊ะไม้ด้านขวาของโซฟาที่เขานั่ง
ลูกน้องสองคนจับให้ซิงเฉิงขึ้นมานั่งบนโซฟาเล็กด้านซ้ายมือ แต่ไม่ปลดล็อคกุญแจและยืนประกบอยู่ทั้งสองข้างของซิงเฉิงเหมือนคุมเชิง
"ขออภัยที่ทางเราต้องปฏิบัติเช่นนี้กับคนตระกูลเฉิน..." กิลโดกล่าวอย่างนอบน้อม และเริ่มพูดต่อไป "ทางเรามีเรื่องต้องการจ้างงานกับพี่ชายคนโตของคุณ แต่เขาไม่ให้ความร่วมมือ และดูเหมือนคุณจะเป็นข้อต่อรองที่ดี ..." ในขณะที่กิลโดกำลังพูดอยู่ เขาก็หยุดพูดไป แล้วเสียงทุ้มนุ่มของคนที่เงียบมานานจึงเอ่ยขึ้น
"นั่นขึ้นอยู่กับว่าคุณจะให้ความร่วมมือหรือไม่ ..." สำเนียงภาษาอังกฤษที่ชัดเจนเหมือนเจ้าของภาษาบ่งบอกว่าชายคนนี้เป็นคนระดับไหน
เขามองสำรวจคนตรงหน้าที่ดูเหมือนจะไม่รู้จักเขาอย่างสนใจ อีกฝ่ายมีเรือนผมตรงยาวสีมะเกลือล้อมใบหน้าสวย ติดจะหวานคล้ายผู้หญิง คิ้วเรียวยาวชี้ขึ้นรับกับจมูกรั้น นัยน์ตาคู่นั้นแม้ไม่กลมโตตามสมัยนิยม ก็ยังเรียวยาวทรงอัลมอนด์ จัดได้ว่าเป็นชายหน้าตาดีคนหนึ่งทีเดียว หากไม่ติดตรงริมฝีปากบางหยักได้รูปนั้น จะยักยิ้มคล้ายกวนประสาทนิดหน่อยอยู่ตลอดเวลา
ซิงเฉิงกลอกตา คุ้ยหาสำเนียงและคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่ถูกฝังไว้ในหัวนานหลายปีแล้ว ไม่คิดจะใส่ใจกับสายตาสีน้ำเงินคมกริบที่พิจารณารูปร่างหน้าตาของตน
ก็พอรู้อยู่หรอกว่าหน้าสวย… แต่ถ้าชอบลงก็ให้มันรู้ไป เขาเป็นผู้ชายกระเดือกโตเท่าไข่ไก่ขนาดนี้!!
ขณะเดียวกัน
ไทเป, ไต้หวัน
บริษัทขนส่งระหว่างประเทศของตระกูลเฉิน คือบริษัทขนส่งระหว่างประเทศขนาดใหญ่ ยึดพื้นที่ในตลาดขนส่งระหว่างประเทศในโลกตะวันออกไปหลายส่วน มีสาขาย่อยอยู่ที่ประเทศไทย ผู้ดูแลสาขาย่อย ย่อมไม่ใช่ใครนอกจากสายตระกูลเฉินที่ห่างออกไปอีกสายหนึ่ง
แต่ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงฉากหน้าในวงการธุรกิจ สำหรับตลาดมืด ‘ตระกูลเฉิน’ คือบริษัทซึ่งรับจ้างหา ‘สินค้า’ ที่ลูกค้าต้องการ ไม่ว่าสินค้านั้นจะเป็นคน สัตว์ หรือสิ่งของ พร้อมทั้งบริการขนส่งเถื่อน เพียงแต่งานทุกชิ้นที่พวกเขารับ ล้วนต้องผ่านกรตัดสินใจจากระดับผู้นำตระกูล ดังนั้นงานบางชิ้น จึงถูกปฏิเสธทิ้งอย่างไม่เหลียวแล
"ฉันใช้สายจากทางฝรั่งเศสของตระกูลซีริลล์เข้าไปในอิตาลีได้" อู่หยางถอดแว่นกันแสง ยกมือขึ้นนวดหัวคิ้วเบาๆ "สายส่งอิตาลีอะไรนั่น ไม่ได้ช่วยเพิ่มประโยชน์ให้บริษัทเราเท่าไร"
"ส่วนเงินก้อนโต จะสิบล้าน ร้อยล้าน..." นัยน์ตาของคุณชายใหญ่แห่งตระกูลเฉิน เมื่อไม่มีแว่นบดบัง ก็คมกริบน่ากลัว "ในเมื่อฉันปฏิเสธงานไปแต่แรก ก็ไม่คิดอยากจะได้มันมาแต่แรกเช่นกัน"
ปลายเสียงเป็นเสียงของผู้หญิง ทำให้ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างเนือยๆ เขาเพียงแค่กรอกเสียงอันราบเรียบลงไปว่า "ฝากเรียนท่านประธานของคุณด้วยว่า ผมขอน้อมรับคำปฏิเสธ แต่ผมไม่อาจรับรองความปลอดภัยของหนึ่งชีวิตที่อยู่กับผมได้ อาริเวร์เดร์ซิ...."
