เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
หวนอดีตกับเพลงของ The Carpentersdead dog's eye
Ticket to ride กับ วัฒนธรรมการโดยสาร
  • หากมีใครสักคนที่กล้ายืนยันว่าตนเกิดทันฟังอัลบั้มแรกของ The Carpenters ก็แน่ใจได้เลยว่าเขาผู้นั้นคงใช้ชีวิตมาไม่ต่ำกว่า40ปีแล้ว ซึ่งไม่ใช่ข้าพเจ้าแน่นอน เพราะในส่วนของข้าพเจ้านั้นต้องพึ่งบารมีของเทคโนโลยีอย่างเทป ซีดี ถึงจะมีโอกาสได้ฟังเสียงหวานๆใสๆของคาเรน พอพูดถึงคาเรน ก็ต้องขออนุญาติ  ป้อนข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับ The Carpenters ให้ท่านผู้อ่านได้ทราบกันอีกสักครั้งหนึ่ง The Carpenter เริ่มก่อตั้งโดยสองพี่น้อง ริชาร์ด และ คาเรน คาเพนเตอร์ ซึ่งเพลงของพวกเขาก็โด่งดังข้ามน้ำข้ามทะเลจากอเมริกามาถึงไทยแลนด์ จึงไม่แปลกที่จะมี The Carpenters Thailand Fanclub อยู่ไม่น้อย เพลงดังก็มีอยู่มากมาย ซึ่งสำหรับตัวข้าพเจ้าพอได้ฟังเพลงเก่าๆของ The Carpenters เหมือนกับว่ามันพาเราหวนอดีตดีพิลึก อาจเนื่องมาจาก element บางอย่างที่ถูกพูดถึงในเพลง มันจางลงแล้วในปัจจุบัน
    ก่อนหน้านี้ ข้าพเจ้าเคยเขียนถึงเพลง Yesterday once more และ Please Mr.postman ไปแล้ว และบทเพลงในลำดับที่3ที่จะนำมาเขียน คือเพลงที่มีชื่อว่า Ticket to ride ซึ่งเพลงนี้อันที่จริงไม่ใช่ของแท้ดั้งเดิมของ The Carpenters แต่เป็นเพลงของคณะดนตรีในตำนานอย่าง The Beatles (อีกแล้ว) ซึ่งป้วนเปี้ยนไปกับเขาเสียเกือบทุกเพลง เพลงนี้เขียนโดย John Lennon และ Paul McCartney ถูกปล่อยออกมาในนามของอัลบั้ม help เมื่อปี 1965 ส่วน The Carpenters ของเรา นำเพลงนี้มา cover และปล่อยออกมาในปี 1969 ซึ่งความนิยมของเพลงในเวอร์ชั่นนี้ก็เรียกได้ว่าไม่แพ้ต้นฉบับเลยทีเดียว
    เนื้อหาของเพลงพูดถึงคนรักที่กำลังจะจากไป แล้วจากไปอย่างไร มีท่อนหนึ่งร้องว่า He 's got ticket to ride แปลว่าเขาได้ตั๋วมา น่าจะเป็นตั๋วรถไฟ แสดงว่าคงไปไกลน่าดู สมัยเด็กๆข้าพเจ้าเคยรู้จักกับรถไฟแบบห่างๆ เนื่องด้วยเป็นคนกรุงเทพฯแต่กำเนิด รู้เพียงว่าเป็นยานพาหนะที่ใช้ขนส่งคนจำนวนมากไปสู่ที่ไกลๆ เน้นคำว่าไกล เพราะเชื่ออย่างนั้นจริงๆ ถ้าใกล้ๆคงขับรถกันไป ตอน5ขวบข้าพเจ้าคิดในใจเช่นนั้น ประกอบกับเคยได้ยินญาติผู้ใหญ่เล่าว่าเขานั่งรถไฟมากรุงเทพฯ ชัวร์เลย ใกล้ๆไม่ต้องไกลๆเท่านั้นถึงจะนั่งรถไฟ แน่นอนข้าพเจ้าเกิดไม่ทันรถราง ในสมัยที่ข้าพเจ้าลืมตาดูโลก วัฒธรรมการเดินทางภายในประเทศของเราเป็นไปค่อนข้างสะดวกสบายแล้ว มีรถยนตร์ส่วนตัวขับทั่วราชอาณาจักร น้ำมันก็ไม่แพงเหมือนสมัยนี้ ไหนจะมีการโดยสารสาธารณะเรือเมล์รถเมล์ แท็กซี่ จนมาได้ทำความรู้จักกับรถไฟจริงๆจังๆก็ตอนเรียนมหาวิทยาลัย ทำให้ทัศนคติการนั่งรถไฟข้าพเจ้าตอน18ปี เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เหตุผลเพราะ ข้าพเจ้านั่งรถไฟไปเรียน เป็นรถไฟชั้น3 ยาวหลายโบกี้ ที่เห็นกันอยู่บ่อยๆของการรถไฟไทย มีทั้งนั่งทั้งยืนไม่ต่างจากรถเมล์เท่าไร วนอยู่ในกรุงเทพนี่แหละ ใช้เวลาไม่เกิน15นาทีก็ถึงที่หมาย ทั้งๆที่ถ้าขับรถคงกินเวลาไปเปล่าๆสัก30นาที รู้สึกประทับใจทันทีกับผิวสัมผัสขณะนั่งและความโขยกเขยก ผนวกกับได้เห็นวิถีชีวิตบนรถไฟ ได้เห็นแม่ค้าเดินขายน้ำขายผลไม้งดอง ได้เห็นเด็กเล็กนอนหลับขาพาดผนังพิง ได้เห็นคนหิ้วชะลอมที่เต็มไปด้วยข้าวของ ได้กลิ่นปลาเค็มลอยคลุ้ง ยิ่งช่วงนั้นมีนโยบายออกมาให้นั่งรถไฟฟรี เสรีภาพของประชาชนจึงมากขึ้นทันที แม้เป็นระยะทางสั้นๆแต่ก็ใช้บริการเรื่อยมาเกือบปีเห็นจะได้ จนกระทั่งพักหลังรถไฟไทยเริ่มเกเร มาช้าบ้างเร็วบ้าง ตามประสา เลยขอเพล์เซฟไว้ก่อน ยุติการใช้บริการแต่นั้นเป็นต้นมา และพ่วงยาวมาถึงทุกวันนี้ ปัจจุบันข้าพเจ้าหันไปใช้บริการรถไฟฟ้ายอมรับว่ามันสะดวกกว่า แอร์เย็นกว่า ตรงเวลากว่าและคนเยอะกว่าในบางเวลา (แต่ถึงแม้ว่าจะเติมคำว่า ฟ้า ต่อท้าย เพื่อให้เกิดผลต่าง แต่ทุกครั้งที่นั่งรถไฟฟ้าก็ยังอุตส่าหวนกลับไปคิดถึงรถไฟแบบเดิมๆจนได้)
    สุดท้ายนี้ข้าพเจ้ากลับรู้สึกว่าการโดยสารมันเริ่มตอบสนองเราในระดับจุลภาคเข้าไปเรื่อยๆ เป้าหมายคือสบายที่สุดเท่าที่จะสบายได้ โอเค จะเข้าซอยลึกๆใช่ไหม อยู่ๆก็กำเนิดมอเตอร์ไซด์วินขึ้นมา โอเค อยากขึ้นทางด่วนใช่ไหม อยู่ๆรถตู้ก็กำเนิดขึ้นมา หรือจะเป็นพวกรถสองแถวอะไรแบบนั้นก็เข้ามาช่วยชีวิตเราไว้ในเวลาที่เร่งรีบทั้งนั้น ข้าพเจ้าจึงรู้สึกว่าวัฒนธรรมนี้มันช่างพัฒนาไปอย่างไม่หยุดหย่อน แต่ไม่ใช่ในเชิง นวัตกรรมเหมือนอย่าง NASA เขา แต่เป็นในเชิงที่รู้ใจคนไทยอย่างเรามากกว่า

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in