เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Seven rooms : 7 สิ่งเร้นลับในโรงเรียนHacker Dewdie
ตอนที่ 9.5 ความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น (ตอนจบ)


  •         "แล้วหลังจากนั้น  เขาเป็นยังไงต่อครับ"
             ผมถามลุงบุญส่งในขณะที่ลุงบุญส่งกำลังคล้องกุญแจห้องน้ำ


             "เขาก็เล่าว่า เขาสำนึกตัว และพยายามจะแก้ไขตัวเอง"  ลุงบุญส่งหยุดพูดสักครู่หนึ่ง แล้วใช้มือบิดลูกกุญแจ หลังจากนั้นลุงจึงพูดต่อว่า "แต่หลังจากนั้นมันยิ่งแย่ว่าเดิมนะสิ...."


    -*-*-*-*-*-*-*-*-*-


              ในวัันที่พี่เขาตบหน้าผม ทำไมผมต้องยับยั้งชั่งใจตัวเองเอาไว้ ผมไม่ได้เคียดแค้นเรื่องที่พี่เขาหักอกผม ผมสาบานได้นะว่าผมเองก็ไม่ได้รู้สึกดีกับพี่เขาอีกต่อไปแล้ว สิ่งที่อยากเอาคืนในวันนั้น นั่นเป็นเพราะว่าพี่เขาใช้ความรุนแรงกัับผม ต่อให้เขาเป็นผู้หญิงทีี่ได้ถือว่าเป็นเพศแม่ก็ตามเถอะนะ ผมก็คงไม่ยอมหรอก ไม่ว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเริ่มลงไม้ลงมือก่อน มันก็เป็นการเปิดศึกความไม่เท่าเทียมกันทางเพศ


             เนื่องจากในวันนี้เป็นวันทีี่โรงเรียนประกาศผลการเรียน ผมเดินทางมาโรงเรียนในสภาพที่ไม่มีกระเป๋านักเรียน  ทางโรงเรียนไม่มีนโยบายการส่งจดหมายไปที่บ้านเพราะเนื่องจากมีภาระค่าใช้จ่ายมาก งบประมาณไม่เพียงพอ จึงประกาศวันที่ผลการเรียนให้นักเรียนมารับผลการเรียน 


             "พี่...คือผมต้องแยกจากกลุ่มพวกพี่" ผมกล่าวกับรุ่นพี่ทีี่ผมคุ้นเคย หลังจากทีี่ผมรัับใบประกาศผลการเรีียนเรีียบร้อยแล้ว


             นั่นไม่ใช่เรื่องที่ผมคิดด่วนกระทันหััน!!
             ผมคิดมาก่อนหน้านั้นแล้ว เพราะหลัังจากสอบวันสุดท้าย ผมรู้สึกตัวเองดีว่า ที่ผ่านมาผมทำข้อสอบไม่ได้เลย  ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ผมคิดไปคิดมาเรื่องข้อสอบ เรื่องชีวิตส่วนตัว ร่วมถึงรุ่นพี่ที่ผมเคยชอบด้วย  ยิ่งผมอยากลืมเท่าไหร่ แต่ก็ยิ่งเก็บมาคิดทุกวััันและตั้งคำถามตัวเองว่า พี่เขาเป็นห่วงผมจริงหรือเปล่า หรือแค่พูดเล่นๆ  เพราะเท่าที่ผ่านมาพี่เขาก็ไม่ได้มีความสนใจใยดีกับผมเลย    


              และสิ่งสำคัญที่สุดที่ผมต้องตัดสินใจเดินออกจากพวกกลุ่มรุ่นพี่ น้ำหมึกตัวสีแดงที่แสดงเป็นตัวอักษรและตัวเลขอยู่ในกระดาษแสดงผลการเรียนมันเด่นชัดมาก คะแนนของผมตกต่ำอย่างที่ผมไม่เคยได้รับมาก่อน จนเหมือนเป็นหลุมดำของชีวิตการเรียน ผมต้องตัดสินใจว่าควรปรับปรุงตัวเองอย่างไร 