แล้วมือหนากดวางสายโทรศัพท์ไป พลางมองอีกคนที่นั่งตัวเกร็งอยู่
"ผมไม่ยิงคุณทิ้งตอนนี้หรอก มิสเตอร์ซิงเฉิง.." เขาพูดทั้งที่ยังเอามือก่ายหน้าผาก
ให้ตายสิ เขาอยู่อิตาลีดีๆ จู่ๆ ก็ต้องมาเคลียร์ปัญหาให้ฮ่องกงทั้งที่ที่อิตาลีก็มีปัญหามากพออยู่แล้ว
ท่านลุงคิดยังไงถึงอยากให้เขาเข้าร่วมจนถึงต้องบินไปหาที่ซิซิลี....
แววตาของซิงเฉิงเป็นประกายวาว ริมฝีปากหยักยิ้มพราย เชิดหน้าขึ้นอย่างถือดี จากการเกิดและเติบโตขึ้นมาในตระกูลมาเฟีย ทำให้สามารถประเมินสถานการณ์ได้ว่า ตอนนี้ตนยังเป็น ‘หมาก’ ตัวสำคัญของชายหนุ่มผู้ดูเหมือนเป็นบอสใหญ่ของมาเฟียแก๊งนี้
"เกอเป็นคนอย่างนั้น ถ้าเขาตัดสินใจไปแล้วก็ไม่คิดจะกลับคำ ฉันเป็นแค่ปลายแถว ไม่มีค่าพอจะให้เขายอมรับข้อเสนอของคุณ"
ยิ่งเห็นอีกฝ่ายก่ายหน้าผาก เขาก็ยิ่งมั่นใจว่าต้องมีปัญหา บางทีที่ไม่ยิงตัวเองทิ้งตอนนี้ ก็คงเพราะยังมีประโยชน์อยู่ไม่หยอก
"ไม่เก็บฉันตั้งแต่ตอนนี้ แปลว่าฉันยังมีประโยชน์กับคุณใช่ไหม"
ผู้รับฟังลุกขึ้นมานั่งตัวตรง ใบหน้าของเขายังคงเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์เหมือนเดิม "ก็ไม่เชิง..." เขากล่าวเรียบๆ แล้วเริ่มจุดบุหรี่ขึ้นสูบอัดปอดอีกมวน "คุณมีประโยชน์..และที่ไม่ยิงคุณทิ้งก็เพราะผมไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องทำแบบนั้น..." พูดไปก็พ่นควันเป็นระยะๆ
เรื่องที่อู่หยางปฏิเสธไม่เหนือความคาดหมายของเขาเท่าใดนัก ความเด็ดขาดที่มาพร้อมความเลือดเย็นเป็นคุณสมบัติที่ผู้นำทุกคนล้วนมี
อู่หยางมีสิ่งที่ต้องปกป้อง
เขาเองก็มีเหมือนกัน
ติดแค่ว่าอู่หยางทิ้งหมากได้ง่ายดาย แต่เชื่อเถอะว่าหมากตัวนี้มีประโยชน์กับเขา ยิงทิ้งไปก็เปลืองแรงอย่างที่พูดนั่นละ
"คุณรู้ไหมว่าทำไมถึงมานั่งอยู่ตรงนี้ มิสเตอร์ซิงเฉิง..."
คำถามแบบนี้ ในหัวซิงเฉิงพลันคิดถึงว่าที่ฟูเหรินตระกูลเฉิน คิดอยากตอบกวนบาทาไปอย่างแม่ญาติสาวฝั่งไทยคนนั้นให้รู้แล้วรู้รอด "จะไปรู้ไหมล่ะ ถูกจับมาเป็นตัวประกันแลกเปลี่ยน โดนพี่ชายตัวเองเขี่ยออกจากกระดาน รู้อยู่แค่นี้แหละ" เขาถอนหายใจ คิดสงสารตัวเองขึ้นมาสักนิดหน่อย
อย่างน้อยก็ยังเกรงใจนายเครื่องพ่นควัน ไม่ตอบไปว่า 'เป็นทาสบำเรอรักมั้ง' อย่างใจคิด
คำตอบเรียกความสนใจจากชายหนุ่มได้ดีทีเดียว เขาเคยเจอคนจากตระกูลเฉินอยู่ครั้งสองครั้งตามงานเลี้ยง แต่คนตรงหน้าดูต่างกับคนที่เขาเจออย่างสิ้นเชิง
คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน จากนั้นจึงเริ่มพูดต่อ "คุณรู้เรื่องมาเฟียฮ่องกงที่กำลังมีปัญหาอยู่กันขณะนี้ไหม" พูดพลางเขี่ยขี้บุหรี่ลงถาดไปพลาง
