เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
[SF] Gumiho | NOMINPrimroseYellow
2
  • 2

     

     

    ต้นตระกูลที่มีชื่อเสียงของเมืองเป็นต้นแบบของครอบครัวอื่น ๆมานับพันปี หญิงสาวหลายต่อหลายคนต่างหมายปองบุตรชายตระกูลอีกันทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นคนโตนามว่า แจฮยอน ซึ่งเป็นทั้งแม่ทัพและสหายคนสนิทของพระราชา หรือจะเป็นคนรองนามว่าโดยอง แต่ทั้งสองคนที่กล่าวมายังคงไกลเกินที่สาวชาวบ้านจะเอื้อมถึง จึงเหลือบุตรคนเล็กอีกหนึ่งคนที่รูปงามไม่แพ้พี่ชายทั้งสอง

    อีเจโนผู้รักในเสียงดนตรีและมักจะเที่ยวเล่นไปตามโรงเตี๊ยมในยามค่ำคืนเสมอชื่อของเขาคือชื่อเดียวกับบรรพบุรุษผู้ที่สามารถช่วยเหลือเมืองนี้จากความชั่วร้ายของปีศาจจิ้งจอกเก้าหางได้สำเร็จพ่อและแม่คาดหวังให้ตัวเขาเก่งกาจกว่าพี่น้องอีกสองคนแต่เพราะความกดดันที่มากเกินไปเขาจึงกลายเป็นคนต่อต้านความรู้ทุกแขนงเกียจคร้าน และไม่เอาไหนเพื่อที่อย่างน้อยเขาจะได้ถูกเลิกคาดหวังเสียที

    “วันนี้นายน้อยของเจ้าไปไหนเสียล่ะ” ผู้เป็นใหญ่ในบ้านเอ่ยถามแม่นมที่เลี้ยงดูเจโนมาตั้งแต่เกิด

    “นายน้อยบอกว่าจะไปที่วัดโบราณบนเขาเจ้าค่ะ”

    “ไปทำอะไรเจ้ารู้ไหม”

    “ไม่ทราบเจ้าค่ะ” นางตอบตามจริงจึงทำให้ผู้เป็นนายไม่ติดใจซักถามต่อ เขาเดินกลับไปยังห้องนอนที่มีภรรยารออยู่ก่อนแล้ว  “ลูกชายของเจ้า”

    “ของท่านด้วยเช่นกัน”

    “เฮ้อ”

    “ท่านพี่กำลังคิดอะไรอยู่หรือเจ้าคะ”

    “เจ้าจำที่ข้าเคยเล่าให้ฟังได้ไหมว่ามีปีศาจจิ้งจอกเก้าหางถูกจองจำวิญญาณไว้ที่วัดโบราณบนยอดเขาสูง”

    “ได้สิเจ้าคะ บรรพบุรุษของตระกูลอีเป็นผู้ปักดาบศักดิ์สิทธิ์ลงไปที่กลางอกของนางปีศาจแล้วนำดาบเล่มนั้นไปไว้ที่นั่น”

    “และรอเวลาหนึ่งพันปีเพื่อชำระแค้น”

    “ท่านพี่กำลังหมายถึงสิ่งใดเจ้าคะ ข้าไม่ค่อยแน่ใจ”

    “เจโนกำลังไปที่นั่น”

    “ที่ไหนเจ้าคะ!”

    “วัดโบราณบนยอดเขา ออกไปแล้ว จะส่งคนไปตามก็คงจะถูกไล่ตะเพิดกลับมา”

    “แล้วทำไมท่านถึงได้นิ่งนอนใจเช่นนี้ หรือเพราะลูกข้าไม่เอาไหนเลยได้รับความรักน้อยกว่าแจฮยอนและโดยอง”

    “เจ้าฟังข้าก่อน ข้าแค่สังหรณ์ใจว่านี่คือชะตาฟ้าลิขิต”

    “จะเพราะเหตุใดข้าก็ไม่สน ข้าเป็นห่วงลูกหากท่านพี่ไม่สนใจข้าก็จะออกไปตามหาเอง”

    “นี่มันกี่ยามแล้วเจ้าเป็นหญิงจะออกไปตอนนี้ไม่อย่างไร”

    “ก็ข้าเป็นห่วงลูกนี่เจ้าคะ”

    “เจโนฉลาดพอที่จะเอาตัวรอดได้ และข้าไม่คิดว่าเจ้าลูกคนนี้จะถูกใครทำร้ายง่ายๆ หรอก”

    “แล้วถ้าเป็นปีศาจล่ะเจ้าคะ”

    “ก็แค่หวังว่ามันจะไม่ทำอะไรเขา”

     

    ชายหนุ่มสนุกกับการขี่ม้าขึ้นมาบนยอดเขาสูงจนลืมไปว่าพาหานะของเขาต้องการพักบ้างเขากระโดดลงมายืนบนพื้นและเลือกจูงม้าไปยังลำธารแทนแสงจันทร์ในยามค่ำคืนคือแสงนำทางเขาได้เป็นอย่างดีการไร้ผู้ติดตามคืออิสระที่เขาโหยหามาตลอดและอยากใช้ชีวิตแบบนี้ไปเรื่อย ๆจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตด้วยซ้ำ

    ตั้งแต่เขาลืมตาดูโลกมาสิ่งที่เขาได้ยินและรับรู้มาตลอดนั่นก็คือการที่มีรูปร่างและหน้าตาคล้ายคลึงกับบรรพบุรุษของตนท่านหนึ่งซึ่งพ่อของเขาก็ตั้งใจหยิบเอาชื่อของบุรุษผู้นั้นมาตั้งเป็นชื่อของเขา เขาถูกคาดหวังว่าต้องเหมือนกับเจโนคนเก่าโดยไม่มีใครเคยถามเลยสักคำว่าเขาต้องการสิ่งใด

