เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
หวนอดีตกับเพลงของ The Carpentersdead dog's eye
Yesterday once more กับ วัฒนธรรมการฟังเพลง
  • ยุคสมัยที่เปลี่ยนไป พอรู้ตัวอีกทีเราก็คิดถึงอะไรเก่าๆเสียแล้ว ข้าพเจ้าเป็นคนหนึ่งที่มีวัฒนธรรมการฟังเพลงที่ค่อนข้างแปลกประหลาด เพลงจากตะวันตกเริ่มมีอิทธิพลกับข้าพเจ้าอย่างจังตอนเรียนประถมปลายๆจนถึงปัจจุบัน นั่นก็เป็นทศวรรษมาแล้ว ฟังดูนานพอควร แต่ข้าพเจ้ากลับเพิ่งเคยฟังเพลงของ the carpenters เมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้านี้
    สำหรับประวัติพอสังเขป the carpenters เป็นวง กึ่งไฟล์ค ป๊อป จาก แคลิฟอร์เนีย ประกอบด้วย สองพี่น้องตระกูลคาเพนเตอร์ คาเรน และ ริชาร์ด เพลงของ the carpenters เผยแพร่มาอย่างน้อยก็ 40 ปีเข้าให้แล้ว จึงเป็นไปได้ว่าเพลงของพวกเขาเคยผ่านโสตประสาทของท่านผู้อ่านมาบ้าง เช่นเดียวกับข้าพเจ้าที่จำไม่ได้แล้วว่าฟังครั้งแรกที่ไหน เมื่อไร แต่มาหลงรักวงนี้ก็ตอนที่ได้ฟังเพลง top of the world อีกครั้งอย่างจงใจ ซึ่งตอนนั้นมีเหตุที่ต้องฟังอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เสียงของคาเรนเพราะมาก ข้าพเจ้าคิดในใจ ข้อดีคือเป็นเพลงป๊อปที่ป๊อปจริงๆ คือฟังง่ายและจำง่าย การที่คนฮัมเมโลดี้ได้โดยไม่รู้เนื้อเพลงถือเป็นเรื่อง success มากสำหรับผู้แต่ง เพลงจบ โอเค ชอบเลย การตัดสินใจเหมือนตอนเลือกตัวละครในเกมสตรีทไฟท์เตอร์ คือเป็นแว๊ปแรกล้วนๆ โชคดีที่ยุคนี้อินเตอร์เน็ตเข้าถึงประชาชนยิ่งกว่าตำรวจ ข้าพเจ้าก็เลยมีโอกาสได้ฟังเสียงของคาเรนซ้ำไปซ้ำมาจากลำโพงคอมพิวเตอร์ จากtop of the world สู่ yesterday once more ตามด้วย rainy day and monday และ close to you ยิ่งเพลงหลังได้ฟังในการ์ตูนเรื่อง simpson the movie ฉากที่โฮมเมอร์เดินทางกลับไปหาแฟน อือหือ ทุกอย่างสวยงามไปหมด ตัวเหลืองๆหัวโตๆของซิมสันแฟมิลี่มันกลายเป็นการ์ตูน ghibi studio ขึ้นมาดื้อๆ เรียกได้ว่าจังหวะนั้นทำให้เข้าใจลึกซึ้งถึงสรรพคุณของ Ost.เลยทีเดียว
    เพลงของ the carpenter ส่วนใหญ่ในความรู้สึกข้าพเจ้า ไม่ใช่เพลงที่แต่งซับซ้อน หรือ ปรัชญาซีเรียสอะไรขนาดนั้น แต่กลับใช้เครื่องมือที่ทำให้รู้สึกโหยหาอดีต ซึ่งก็เข้ากันดีกับเสียงหวานๆของ คาเรน เนื้อเพลงพูดถึงความรักเสียส่วนใหญ่ หากใครเคยฟังก็จะพออนุมานได้ อย่างท่อนหนึ่งในเพลง yesterday once more ที่ขึ้นว่า when I was young I listen to the radio หากแต่สมัยนี้การรอฟังเพลงจาก radio ถือเป็นเรื่องหายากมาก ยิ่งในสังคมปัจจุบัน ช่องทางสื่อมีเยอะ จนการรอคอยเพลงโปรดจากวิทยุนี่แทบจะไม่เกิดขึ้นแล้ว อยากฟังเพลงไหน เปิดคอมพ์ เปิดมือถือ การฟังเพลงในวิทยุจึงดูจะจริงจังน้อยลง ภาพของวิทยุเครื่องใหญ่ในหัวจึงดูเป็นสีซีเปียมากๆ แต่ก็ใช่ว่าจะหายไปทั้งหมด เพราะวิทยุยังถือเป็นแหล่งอัพเดทเพลงที่น่าเชื่อถือที่สุด