"เรื่องดังออกขนาดนี้ ลงข่าวหนังสือพิมพ์ตั้งหลายฉบับ ถ้าไม่รู้ฉันคงต้องไปมุดหัวในสุสานอยู่สักสามปี" ซิงเฉิงไขว่ห้าง ทำเป็นลืมท้ายทอยปวดหนึบกับมือที่ถูกใส่กุญแจไพล่หลังไว้ จะมาเฟียฮ่องกง เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ อะไรก็ช่าง มันไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องใส่ใจ ตระกูลเฉินไม่เข้าใครออกใคร เรื่องให้ช่วยเหลือการภายในของกลุ่มผู้มีอิทธิพลในโลกมืด ย่อมไม่ใช่ทางที่ควรเดิน
"แต่พวกคุณคงไม่รู้เบื้องหลัง..." เขาบี้บุหรี่ลงในถาด แล้วจึงจึงจุดมวนใหม่ "ในเมื่อพี่ชายคุณไม่ช่วย...แต่คุณช่วยผมได้..." นัยน์ตาสีเข้มหรี่มองอีกฝ่าย ที่ดูเหมือนจะไม่กลัวเขา
นานๆ ทีจะเจอคนแบบนี้
คงเป็นความบันเทิงให้แก้เซ็งได้บ้างล่ะนะ
"ช่วยอะไร" ชายหนุ่มตัวเกร็งขึ้น สังหรณ์บอกชัดว่าไม่ใช่เรื่องดี “มาเฟียฝรั่งอย่างคุณ ต้องการยุ่งเกี่ยวอะไรกับการภายในบ้านสกุลหลิวที่ฮ่องกง”
“สายเลือดของผมครึ่งหนึ่ง มาจากบ้านสกุลหลิว” นายฝรั่งกล่าวเนิบๆ “พ่อของผมเป็นอดีตบอสใหญี่ของมาเฟียซิซิลี แต่แม่… เคยเป็นหนึ่งในสายเลือดหลักของสกุลหลิว”
ซิงเฉิงเริ่มเข้าใจเรื่องราวขึ้นมาลางๆ ปัญหาบ้านสกุลหลิวหลังเจ้าบ้านคนเก่าเสียชีวิต ก็คือยังไม่มีผู้สืบทอดตำแหน่ง ตามข่าวที่สายสืบตระกูลเฉินส่งมาให้ สาเหตุเป็นเพราะสายเลือดหลักของบ้านสกุลหลิวไม่ได้รับการถูกกล่าวถึงอีกเลยนอกจากลูกชายคนโตที่สุขภาพอ่อนแอปฏิเสธตำแหน่ง กับลูกสาวซึ่งแต่งงานออกไปกับชาวต่างชาติ ขณะที่สายเลือดรองกลับหวังตำแหน่งกันอย่างดุเดือด โดยเฉพาะ ‘วิลเลียม หลิว’
"เจ็ดสัญลักษณ์ของมังกรฟ้า..." มาเฟียลูกครึ่งกล่าวต่อ มองปฏิกิริยาของอีกฝ่าย
ซิงเฉิงตัวแข็ง สีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมพี่ใหญ่ถึงปฏิเสธงานนี้ ถึงขั้นยอมเขี่ยเขาทิ้งแบบไม่แยแส
ก็ในเมื่อ 'เจ็ดสัญลักษณ์มังกรฟ้า' คือสิ่งของซึ่งถูกซุกซ่อนอยู่ตามสถานที่และบุคคลอันเปิดเผยไม่ได้ในฮ่องกง มาเก๊า และเกาลูน ทั้งยังเกี่ยวพันกับการขึ้นรับตำแหน่งผู้นำของบ้านสกุลหลิว!!
สถานการณ์บ้านสกุลหลิวตอนนี้ไม่สู้ดีนัก วิลเลียม หลิว ต้องการเป็นผู้นำตระกูล แต่เขาเป็นเพียงทายาทปลายแถว แม้ฝีมือจะขึ้นชื่อว่าเก่งกาจ การปกครองก็ดุดันเหี้ยมโหด แต่คนของตระกูล ก็ต้องการหาทายาทจากสายเลือดหลักมาเป็นคู่แข่งเช่นกัน
ดังนั้นเมื่อผู้สืบทอดไม่ได้กำหนดขึ้นอย่างชัดเจน เจ็ดสัญลักษณ์ของมังกรฟ้าจึงถูกนำมาใช้ตัดสินอีกครั้ง ผู้ใดเป็นฝ่ายรวบรวมได้ครบก่อน ผู้นั้นก็จะได้ขึ้นครองตำแหน่งเจ้าบ้านสกุลหลิว มาเฟียใหญ่แห่งฮ่องกง
ตระกูลเฉินที่เคร่งครัดเรื่องความเป็นกลางไม่เข้าใครออกใคร ซ้ำยังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้นำรุ่นก่อนที่เพิ่งตายไป จะรับงานได้อย่างไร!
"ฉันช่วยคุณไม่ได้..." เขาว่าเสียงเบาหวิว รู้สึกเหมือนชีวิตตัวเองกำลังจะหลุดลอยเมื่อเริ่มปะติดปะต่อเรื่องได้ว่าชายฝรั่งพ่นควันบุหรี่คือใคร "ไม่มีวันช่วยคุณได้... ถ้าจะฆ่า ก็ฆ่าเถอะ"
จะใครเสียอีก… นอกเสียจากทายาทสายเลือดหลักตัวจริงเสียงจริงที่จะกลับมาทวงตำแหน่งเจ้าบ้านสกุลหลิวคืน!