             "เห้ย...อะไรว้า จะมาออกจากกลุ่มกันได้ไง จะทิ้งพี่ไปแล้วเหรอ"


             "แต่ผมมีเหตุผลทีี่จำเป็น"


             "ไอ้วอก กูอุตสาห์สอนงานให้มึงเป็นคนมากขึ้น แต่ทำไมมึงเป็นคนอย่างนี้ว่ะ มึงมันน่าโดน


             "มึงอย่ารังแกไอ้วอกเถอะ." รุ่นพี่อีกคนเอามือมาขวางและขัดจังหวะการสนทนา คนพูดกับอีกคนที่พยายามง้างมือมาตบผม หลังจากนั้นก็หันหน้ามามองผม "ก็แล้วแต่มึงล่ะกัน ถึงกูจะห้ามมึึงเท่าไหร่ แต่ใจมึงจะไปอยู่แล้ว"


    -*-*-*-*-*-*-*-*-*-


             "ผลการเรียนเป็นอย่างไรบ้าง" จู่ๆ พ่อของผมพูดขึ้นมาในขณะที่นั่งรับประทานอาหารตอนเย็นด้วยกัน ผมพยายามนั่งเงียบและพยายามไม่พูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว แต่ต้องตอบรับกลับไป 


             "ก็ดีครับ"


             "โกหกพ่อเปล่าเนี่ย...แล้วกระดาษแจ้งผลอยู่ไหนล่ะ"


             "เดี๋ยวผมไปหาก่อนครับ มันอยู่ในเอออ"        
           

             "ตุ๊บ!!!"
             พ่อวางช้อนและซ้อมลงบนจาน และเอามือทุบโต๊ะรับประทานอาหาร


             "แกจะแถไปจนถึงตอนไหน ไม่ต้องไปหงไปหาหรอก พ่อรู้จากครูประจำชั้นหมดแล้ว" หลังจากที่พ่อพูดจบ บรรยากาศความตึงเครียดเริ่มปกคลุมล้อมรอบตัว 


              "พ่อโทรไปหาครูประจำชั้น  ครูเขารายงานว่าลูกได้เกรดต่ำสุดในห้องเรียน ขาดเรียนหลายครั้ง งานที่รับผิดชอบไม่ทำ การบ้านก็ไม่ส่ง  ทำไมล่ะ....ทำไมลูกเป็นคนอย่างนี้ ทำไมลูกขาดความรับผิดชอบ  เป็นคนดีๆ ไม่เป็นหรือยังไง  กลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ เสาร์อาทิตย์ไปเที่ียวเถลไถล หนังสือก็ไม่ยอมอ่าน  แล้วเป็นไง ผลการเรียนเทอมนี้นะ ดูสิ....ไม่ได้เรื่องเลย"


             "นีี่คุณ คุณใจเย็นหน่อยได้ไหม ค่อยๆ พูด ค่อยๆ อธิบายก็ได้" แม่พยายามคอยห้ามเตือน


             "ก็คุณให้ท้ายอยู่แบบนี้ไง เขาถึงได้ทำตัวเหลวไหลแบบนี้" พ่อพูดโต้กลัับไป "ดูลูกของเพื่อนพ่อสิ เทอมนี้เขาเรียนได้เกรดดีี สอบได้ในอันดับต้นๆ ตลอดๆ เดือนหน้าเขามุ่งมั่นตั้งใจเตรียมสอบมหาลัยชื่อดังๆ จบไปมีงานทำ มีอนาคตที่ดีรองรับอยู่  ทำไมไม่เอาเขาเป็นตัวอย่างบ้าง ลูกเอาเกรดแค่นี้ จะไปทำอะไรกิน"