    เจโนทิ้งตัวลงนั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ พิงศีรษะกับตัวลำต้นก่อนจะหลับตาเพื่อสูดดมเอาอากาศแสนบริสุทธิ์เข้าไปกลิ่นหอมของดอกไม้ลอยเตะจมูกจนเผลอยิ้มออกมาความหอมนั้นแม้จะเบาบางแต่กลับตราตรึงเข้าไปในหัวใจจนไม่สามารถสลัดมันให้หลุดออกไปได้

    เขาได้ยินเรื่องตำนานของวิญญาณปีศาจจิ้งจอกเก้าหางมาตั้งแต่เด็กจนโตด้วยความคะนองของจนจึงทำให้เขาตัดสินใจควบม้ามายังที่แห่งนี้เขาตัดสินผูกม้าไว้ข้างลำธารเพราะมันคงเหนื่อยล้าเกินกำลังของมันแล้วเขาเลือกเดินเท้าขึ้นไปด้านบนแทนเพราะอีกไม่ไกลนักก็จะถึงที่หมายแล้ว

     

    สายลมเอื่อยเฉื่อยในคืนเงียบสงัดชวนให้นึกถึงเหตุการณ์เมื่อพันปีก่อนหญิงสาวในชุดฮันบกสีขาวนั่งห้อยขาอยู่บนกิ่งไม้อย่างใจเย็นสายตาทอดมองไปยังคนที่กำลังเดินเข้ามาใกล้ด้วยหัวใจที่พองโต แม้จะเต็มไปด้วยความแค้นแต่นางก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่ายังคงมีความรักหลงเหลืออยู่ในภายในก้นบึ้งของหัวใจ

    ชายหนุ่มหยุดพักหน้าทางเข้าวัดด้วยความเหนื่อยหอบ เขาทิ้งตัวลงนั่งที่บันไดขั้นบนสุดก่อนจะเงยหน้ามองดวงจันทร์ที่เคลื่อนตัวมาอยู่กลางศีรษะของเขาในตอนนี้  “เจ้ามาทำอะไรที่นี่”  เจ้าอาวาสวัดเดินมาถามด้วยความสงสัย

    “ข้าหลงทาง”

    เขามองเจโนปราดเดียวก็รู้ว่านี่คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างที่เข้าใจในตอนแรก  “ถ้าเช่นนั้นก็เข้ามาข้างในเสียเถอะ”

    “ขอรับ” ชายหนุ่มเดินตามเข้าไปด้านในโดยที่หางตาเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างบนต้นไม้แต่เมื่อเพ่งมองอย่างถี่ถ้วนแล้วเขากลับไม่พบสิ่งใด

    “เจ้าเข้าไปนอนในวิหารได้ พรุ่งนี้เช้าค่อยเดินทางต่อ”  เจโนพยักหน้ารับ เจ้าอาวาสวัยชราเดินหลังค่อมกลับไปยังที่ของตนปล่อยให้ชายหนุ่มอยู่ที่แห่งนั้นเพียงลำพัง

    เขาถือวิสาสะจุดเทียนภายในนั้นเพื่อมอบแสงสว่างและความอบอุ่นให้กับร่างกายสายตาเรียวคมไล่มองรอบกายด้วยความสงสัยจนสายตาไปสะดุดเข้ากับดาบเล่มหนึ่งซึ่งถูกวางไว้บนหิ้งสูงรายล้อมไปด้วยเส้นด้ายสีแดงซึ่งมียันต์สีเหลืองแปะทับเขาเดินเข้าไปใกล้ก่อนจะเอื้อมมือไปจับดาบเล่มนั้น

    ลมแรงพัดเข้ามาภายในจนหน้าต่างและประตูกระทบกันเสียงดังแต่นั่นก็ยังไม่สามารถช่วยดึงให้ชายหนุ่มกลับมามีสติได้อีกครั้งเขาใช้มืออีกข้างดึงดาบออกจากฝัก จากนั้นไม่นานก็มีกลุ่มควันสีฟ้าล่องลอยออกมาเขาตกใจจึงทิ้งดาบเล่มนั้นลงกับพื้น

    “คนที่ขังข้าไว้คือคนเดียวกับที่ปลดปล่อยข้าสินะ”  เสียงหวานเอ่ยขึ้นจากด้านหลังเจโนหันกลับไปมองแทบจะในทันที ดวงหน้ากลมราวกับพระจันทร์เต็มดวงจ้องมองเขาด้วยความคะนึงหาเสียงอันไพเราะดังก้องภายในโสตประสาท กลิ่นหอมลอยฟุ้งไปทั่วบริเวณซึ่งเจโนจำได้ว่ามันคือกลิ่นเดียวกับที่ลำธาร  “นานมากแล้วนะที่เราไม่ได้พบกัน”

    “จะ..เจ้าเป็นใคร”

    “ข้าคือคนรักของเจ้าเมื่อหนึ่งพันปีก่อน”

     

    โปรดติดตามตอนต่อไป

    #จิ้งจอกโน่มิน

     

    เราเห็นฟีดแบคในทวิตแล้วนะคะดีใจมาก

    จะพยายามพัฒนาฝีมือการเขียนอย่างแน่นอนค่ะ

    และขอบคุณหลายๆคนที่ทักมาท้วงคำผิดเพราะบางทีเราก็ตาลาย

    รักคนอ่านนะคะ อิอิ

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in