ปฏิกิริยาของอีกฝ่ายไม่ผิดคาดไปจากที่เขาคิดเลย มาเฟียลูกครึ่งไม่อยากจะเล่าถึงสถานการณ์ภายในให้คนนอกรับรู้เลยแม้แต่น้อย
แต่ใครไม่เป็นเขา ก็คงไม่รู้หรอกว่าสถานการณ์ตอนนี้มันย่ำแย่ขนาดไหน
อิทธิพลในเกาะฮ่องกงกำลังระส่ำระส่ายเพราะคนในบ้านทะเลาะแย่งอำนาจกัน ยังไม่นับพวกเดนตายฉวยโอกาสที่พร้อมจะทำอะไรชั่วช้าเพื่อล้มล้างสายเลือดหลักที่เหลือเพียงน้อยนิดให้สิ้นซาก
"ถ้าคุณเห็นว่าสถานการณ์ภายนอกย่ำแย่ ภายในแย่ยิ่งกว่านั้นหลายเท่า..." เขาไม่ได้ลงทุนบินจากอิตาลีมาเพื่อรับความล้มเหลว...
"ผมไม่ชอบเสียเวลานานโดยเปล่าประโยชน์หรอกนะ มิสเตอร์ซิงเฉิง..."
"ถ้าคุณปฏิเสธ ก็เท่ากับคุณกำลังจะทำให้อีกหลายคนต้องตายไปโดยเปล่าประโยชน์ และแน่นอนความสัมพันธ์อันดีระหว่างท่านผู้นำรุ่นก่อนอาจจะต้องจบลง เพราะผมไม่สามารถการันตีได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อจากนี้...."
ความจริงเขาไม่อยากบีบให้ใครร่วมงานโดยไม่เต็มใจ แต่แลกกับหลายชีวิตที่จะไม่ต้องตายอย่างสูญเปล่าบนแผ่นดินฮ่องกง
เขายอมเดิมพันทุกอย่างที่มี...
"แล้วถ้าฉันไม่ทำ..?" ซิงเฉิงเลิกคิ้ว ศึกชิงตำแหน่งผู้นำ เขาเองก็รู้ดีว่าน่ากลัวแค่ไหน ตาของเขาฆ่ามากี่ชีวิต ฆ่าพี่น้องมากเท่าไร รูปถ่ายเก่าในบ้านใหญ่ กับจำนวนคนที่เหลือก็บอกได้ชัดเจน
คนตรงหน้าไม่มีสิทธิ์บังคับใครเพื่อช่วยตัวเอง!
"ผมไม่รับประกันว่าตระกูลเฉินของคุณจะไม่โดนลูกหลงจากเหตุการณ์นี้ และเป้าหมายแรกที่พวกเขาจะพุ่งไปคือ อู่หยาง ว่าที่ผู้นำคนปัจจุบัน ..." นัยน์ตีสีสวยเหมือนพื้นน้ำทะเลสงบนิ่งราบเรียบ
"ถ้าคุณคิดว่าคนอื่นยอมเจรจาแบบผม ก็คิดง่ายไปหน่อย...คุณกับพี่ชายน่าจะรู้ดีว่า ‘คนอื่น’ ที่มีสิทธิชิงตำแหน่งเดียวกับผมสามารถทำอะไรได้บ้าง...." เขี่ยขี้บุหรี่ลงถาดอย่างเอื่อยเฉื่อยดูไม่สนใจ แต่คำพูดกลับตรงกันข้าม
"ลำพังแค่พี่ชายคุณคงรับมือไม่หมด แล้วคนพวกนั้นไม่ได้สนใจความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลหรอก....พวกเขาสนใจแค่ผลประโยชน์ของตนเอง..."
ถ้าการค้า การขนส่งของฮ่องกงต้องระส่ำระส่าย ไม่ใช่แค่ฮ่องกงเท่านั้น แต่ฝั่งมาเก๊ากับเกาลูนย่อมจะเสียสมดุลไปด้วย
เป็นกลียุคขนาดย่อมๆ....