    ข้าพเจ้าเกิดไม่ทันยุคแผ่นเสียง ข้าพเจ้าโตมากับเทปคลาสเซ็ทและเครื่องเล่นวอร์กแมน ตอนประถมข้าพเจ้านอนฟังวิทยุแบบในเพลง yesterday once more เป๊ะ ฟังไปอ่านหนังสือไป เพลินสุดๆ ซึ่งพอดีกับเป็นยุคที่คลื่นวิทยุไทยคลื่นหนึ่งบูมพอดี คนฮิตกันทั่วบ้านทั่วเมือง พอโตหน่อยก็เริ่มมีลิสต์เพลงโปรด เริ่มซื้อเทปคลาสเซ็ทมากักตุน จำได้ว่ายุคนั้นไปร้านขายซีดีกับพ่อ พ่อซื้อซีดีส่วนข้าพเจ้าซื้อเทป เป็นการแยกวรรณะของการฟังอย่างชัดเจน ตอนนั้นข้าพเจ้าจะมีเครื่องเล่นวอร์กแมนเล็กๆพกติดตัวตลอดเวลา แต่แล้วแผ่น mp3ก็เข้ามาเร็วมากๆในความทรงจำของข้าพเจ้า แผ่นmp3 ถูกวางขายข้างร้านน้ำปั่นหน้าโรงเรียนอย่างโจ่งแจ้งโดยไม่สนใจต่ออาญาฟ้าดินว่า ไอ้นี่มันผิดกฎหมายชัดๆ นักเรียนก็ต่อแถวซื้อกันหน้าสลอนตามปกติ แล้วร้านmp3ก็เริ่มขยายพันธุ์อย่างรวดเร็ว ครอบคลุมบริเวณโรงเรียน จนร้านน้ำปั่นก็ต้องหันมาเอาดีขายแผ่นmp3ควบด้วย จากนั้นก็ค่อยๆกลายร่างเป็นmp3แบบที่ลอยอยู่ทั่วเครือข่ายอินเตอร์เน็ต หยิบจับง่ายขึ้น ดาวน์โหลดกันเพลงละไม่ถึงนาที เสียบสายต่อมือถือเรียบร้อย ซึ่งหากย้อนไปสักสิบปี การโหลดเพลงลงมือถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยุ่งยากสักหน่อย ต้องกดสี่เหลี่ยม ดอกจัน นู้นนี่ ส่งไปหาเจ้าของค่าย เขาถึงจะยอมปล่อยเพลงมาให้เราอย่างถูกลิขสิทธิ์ ซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่ได้สนลิขสิทธิ์สักเท่าไรเสียด้วยสิ พอมีช่องทางลักลอบก็สบายเลย คำถามก็เลยยิงกลับมาที่คุณภาพของเพลงที่เราฟัง เสำหรับเพลง4นาที mp3ไฟล์ละ 2-5 mb แต่ถ้าลองไปดูในซีดี ที่เป็นไฟล์.wav จะพบว่าไฟล์ละหลายสิบmb แผ่นหนึ่งจึงใส่ได้เต็มที่สิบกว่าเพลงเท่านั้น เรียกได้ว่าผิดกันเยอะ บางครั้งเลยรู้สึกเหมือนกับว่าคนแต่งเพลงสื่อสารกับเราได้ไม่เต็มที่ เหมือนดูงานศิลปะอยู่แล้วมีฝูงชนยืนขวางอยู่ด้านหน้า มันรับได้ไม่หมดจด ถึงกับมีคนฝรั่งเคยพูดว่าการมาของmp3 คือหายนะ แต่ถึงกระนั้นข้าพเจ้าก็ยังฟังmp3และเพลงตามยูทูปอยู่เนืองๆ อีกปัจจัยหนึ่ง ทางผู้ผลิตก็เริ่มยอมรับได้กับการมาของ mp3 จึงหันไปหารายได้ทางอื่นแทน เช่นคอนเสิร์ตหรือการออกโทรทัศน์
    ยุคสมัยเปลี่ยนไป พร้อมกับทิ้งเรื่องเก่าๆปล่อยให้หอมหวนอบอวลอยู่ในความรู้สึก ทุกครั้งที่ฟัง the Carpenter ภาพเก่าๆเหล่านั้นก็จะย้อนมา หากใครยังไม่เคยฟังก็ขอให้ลองไปฟัง แล้วอาจจะหลงรัก the carpenter พร้อมกับอุทานในใจว่า เสียงของคาเรนช่างไพเราะดีเหลือเกิน

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in