             "........"  พ่อนิ่งเงียบไปสักครู่ แล้วจ้องหน้าผม


             "คนเราเกิดมาทั้งทีก็ทำชีวิตให้ดูดีในสังคม ประวัติที่เสื่อมเสียแบบนี้มันจะติดตัวลูกไปจนไปจนวันตาย  เวลาที่ใครจะมาเช็คประวัติเขาจะมาดูถูกว่าลูกเป็นคนไม่เอาไหน แล้วใครจะภูมิใจในตััวลูกได้อย่างไร  ทำตััวเองให้ดีหน่อย อย่าทำอะไรที่มันผิดพลาด รัักษามาตรฐานของตัวเองไว้"


              "แต่คุณ....ที่ผ่านมาเขาก็ทำได้ดีมากตลอดนะ ปีนีี้ชีวิตอาจจะเดินพลาดบ้าง ให้—"


              "คุณหยุดพูดเถอะ ให้ผมพูดคนเดียวก็พอแล้ว" พ่อดุแม่อีกครั้ง ทำให้แม่นิ่งเงียบแทน "หรือคุณยอมให้เขาทำล่ะ  ปล่อยให้เขาเรียนรู้ไปถึงไหน  โลกมันไม่ได้สวยตามที่คุณคิดหรอกนะคุณ แค่มองดูประวัติตรงนี้เขาก็ตัดสินได้แล้วว่าเป็นคนไม่ได้เรื่อง"
     

              "อย่าทำมันอีกนะ" พ่อกล่าวปิดท้าย


              ในช่วงปิดเทอม ผมมีความคิดเปลี่ยนชีวิตของตัวเอง หันไปหาที่พึ่งศาสนาเพื่อสงบจิตสงบใจ บำเพ็ญศีลเจริญสมาธิปัญญาและกลับมาเปิดเรียนใหม่อีกครั้ง และครั้งนี้ผมตั้งมั่นไว้ว่าจะปฏิบัติตัวตนให้เป็นคนดีดั่งเดิม








  •           

             ดวงอาทิตย์ค่อยๆ โผล่ขึ้นจากขอบฟ้า แสงแดดสาดแสงผ่านก้อนเมฆให้เห็นเป็นเส้นแสงสีทองส่องกระทบพื้นดินพื้นหญ้าเขียวชะอุ่ม  หยดน้ำค้างบนยอดหญ้าค่อยๆ กลั่นตัวเป็นไอน้ำ ระเหยออกไปในอากาศ ความหนาวจางหายกลายเป็นความอุ่น บรรดานกกาส่งเสียงร้องบนท้องฟ้า เช่นเดียวกับเสียงรถยนต์ของชาวบ้านหลายคันออกเดินทางไปทำงาน


            "ไอ้วอก มึงยังเดินอยู่คนเดียวอยู่เหมือนเคยนะ"  เสียงทีี่ผมคุ้นหูดังขึ้นมาจากข้างหลัง ในระหว่างที่เปลี่ยนคาบเรีียน เมื่อผมหันไปหาที่มาของเสียง ก็พบกับรุ่นพี่ทั้งสามคนนี้อีกแล้ว

            
            "คือว่า.คือ.. ผมจะอยู่อย่างนี้ก็เป็นเรื่องผม แล้วก็ไม่เกี่ยวกับพี่สักหน่อย" ผมต่อว่ารุ่นพี่  "แล้วผมก็ไม่ได้ชื่อวอก ผมชื่อเสก ที่มาจากชื่อจริงชื่อว่าศุภเสกร์"


            "ไอ้เxี้ย  ปิดเทอมนิดเดียว  มึงจะไม่ให้กูเรียกชื่อ `วอก` หรือไง......หน้ามึงก็็เหมือนลิง แถมปานที่แก้มก็ยิ่งทำให้เหมือนลิงขึ้นไปอีก  แม่งโคตรขำ คนอะไรเกิดมาหน้าเหมือนลิง" รุ่นพี่พูดกลับมาแล้ว และเพื่อนสองคนหัวเราะ "ไอ้ `วอก` นั่นแหละดีแล้ว มึงจะคิดอะไรมากนักหนา กูเรียกมึงจนชินแล้ว"