ที่แม้แต่คนอยู่สุดปลายหรือแทบจะไม่เกี่ยวกันเลยอาจจะต้องโดนหางเลขไปด้วย
โดยเฉพาะตระกูลเฉินที่รู้เรื่องเจ็ดสัญลักษณ์ พวกเขาจะโดนไล่ล่าอย่างไม่ลดละ
ซิงเฉิงได้ฟังคำ ก็ไม่คิดว่าอู่หยางจะไม่คิดถึงจุดนี้ เขารู้ดีว่าพี่รอบคอบ จะตัดสินใจอะไรสักอย่าง ย่อมต้องขบคิดมามากแล้ว วิลเลียม หลิวคิดจะทำการอะไร มีหรือที่เฉินอู่หยางจะไม่คาดไว้ก่อน
ทั้งบุญคุณที่ผู้เป็นพี่มีให้เขา ก็ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย
"ถ้าอย่างนั้นคนตัดสินใจก็คือเกอ ไม่ใช่ฉัน ฉันจะช่วยคุณก็ต่อเมื่อไม่ไปขัดกับการตัดสินใจของเกอ" ซิงเฉิงว่า สลับขาไขว่ห้าง "เอาอย่างนี้ คุณก็คิดเสียแล้วกันว่าเกอให้คุณยืมตัวฉันมา คุณจะสั่งฉันทำอะไรก็ได้ตามที่คุณต้องการ แต่ต้องเป็นไปภายใต้การตัดสินใจของเขา"
ชายหนุ่มยกยิ้มมุมปากอย่างถูกใจ แต่ก็เพียงแค่แวบเดียวเท่านั้น ก่อนใบหน้าจะกลับมานิ่งเรียบดังเดิม
"ผมยอมรับข้อตกลง..." แน่นอนว่ามันดีกว่าไม่ได้อะไรเลย... อย่างน้อยตัวประกันคนนี้ ก็จะทำให้เขาถือไพ่เหนือกว่าผู้ท้าชิงรายอื่นๆ
คนตัวสูงลุกขึ้นจากโซฟา เขาเดินไปด้านหลังของซิงเฉิง มือบรรจงไขกุญแจ ขณะที่ใบหน้าเลื่อนลงมากระซิบที่ข้างหูของคนที่ตัวเล็กกว่า
"ลอเรนซ์ เอสเต้ ดีล..." จากนั้นจึงยืดตัวยืนตรงเช่นเดิม
...ลอเรนซ์ เอสเต้… ซิงเฉิงจดจำชื่อนั้นไว้ในหัว ตระกูลเอสเต้ คือตระกูลผู้นำกลุ่มมาเฟียซิซิลีจริง ๆ
ชายหนุ่มดึงมือมาข้างหน้า รู้สึกแขนปวดล้าเล็กน้อย เขาเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย ไม่ค่อยเข้าใจท่าทางนิ่งสงบนั้นนัก แต่ก็ไม่โง่เขลาพอจะหาทางทำร้ายหรือหลบหนี เพียงแค่นั่งนิ่งเงยหน้ามองเท่านั้น
ก๊อกๆ จังหวะเดียวกันนั้นเสียงเคาะประตูจากด้านนอกดังขึ้น เรียกความสนใจจากลอเรนซ์ไป
"เข้ามาได้..." เสียงทุ้มนุ่มน่าฟังแต่ทรงอำนาจเอ่ยตอบ
"ขออภัยครับนายท่าน..." เป็นอัลเบอร์โต้ที่เปิดเข้ามา ชายสูงวัยค้อมตัวให้อย่างนอบน้อม
"ที่พักของนายท่านพร้อมแล้วขอรับ ...."
"ไปรอผมที่รถ อัลเบอร์โต้..." เอ่ยพลางหันไปมองซิงเฉิงที่มองมาที่เขา
"ขอรับนายท่าน..." สิ้นประโยคอัลเบอร์โต้รีบเดินจากไปอย่างรวดเร็ว รวมทั้งกิลโดที่เดิมยืนอยู่หน้าประตูด้วย
"ผมหวังว่าคนตระกูลเฉินคงมีสัจจะมากพอที่จะรักษาคำพูด.." พูดจบจึงเดินไปจับแขนขวาซิงเฉิงให้ลุกขึ้นยืนเป็นสัญญาณบอกว่าให้เดินตามเขาไปที่รถและห้ามคิดหนี
เฉินซิงเฉิงไม่ว่าอะไร ยอมเดินตามไปโดยง่ายไม่ขัดขืน ท่าทีสบายใจเหมือนเดินไปขึ้นรถตัวเอง สร้างความหมั่นไส้ให้ลูกน้องของลอเรนซ์ยิ่งนัก
ลอเรนซ์เดินมาถึงบริเวณหน้าโรงแรม มีรถยนต์จอดอยู่สองคัน คันหน้าเป็นรถโรลซลอยด์สีดำมันปลาบ อัลเบอร์โต้เปิดประตูคอยอยู่ก่อนแล้ว
ซิงเฉิงขึ้นรถไปเป็นคนแรก ตามด้วยลอเรนซ์ จากนั้นอัลเบอร์โต้จึงปิดประตู แล้วไปนั่งข้างคนขับซึ่งคือกิลโด ในขณะที่ลูกน้องที่เหลือขึ้นรถเบนซ์คันหลัง แล้วขบวนรถทั้งหมดจึงเคลื่อนออกไป....
ตัวรถถูกแบ่งออกเป็นสองตอน ด้านหลังนั่งได้สองคนเช่นเดียวกับรถทั่วไป จะต่างกันตรงมีฉากกั้นปิดเพื่อความเป็นส่วนตัวทำให้ บรรยากาศภายในรถเงียบเป็นเป่าสาก สิ่งเดียวที่ทำให้ลอเรนซ์รู้สึกนั่งแล้วแปลกๆคนเป็นสายตาของซิงเฉิงที่จ้องเขาเป็นระยะๆ
"มีอะไรจะถามผมหรือไงครับ คุณซิงเฉิง..."
