Boredom (20171228)
Frank Castle & Billy Russo สิ่งแรกที่แฟรงก์สังเกตได้เมื่อเรามาเจอกันที่จุดนัดพบประจำคือสีหน้าของบิลลี่เหมือนเจ้าตัวกำลังจะตายในอีกสิบวินาที ขณะเดินไปก็เตะฝุ่นมองฟ้าไปเรื่อย พึมพำแต่คำว่า
‘เบื่อ’ ซ้ำไปซ้ำมาอย่างกับว่าถ้าได้พูดออกมาแล้วจะรู้สึกน้อยลง ดูหงุดหงิดมากเป็นพิเศษ แฟรงก์นึกสงสัย กุญแจโลหะที่เก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อแจ็กเก็ตด้านขวาเย็นจัดเพราะอากาศ เขากำมันไว้ แล้วยื่นไปให้คนข้างตัวเมื่อเราพากันมาถึงรถ รถยนต์ที่ไม่ได้หรูหราอะไรแต่ก็ยังสภาพดี มีช่องให้ใส่เทปฟังเพลงวงโปรด พ่อของเขาเพิ่งอนุมัติให้ซื้อหลังจากที่แฟรงก์เก็บเงินได้มากพอ มันช่วยอำนวยความสะดวกให้พอสมควร แต่ก็ต้องการความรับผิดชอบในการดูแลมากพอกัน
“ลองขับมั้ย” และแฟรงก์กำลังเอามันมาเสี่ยง
บิลลี่ผงะไปหน่อย เลิกคิ้ว “ฉันขับไม่เป็น” แต่ดวงตากลับแสดงความสนอกสนใจ ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันอย่างชั่งใจ
แฟรงก์สั่นพวงกุญแจในมือ ยืนยันข้อเสนอของตัวเอง “ฉันจะสอน”
บิลลี่รับมันไปจนได้ และก่อนจะหลบเข้าไปข้างในรถตรงตำแหน่งคนขับ แฟรงก์เห็นว่าบนใบหน้านั้นมีรอยยิ้มวาดประดับไว้
ปกติแล้วเป็นเพื่อน แต่บางทีก็เหมือนพี่ แล้วก็พ่อ พ่อที่ไม่เคยมี บิลลี่เคยว่าไว้ครั้งหนึ่งในปาร์ตี้คริสต์มาสปีไหนสักปีแล้วเดินมากอดแน่น แฟรงก์เป็นลูกคนเดียวและไม่ใช่ลูกชายที่ดีเท่าไหร่ แต่เขาคิดว่าเขาสามารถเป็นสิ่งที่บิลลี่ต้องการได้ ไม่เคยก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวหรือตีกรอบ เพียงแค่อยู่ข้าง ๆ เพื่อรับฟัง ให้คำปรึกษา ไม่เคยจูงใจว่าควรจะต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ เขาเสนอ และเงียบไปโดยดีหากว่าอีกฝ่ายแย้งมาด้วยเหตุผลของตนเอง
บิลลี่หัวไว แต่การขับรถไม่ใช่สิ่งที่จะเรียนรู้ จดจำ และนำไปปฏิบัติได้อย่างคล่องแคล่วภายในเวลาสองสามชั่วโมง แค่ออกจากเขตมหาวิทยาลัยก็ทำเอาใจหายใจคว่ำไปหลายที ยังดีที่ผ่านมันมาได้อย่างไร้รอยขีดข่วน หรือกองเลือด บิลลี่ใจเย็นลง ใจเย็นและสงบลงยิ่งกว่าปกติเวลาที่แฟรงก์คุยกับคนอื่น ทิ้งให้บิลลี่คิดอะไรสักอย่างคนเดียว บิลลี่ตั้งใจฟังเหมือนเขาเป็นอาจารย์เล็คเชอร์ แฟรงก์บ่นอยู่บ่อย ๆ ว่าเจ้านี่พูดมากและเสียงดัง แต่พอเงียบและจริงจังขนาดนี้ก็ไม่ค่อยชินเท่าไหร่ มือของบิลลี่จับพวงมาลัยแน่น เกร็งน่าดู ตอนเขาขับวันแรกก็แบบนี้เหมือนกัน แฟรงก์นึก มองออกไปนอกหน้าต่างหลังจากคอยมองทางสลับกับบิลลี่มาพักใหญ่ ตอนนี้รถติดไฟแดง
“แฟรงกี้”
เจ้าของชื่อหันขวับทันที “ไง”
“ถ้าฉันขับชน…?”
แฟรงก์หัวเราะ แล้วกลับมาใช้เสียงจริงจัง “ฉันจะจับนายไปให้แม่จิกหัวใช้ ทรมานจนนายนึกอยากตายเลยล่ะ”
บิลลี่หัวเราะลั่น แล้วก็กัดปากตัวเอง เมื่อไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียว เหยียบคลัทช์แล้วเปลี่ยนเกียร์ ไหล่สั่นเป็นระยะ กัดปากตัวเองแรงขึ้นอีก สุดท้ายก็เปลี่ยนตำแหน่งเท้าจากคันเร่งไปที่เบรค
“นายตลกชะมัด”
“ไม่ดูตัวเอง” หัวเราะจนตัวโยนแล้ว
“ให้ตาย นายรู้จักฉันดีเกินไปแล้วแฟรงกี้”
ที่เขาคิดว่าบิลจะต้องเบื่อตายกับงานบ้านและครัวนั้นถูกต้องแล้ว นี่คือความหมายของสิ่งที่บิลลี่กล่าวตอบมา แฟรงก์ยักคิ้วกวน ก่อนพยักเพยิดให้อีกคนออกรถไปต่อ แต่บิลก็ยังคงนิ่ง แก้มซ้ายแนบอยู่กับพวงมาลัย
“นายมาขับได้แล้ว”
“อ้าว”
“ฉันเกร็งจนมือแข็งไปหมดแล้ว พอเท่านี้ก่อนฉันจะแพนิกดีกว่า” บิลว่าด้วยรอยยิ้มกว้าง แฟรงก์ลงจากรถ เดินอ้อมไปที่อีกฝั่ง เปิดประตูให้คนที่ยังอยู่ด้านในเดินลงมา บิลลี่แกะตัวเองออกจากพวงมาลัยแล้ว ยกมือขึ้นเสยผมสางจัดให้เรียบร้อยระหว่างก้าวเท้าพาตัวเองกลับไปประจำที่นั่งเดิม
แฟรงก์ขับรถวกกลับเข้าสู่ถนนสายที่จะพาเราไปยังที่พัก ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยเท่าไหร่ หลังจากนั้นพักหนึ่งบิลลี่เปรยขึ้นมาว่าหิว เราคุยกันว่าจะกินอะไร อะไรก็ได้ที่หาได้ง่าย ๆ ไม่ต้องรอคนนานและอิ่ม คำตอบแบบเดิม ๆ ไม่ต้องเลือกหาร้านใหม่ให้ยากเลย
“ฉันชอบตอนที่นายเป็นคนขับมากกว่า” จู่ ๆบิลลี่ก็โพล่งขึ้นตอนที่แฟรงก์ดับเครื่องยนต์ แล้วเปิดประตูเดินนำเข้าร้านไปก่อน แฟรงก์ดึงกุญแจออก ปิดประตูรถ เขาก็ชอบตอนที่ตัวเองเป็นคนขับ แต่บิลก็ไม่แย่สักหน่อย สักวันก็จะทำมันได้ดีเหมือนกัน
.
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in