            ผมไม่พอใจเป็นอย่างมากที่พวกรุ่นพี่หัวเราะเยาะใส่ผม  และยังเดือดดาลจนเลือดขึ้นหน้าด้วย


            "อะไรว่ะ..หรือว่ามึงโกรธพวกกู อยากจะบวกกับกูหรือ" รุ่นพีี่หยุดขำ  


             ผมทนฟังคำพูดเย้ยยันของพีี่ไม่ได้ หันหลังกลับทั้งที่มือของผมกำหมัดอย่างเหนียวแน่น แล้วรีบเดินเผ่นจากตรงนั้นไปอย่างเร็วทีี่สุด 


                 -*-*-*-*-*-*-*-*-*-



    @ หากสิ้นไร้ดวงดาวยังมีแสง             หากสิ้นไร้เรี่ยวแรงยังมีหมอน
    หากสิ้นไร้บทหนังยังมีละคร              หากสิ้นไร้บังอรนอนเหมือนตาย


            ผมอ่านบทกลอนถูกเขียนด้วยดินสอสีดำ จารึกไว้บนพื้นผนังคอนกรีต นอกจากนี้แล้วยังมีความเรียง คำคม และเรื่องราวภายในใจไม่ว่าจะเป็นรักใคร่ชอบใคร อยากเจอใครอีกมากมายที่เขีียนกระจัดกระจายไปทั่วผนัง  


            "แชะ!!!"  
             แสงสีขาวส่องวูบวาบไปทั่วบริเวณห้องส้วม ผมแหงนหน้าขึ้นไปมอง พบกล้องถ่ายรูปและใบหน้าของผู้ชายกำลังถ่ายรูปผม


            "ใครนะ..."  ผมร้องเรียกกลับไป ชายๆ นั้นยังคงถ่ายรูปผมอีกเช่นเคย ผมรีบจััดการทำความสะอาด ใช้ขันตักน้ำ เทลงในส้วมนั่งยอง สวมและเกี่ยวตะขอกางเกง และกระโดดคว้ากล้องถ่ายรูป 


            แต่แล้วผมก็พลาดท่า!!!  

            เท้าขวาเจ้ากรรมลื่นไถลบนพื้นห้องน้ำตกลงในส้วมนั่งยอง น้ำในส้วมกระเด็นเข้าไปในถุงเท้าและซึมเข้าในรองเท้า 


            "ไอ้วอกแม่งตกส้วมโคตรขำวะ" ผมจำน้ำเสียงนี่ได้ดีี เป็นเสียงรุ่นพี่ทีี่ผมรู้จััก พวกเขาหัวเราะและถ่ายรูปอีกหลายครั้ัง หลังจากนั้นก็มุดหายไป


            หลังจากทีี่ผมจัดการทุกอย่างภายในห้องน้ำเสร็จเรียบร้อย เดินออกจากห้องน้ำด้วยความอ่อนแรง เสื้อและรองเท้าเปียกชุ่มไปด้วยน้ำ พร้อมกับมีแผลถลอกตามมือตามแขนที่เกิดจากการเสียดสีกับผนังห้องน้ำ และมีร่องรอยของน้ำตาที่ยังคงเปื้อนใบหน้า 


            มันไม่สนุกเลย มันไม่สนุกเลยจริงๆ


      -*-*-*-*-*-*-*-*-*-


            ภายหลังจากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว เพื่อนๆ ในห้องของผมก็เริ่มเปลี่ยนไป พวกเขาก็ยิ้มให้ผมอย่างแปลกๆ บางครั้งพวกเขาก็หััวเราะผม  บางครั้งก็จับกลุ่มสนทนาและจ้องมองมาที่ผม ด้วยความสงสัยผมจึงถามเพื่อนคนหนึ่ง และผมก็ได้รับคำตอบว่า มีคลิปที่ผมกำลังกระโดดคว้ากล้องถ่ายรูปแล้วลื่นตกส้วม ถูกส่งต่อแพร่กระจายไปทั่วโรงเรียน 