"เปล่า" ซิงเฉิงตอบ มองออกนอกกระจกรถติดฟิล์มดำ ทิวทัศน์ภายนอกหม่นแสงลง
เขาไม่เข้าใจว่าลอเรนซ์ เอสเต้ต้องการตนเองไว้อีกทำไม ในเมื่อตนไม่ยินยอมทำตามคำสั่งของลอเรนซ์หากผิดไปจากการตัดสินใจของอู่หยาง และเรื่องที่เขาพอจะทำประโยชน์ให้อีกฝ่ายได้ ก็มีแค่เรื่องสัญลักษณ์นี้เท่านั้น
ตอนแรกคิดว่าจะถูกฆ่า... หรือทรมานจนกว่าจะยอมร่วมมือ ใจก็เตรียมยอมรับความตายไว้แล้วส่วนหนึ่ง คิดไม่ถึงว่านอกจากจะไม่ฆ่า ไม่ลงไม้ลงมือ ลอเรนซ์ยังลากเขาติดมาในรถคันเดียวกันด้วย
รถยนต์คันงามทั้งสองคันแล่นมาหยุดอยู่ที่หน้าอาคารสูงระฟ้าแห่งหนึ่ง ใช้เวลาเดินทางจากโรงแรมที่พวกเขาอยู่เมื่อครู่ประมาณสามสิบนาที
เมื่อรถแล่นเทียบจอดยังที่จอดรถ ลอเรนซ์เดินนำหน้าทุกคนเข้าอาคารไปขึ้นลิฟท์ ซึ่งบรรยากาศทั้งหมดเป็นไปด้วยความเงียบ
ภายในลิฟท์หรูหราสวยงาม แต่ไม่มีใครสนใจสิ่งเหล่านี้เลย ลิฟท์มาหยุดที่ชั้นเกือบบนสุดของอาคารคือประมาณชั้น 40 เมื่อประตูลิฟท์เปิดมีเพียงลอเรนซ์กับซิงเฉิงเท่านั้นที่เดินออกมายืนอยู่ตรงโถงทางเดินหน้าลิฟท์ คนที่เหลือออกไปตั้งแต่ชั้นที่ 39 แล้ว
ลอเรนซ์ไขกุญแจเปิดประตูห้องที่มีเพียงประตูเดียวทั้งชั้น เมื่อประตูห้องถูกเปิดออก
"เชิญ..." เขาหลีกทางให้ซิงเฉิงเข้าไปก่อน
สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาของผู้มาใหม่คือเพ้นท์เฮ้าส์ขนาดย่อม มันถูกตกแต่งอย่างเรียบง่ายสไตล์โมเดิร์นทั่วไป คือเน้นสีไม้ น้ำตาล เทา และดำ ตรงกลางเป็นห้องรับแขกที่มีโซฟาชุดตั้ง เดินตรงไปคือโถงที่เป็นกระจกรอบด้าน เห็นวิวทิวทัศน์ของเมืองสวยงาม ตรงกลางโถงนั้นมีแกรนด์เปียโนสีดำวางตั้งอยู่ ถัดจากโถงตรงนั้นไป ด้านขวาสักประมาณสิบกว่าก้าวเป็นบันไดขึ้นชั้นสอง ซึ่งเป็นห้องนอนกับห้องทำงาน
ถัดจากบันไดไปเป็นห้องน้ำ กับเคาน์เตอร์ครัวแบบฝรั่งขนาดย่อมเปิดโล่งที่ดูแล้วไม่เคยผ่านการใช้งานมาก่อน
"จะให้ฉันเป็นเมียเก็บ?" ซิงเฉิงหันมาถาม เลิกคิ้วหยอกล้อ
ลอเรนซ์ที่กำลังถอดเสื้อสูทตัวนอกแขวนบนราวแขวน เพื่อเตรียมให้แม่บ้านไปซักถึงกับชะงักไปแล้วหันมามองอีกฝ่าย
"หรือคุณอยาก..?" ตามน้ำไปแบบหน้านิ่งๆ
คนตระกูลเฉินเป็นพวกแปลกแบบนี้กันหมดรึไง....
เขาไม่สนใจ แค่เดินมานั่งลงแผ่บนโซฟาเพราะเหนื่อยจากการเดินทางและการเจรจามาพอสมควร
"ก็ในเมื่อฉันไม่มีประโยชน์อะไรให้แล้ว คุณจะเก็บไว้อีกทำไม" ซิงเฉิงไม่สะทกสะท้าน เขาถอดเสื้อนอกออกพาดไว้กับราวแขวน ทำเหมือนเป็นบ้านตัวเองก็ไม่ปาน "นอกจากเรื่องอย่างว่า จะให้คิดอะไรได้อีก"
ลอเรนซ์หันไปมองซิงเฉิงด้วยแววตาเรียบนิ่งเหมือนยามปกติ แต่คิ้วที่เริ่มจะผูกเป็นปมนิดๆ นั่นบ่งบอกว่าเขากำลังสงสัยอีกฝ่าย
"คุณเป็นเกย์?" คำพูดของซิงเฉิงทำไมถึงชอบวกเข้าเรื่องนี้ เขาเองก็ไม่ค่อยเข้าใจนักหรอก...