            
            "พี่ปล่อยคลิปแบบนีั้ทำไม ผมเสียหายนะรู้ไหม" ผมยืนชี้หน้าต่อว่ารุ่นพีี่ หลังจากทีี่ผมผลักอกรุ่นพี่ที่เป็นหัวโจกและมองด้วยแววตาเกรี้ยวกราด มือทั้งสองมือกำหมัดอย่างแน่น 


            "ก็แล้วจะทำไม กูเห็นว่ามันตลกดี  ใครๆ ก็ชอบ มันก็—" 

            ผมใช้หมัดมือขวาชกที่แก้มใบหน้าของพี่เขาโดยที่พี่เขาไม่ทันพูดจบ  พี่เขาเซเล็กน้อย เขาพยายามใช้มือซ้ายจับคอเสื้อผม ผมถอยหลังดีดออกไหวตัวได้ทัน ตั้งขา ยกมือตั้งท่าจดมวย และกระโดดเบาๆ ไปๆแล้วปล่อยหมัดตรงมือขวาออกไป รุ่นพีี่ชักหน้าหลบหมัด และใช้หมัดฮุคซ้ายขวาต่อยใบหน้าของผมหลายหมัด จนผมเจ็บปวดทั่วใบหน้า  ผมเอามือโอบเอวกอดรัดพี่เขาพยายามทุ่มตัวให้พี่ล้มลง เพื่อให้เขาไม่สามารถออกหมััดได้คล่องตัว  แต่แล้วเขาใช้ท่อนแขนฟาดทีี่กกหูของผม จนผมรู้สึกมึนงง และตาลาย  มือทั้งสองหลุดจากเอวของพี่ชา แล้วล้มลงกับพื้น


            รุ่นพี่จับคอเสื้อ ดึงผมขึ้นมา ผมพยายามจ้องมองใบหน้าของพี่ในภาพโลกหมุนไปหมุนมา พยายามมองไปรอบๆ  สายตาของเหล่านักเรียนจ้องมองทีี่เวทีมวยบนทางเดินหน้าอาคารเรียน 2 ผมไม่มีอะไรจะสู้เขาได้เลย นี่สินะความพ่ายแพ้ของผม ทำไมผมต้องแพ้อย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า


            "มึงคิดว่าจะสู้กับกูได้เหรอ ไอ้อ่อนเอ้ย" ผมพยายามฟังคำพี่เขา แล้วหลังจากนั้นผมก็จำความไม่ได้เลย


            หลังจากนั้นไม่นาน ผมถูกเชิญไปห้องปกครอง และก็โดนจดหมายเชิญผู้ปกครองในเวลาต่อมา


    .......


            "คุณก็ไปเองสิ ทำไมต้องให้ฉันไปด้วยเล่า"

            "ก็ลูกคุณสิ คุณก็ต้องรับผิดชอบกับเรื่องนี้"

            "ก็ลูกคุณเหมือนกันไม่ใช่เหรอ อีกอย่างพรุ่งนี้ผมต้องทำงานผมก็ไม่ไปได้"

            "คุณจะลางานช่วงเช้าไม่ได้เหรอ คุณก็ขับรถเดินทางไปโรงเรียนได้นี่นา..."