คำถามนั้นทำเอาคนแซ่เฉินสำลักอากาศ ก่อนจะระเบิดหัวเราะร่าแบบไม่สนใจสถานะตัวประกันของตัวเองสักนิดเดียว
หลังหัวเราะจนพอใจแล้วก็ปาดน้ำตาทิ้ง เฉินซิงเฉิงทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาข้างลอเรนซ์อย่างจงใจ ใบหน้าสวยยังเปื้อนยิ้มขำ
"ก็ไม่เชิง ฉันแค่ชอบคนที่อยากชอบ ไม่สนใจว่าจะเป็นชายหรือหญิง หรือ..." เขาเว้นจังหวะไปนิด "เพศอื่นๆ"
"แต่การกระทำของคุณมันชวนคิด ลอเรนซ์" ตัวประกันว่า ยกขาขึ้นมาขัดสมาธิบนโซฟานุ่ม แล้วพับคอแนบไปกับพนัก เรือนผมยาวสีดำทิ้งตัวลงเหมือนม่านน้ำตก "คุณเก็บฉันที่ไม่มีประโยชน์อะไรไว้โดยไม่บอกเหตุผล ให้ฉันเข้ามาอยู่กับคุณในห้องชุดส่วนตัวแค่สองคนทั้งที่ฉันเป็นตัวประกัน เด็กไม่บรรลุนิติภาวะก็ยังต้องคิดไปในทางนั้น" ซิงเฉิงปรายสายตาเหลือบมอง ในแววตาคู่นั้น ไม่มีคำว่าล้อเล่นซ่อนอยู่อีกแล้ว
"บอกฉันมา นายต้องการใช้ฉันในฐานะอะไรกันแน่"
"หมากตัวนึง..." ลอเรนซ์ตอบหน้าตาย อาจจะเป็นเพราะปกติเขาไม่เคยสนใจด้วยว่าเวลาเขาทำอะไรใครจะคิดอย่างไร จึงพาอีกฝ่ายเข้ามาในห้องของตนเอง เลยไม่คิดถึงเรื่องแบบนี้
เขายอมรับว่าชายตรงหน้ามีเสน่ห์ดึงดูดที่ชวนมองมากทีเดียว เรือนผมยาวสีเดียวกับเขายาวสยาย ทั้งใบหน้าสวยคมคายมีแนวโหนกและกรามดูเซ็กซี่ คนตรงหน้าจึงห่างไกลจากคำว่าหล่อแบบบุรุษเพศ ชวนให้รู้สึกสนใจอยู่ไม่น้อย...
แต่ก็แค่สนใจเพียงเพราะซิงเฉิงอาจจะต่างจากตระกูลเฉินคนอื่นๆ ที่เคยได้ยินมาด้วยกระมัง เลยดึงดูดเขาเป็นพิเศษ
"เอาคุณไว้ใกล้ตัวปลอดภัยกว่า..." ทั้งกันมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น และกันไม่ให้นายเฉินกวนประสาทนี่ไปก่อเรื่องที่ไหน ลอเรนซ์ต่อในใจ
"ปลอดภัย?" ซิงเฉิงทวนคำ หันหน้าไปมองเจ้าของบ้าน "ฉันฆ่าคุณได้นะ"
"ถ้าคิดว่าได้ก็ลองสิ...." ลอเรนซ์พ่นควันบุหรี่ออกมาอย่างไม่ยี่หระอาทรร้อนใจใดๆ
ตัวประกันหัวเราะ ไถลตัวลงนอนกับโซฟาแบบไม่เกรงอกเกรงใจเจ้าของ
"ไม่ละ ขี้เกียจ"
ชายหนุ่มมองอีกฝ่ายไถลตัวไปตามสบายนิ่งๆ
"คุณดูสบายใจ?" ประโยคสั้นห้วนๆ ดังขึ้นจากคนที่ดับบุหรี่มวนสุดท้ายของซองลงจานด้านขวามือ ปืนยังคงเหน็บอยู่กับซองหนังที่คาดอยู่ขนาบข้างลำตัวทั้งสอง
"ก็คุณไม่ทำอะไร แล้วจะให้ฉันเครียดไปทำไม" ว่าพลางพลิกตัวหาท่าที่สบายต่อต้นคอที่ถูกประทุษร้ายมาสองครั้งในวันเดียว "ถือซะว่ามาพักร้อนก็ไม่เลว เราอยู่ที่ไหน ฮ่องกงใช่ไหม" เขารอคำตอบด้วยตาวับวาว
"ถ้าใช่ พาไปชอปปิ้งหน่อยสิ!"
ลอเรนซ์สาบานว่าตั้งแต่เกิดมา เขาเคยคิดว่าตัวเองมีนิสัยประหลาดไม่เหมือนคนอื่น แต่เฉินซิงเฉิงกลับใจเย็นจนทำให้เขาดูปกติไปเลยทีเดียว
น่าประหลาด....