            เสียงทีี่ดังลั่นจากชั้นล่างของบ้านเป็นเสียงที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน และก็มีเสียงข้าวของถูกปากระแทกฝาผนังและตกลงพื้นหลายครั้ง  ส่วนผมได้แต่นั่งร้องไห้เอามืออุดหูพิงฝาผนังอยู่ชั้นบนของบ้านฟังเสียงพ่อแม่พูดจาขึ้นมึงกูใส่กัน  ผมมองดูซองจดหมายทีี่ถูกเปิดออกด้วยความเศร้า หยดน้ำตาตกบนซองจดหมายสองสามหยด ถึงแม้ว่าผมไม่ได้ยื่นให้พ่อแม่  แต่พ่อแม่ก็รับรู้อยู่แล้ว


      -*-*-*-*-*-*-*-*-*-
            
  •    
            ตึง!!!! เสียงสิ่งของกระแทกกับประตูห้องนอนพ่อกับแม่ดัังลั่นบ้าน ช่วงตอนเย็นของวันทีี่พ่อเดินทางไปพบครูผู้ปกครอง ผมจำได้ว่าเช้าของวันนี้แม่ไม่ได้ออกไปทำงาน แม่ปิดประตูและขังตัวเองไว้ในห้อง ผมเดินลงบันไดและมองดูภาพเหตุการณ์ที่พ่อจิกหััวแม่ลากออกมาจากห้องนอน


            "ทำไมคุณเป็นภรรยาที่แย่อย่างนี้ อยู่บ้าน งานการไม่ยอมทำ แทนทีี่ผมจะกลับบ้านมาแล้วเจอภรรยาดูแลและเอาใจ แต่นี่มันอะไร กับข้าวก็ไม่มี อาหารก็ไม่ทำ  มันเป็นหน้าที่ของคุณที่ต้องรับผิดชอบนะ" เสียงตวาดของพ่อดังขึ้น


            "อะไร อะไรก็มาลงที่ฉันตลอด ที่ผ่านมาฉันทำโน่น ทำนี้สารพัดตามที่คุณต้องการแล้ว คุณก็ยังไม่เคยพอใจ แล้วคุณจะเอาอะไรอีกละ"


            "แล้วคุณไม่คิดบ้างหรือว่าที่ผ่านมาผมเจออะไรมาบ้าง ผมเหนื่อย ผมเครียด แล้วนี่ยังมาขึ้นเสียงทะเลาะใส่กันอีก ผมปวดหัว"


            "แล้วใครขึ้นเสียงใส่ฉันก่อนล่ะ คุณพูดเหมือนว่าทุกอย่างหมุนรอบตัวคุณ คุณเคยเห็นฉัันไหม คุณเลยฟังความรู้สึกของลูกไหมล่ะ ว่าที่ผ่านมาเขาพบเจออะไรมาบ้าง"


            "ก็เพราะคุณเป็นแบบนี้ไง ลูกของคุณจึงเป็นเด็กเหลวไหล ทางโรงเรียนจึงเชิญผมไปพบ"


            "ลูกของฉันคือลูกของคุณ คุณโยนให้ฉัันเลีี้ยงได้ยังไง คุณเป็นพ่อนะ—"


            "กูไม่ได้เลี้ยงให้มาเป็นลูกโตเป็นแบบนี้  ลูกกูต้องเป็นเด็กดีกว่านี้แน่" พ่อตวาดด้วยเสียงดุดัน 


            "..........." แม่ไม่พูดตอบโต้อะไรอีกเลย นั่งร้องไห้เอามือปาดน้ำตา พร้อมส่งเสียงสะอื้น

       
            "พอกันที เบื่อ เบื่อ!! มีภรรยาก็ทำอะไรไม่ได้ดั่งใจ แถมไม่ฟังกูอีกต่างหาก  ส่งลูกไปเรียนเป็นนักเรีียนที่ดีก็กลายเป็นนักเลง  ตั้งแต่กูอยู่กับมึงมา ชีวิตกูก็มีปัญหาเข้ามาตลอด เรื่องทีี่กูแนะนำให้ดีีๆ ก็ไม่ยอมทำกัน อยากจะเดินหลงทางในที่แย่ๆ  แม่งพอกันที กูจะไม่เอามึงอีกต่อไปแล้ว"