ท่าทางสบายๆ ของซิงเฉิงทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายไปด้วย
ใบหน้าของลอเรนซ์แม้จะดูนิ่ง แต่ถือว่าผ่อนคลายมากขึ้น คิ้วของเขาไม่ขมวดเป็นปมแล้ว
"อืม… แต่คุณแน่ใจเหรอว่าอยากเดินซื้อของในสถานการณ์แบบนี้" นี่ลืมไปหรือเปล่าว่าโดนพามาฮ่องกงทำไม
"ก็สถานการณ์แบบนี้แหละ" คุณชายสายรองลุกขึ้นนั่ง สีหน้าดูเคร่งเครียดขึ้นมา "คุณคงไม่ลืมหรอกใช่ไหมว่าจับฉันมาแบบไม่ให้เวลาเตรียมตัว เสื้อผ้าสักชิ้นก็ไม่ได้หยิบ ไม่ให้ซื้อตอนนี้ จะซื้อตอนไหน"
พูดแล้วก็ถอนหายใจ ให้ใส่ชุดของอีกฝ่าย แม้คิดว่าไม่ค่อยพอดีก็คงดีกว่าไม่มีอะไรใส่ แต่ถ้าจะให้ใช้ร่วมกันกระทั่งชั้นใน เขาคงรู้สึกอยากเอาหัวโขกกำแพงตาย
"ไปเหอะ ไม่ตายหรอก เชื่อฉัน"
ลอเรนซ์เลิกคิ้วเล็กน้อย พลางตอบไปว่า "พรุ่งนี้ตอนบ่ายโมงกิลโดจะพาคุณไป ส่วนตอนเช้าเราจะคุยถึงสิ่งที่ต้องทำ" ร่างสูงลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินหายไปบนชั้นสองแล้วกับลงมาพร้อมกับเสื้อชุดนอนสีน้ำเงินเข้มที่เป็นเสื้อแขนยาวกับกางเกงเข้าชุดกันชุดหนึ่ง
"ชุดนี้ยังไม่ได้ใส่ คุณเอาไปใส่ก่อนแล้วกัน..." มือส่งชุดให้ซิงเฉิง
เขารับชุดมา แม้รู้ว่าตนไม่มีสิทธิ์มีปากเสียงมากนัก แต่ก็อดต่อไม่ได้ "พรุ่งนี้เช้าเอาอีกชุดนะ"
"อืม" ลอเรนซ์เอ่ยเรียบๆ ชี้ไปทางห้องน้ำ "ห้องน้ำอยู่ตรงนั้น ถ้าคุณอยากอาบน้ำ ของใช้มีวางไว้อยู่แล้ว หยิบใช้ได้เลย"
ซิงเฉิงดูอารมณ์ดีขึ้นกว่าเดิม "ทำไมเราไม่คุยสิ่งที่ต้องทำกันคืนนี้เลยล่ะ" เขาเดินไปทางห้องน้ำ พูดไปพลาง ถอดเสื้อไปพลาง "ฉันจะได้ตัดสินใจเลยว่าคืนนี้ควรจะฆ่าคุณแล้วหนีกลับ หรือจะยอมช่วยคุณต่อดี"
ลอเรนซ์แค่นหัวเราะออกมาเล็กน้อย เดินตามคนปากดีมายืนพิงเคาร์เตอร์บาร์ใกล้ห้องน้ำ พลางรินวิสกี้ใส่แก้ว
"เพราะผมคิดว่าบางเรื่องคุณไม่ควรจะรู้มากเกินไป คุณซิงเฉิง..." มือหนายกแก้ววิสกี้ขึ้นดื่ม พลางเอนตัวพิงเคานเตอร์มองอีกฝ่าย "มีใครบอกคุณหรือเปล่าว่า ไม่ควรถอดเสื้อผ้าต่อหน้าคนอื่นน่ะ..." ลอเรนซ์เสมองที่แก้ว หมุนมันเล่นช้าๆ
"จะรู้คืนนี้หรือรู้พรุ่งนี้ คุณให้ฉันรู้เท่าไร ฉันก็รู้ได้เท่านั้น" ตัวประกันหยุดหน้าเคาน์เคอร์บาร์เช่นกัน กระดุมเสื้อเชิ้ตถูกปลดออกหมดแล้ว เผยให้เห็นโครงร่างโปร่งกระชับภายใต้ ชายหนุ่มเท้าแขนกับเคาน์เตอร์ ยื่นตัวไปกระซิบ
"อีกอย่าง แค่ถอดเสื้อ ไม่เห็นเป็นอะไร ก็ผู้ชายด้วยกัน" เสียงนุ่มว่าแผ่วเบา ก่อนที่ริมฝีปากอุ่นจะเคลื่อนเข้าไปใกล้หูของลอเรนซ์อย่างจงใจหยอกเย้าตามประสาคนเจ้าสำราญ "หรือจริงๆ แล้วคุณคิดอะไร เป็นเกย์ก็ยอมรับมาเถอะว่าเป็น"
มาเฟียลูกครึ่งยิ้มมุมปากอย่างถูกใจ นานแล้วที่ไม่มีคนกล้าพูดอะไรตรงๆ แบบนี้กับเขา ชายหนุ่มหันหน้าไปหาคนมาคลอเคลีย
"ผมไม่สนหรอกว่าเพศอะไร… ถ้าผมสนใจ ผมจะทำแบบนี้" สิ้นประโยค ลอเรนซ์ก็รั้งตัวคนปากดีเข้ามา ก้มลงบดขยี้มอบรสจูบเร่าร้อนให้อย่างไม่อาย
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in