            "ก็เอาเลย...จะไปตายทีี่ไหนก็ไป แล้วแต่มึงเลย"


            ผมยืนฟังพ่อกับแม่ทะเลาะด้วยความนิ่ง และสักครู่หนึ่งพ่อเดินไปกวาดรูปถ่ายภาพครอบครัวที่วางบนโต๊ะให้ตกลงมาและเตะกระจัดกระจาย  แล้วเดินตรงมาทางผม ชนไหล่ผม เปิดประตูบ้าน ปิดประตูลั่นราวกับฟ้าถล่ม ผมหันไปหาแม่ สีหน้าแววตาของแม่ดูเศร้าสร้อย ใบหน้าแดงก่ำ หยดน้ำตาเปื้อนใบหน้า ผมเผ้ารุงรัง และมีรอยบวมฟกช้ำตามจุดต่างๆ ของร่างกาย ผมรีีบเดินเข้าไปประคองแม่ แต่แม่ผลักมือของผมออก แล้วหัันมาพูดกับผมว่า


            "กูน่าจะบีบคอมึงให้ตายตั้งแต่วันที่มึงเกิดมาแล้ว"  หลังจากพูดจบ แม่เดิินไปยังห้องนอน ปิดประตู  ใส่กลอนขัังตัวเองในห้อง


              บรรยากาศภายในบ้านค่อยๆ มืดลงจนผมมองไม่เห็นพื้นบ้าน ไม่มีสิ่งของทีี่วางอยู่ตามมุมต่างๆ  ไม่มีผนัง ไม่มีเพดาน ราวกับว่าผมเป็นเรือลำใหญ่และอับปางจมลึกลงในก้นมหาสมุทรอันมืดมิด เป็นทีี่ที่ไม่ค่อยมีสิ่งมีชีวิตอยู่ ความโดดเดียว ความอ้างว้าง ความหนาวเหน็บกัดเซาะหัวใจ ผมอยากร้องไห้แทบจะขาดใจ แต่น้ำตาไม่หยดลงมา ความรู้สึกเหล่านี้มันคืออะไร ความเจ็บช้ำที่ไม่มีบาดแผล หรือเป็นความบ้าบอของชีวิต หรือเป็นสิ่งที่เรียกว่า `เวลาได้ตายจากผมไปแล้ว`


      -*-*-*-*-*-*-*-*-*-


            "อย่าไปยุ่งกับเขาเลย  หมอนั่นมันนิสัยไม่ดีี วันก่อนเขายังต่อยกับรุ่นพีี่นะ จำไม่ได้หรือไง"

            "ฉันได้ยินว่า พ่อเขาเป็นผู้ค้าขายอาวุธเถื่อนด้วยแหละ ทีี่บ้านคงร่ำรวยมากแน่ๆ"

            "แม่ของเขาก็หนีตามพ่อมา ส่วนพี่ชายของเขาก็ติดคุกเพราะค้ายา"

            "ที่ผ่านมาก็เห็นว่าได้กับหญิงมา 4 คนแล้วก็ทิ้งแล้วนะ พวกเธอระวังตัวให้ดีก็แล้วกัน"


            ข้อความสารพััดเรื่องราวถูกแสดงขึ้นในเว็บบอร์ดของโรงเรียน ผมนั่งอ่านกระทู้ที่มีีการพาดพิงถึงผมในห้องคอมพิวเตอร์ คนที่ตอบกระทู้ถูกพูดเสริมเติมแต่งให้ออกจากความเป็นจริงอย่างสิ้นเชิง บางคนก็ตอบกระทู้เรีียกเสียงหัวเราะ บางคนก็ตอบกระทู้เหยียดผม  ซึ่งสิ่งเหล่านั้นมันไม่ใกล้เคียงกับความจริงเลย ผู้คนเขาไปเอาเรื่องราวมาจากไหน พวกเขากุเรื่องราวกับว่าเขาอยู่ข้างๆ ผม โดยที่พวกเขาไม่รู้จักผมเลยแม้แต่นิดเดียว


            "กูตั้งกระทู้เองแหละ"  ผมพบกับรุ่นพี่กลุ่มเดิมอีกครั้ง พวกเขาพ่นบุหรี่ออกมาโดยไม่สนใจเรื่องราวทีี่เกิดขึ้นกัับผม  "กูอยากคนอื่นเข้ารู้จักมึง ว่ามึงเป็นคนยังไง"


            "แต่ผมไม่ชอบวิธีการอย่างนี้"

            
            "ก็กูเห็นมึงเดินคนเดียว  กุก็ไม่อยากทำให้มึงเหงานะสิ" รุ่นพี่พ่นบุหรีี่ออกมาอีกครั้ง และทิ้งก้นบุหรี่ลงบนพื้น พร้อมกับใช้เท้าเหยียบให้ไฟดับ


            "อะไร อะไร หรือมึงจะเอาอีกหรือไง เรื่องเมื่อวันนั้นยังพออีกใช่ไหม" รุ่นพี่พูดขึ้นมาในขณะทีี่ผมมีสีหน้าโกรธอย่างเห็นได้ชัด "ไอ้วอก มึงอย่าห้าวเลย"


            "มึงอยากโดนเรียกผู้ปกครองอีกรอบไหม  กูไม่มีปัญหาหรอก  กูหลาน ผอ. กูจะมีเรื่องกับใคร กูก็ไม่ได้จะซีเรียสอะไรเลย อยากเอาอีกไหม"



      -*-*-*-*-*-*-*-*-*-

  •         พ่อผม ไม่กลับบ้านมาเป็นวันทีี่ 3 แล้ว ส่วนแม่ของผมยังคงเก็บตัวอยู่ในห้องนอนเหมือนเดิม ไม่ว่าผมจะเคาะประตูห้องอย่างไร แม่ก็ตอบกลับมาว่าแม่ไม่เป็นไร ตรงกลางบ้านมีขวดเบียร์และแก้ววางทิ้งไว้เกลื่อนกลาด แม้ว่าผมจะทำอาหารให้แม่กิน แต่ผมก็ทำได้แค่วางบนโต๊ะ พร้อมกับนั่งพิงประตูอยู่หน้าห้องเป็นเวลานาน


            ทุกอย่างภายในบ้านยังคงเงียบสงัด  แม้ว่าผมอยู่ใต้แสงไฟจากเพดานที่สว่างที่สุดภายในบ้าน แต่ก็ยังส่องไม่ถึงเข้าไปในจิตใจ  ไม่มีพ่อแม่นั่งดูทีวีเหมือนก่อน  เงาของผมในตอนทีี่เป็นเด็ก ค่อยๆ แสดงให้เห็น  ภาพของผมที่นั่งตัวตรงทำการบ้านโดยมีพ่อสอนการบ้านให้ผมอยู่ข้างๆ  ส่วนแม่เดินถือแก้วน้ำแตงโมปั่นยื่นให้พ่อและผม  ถ้อยคำของแม่ยังจำได้ดี  "นี่คือรางวัลแห่งความขยัน" 


            แต่ทุกอย่างมันพังหมดแล้ว

            พังจนไม่เหลือชิ้นดี 

            และมันไม่มีีวันย้อนคืนกลับมาเป็นเหมือนเดิม

             ร่องรอยแตกร้าวบนฝาผนังยังคงเป็นสิ่งที่ตอกย้ำความรู้สึกภายในจิตใจ แก้วน้ำจานชามที่แตกยังคงอยู่บนชั้นวาง  แม้ว่าผมจะใช้เทปใสเชื่อมติิดให้มันเป็นเหมือนเดิม แต่ร่องรอยการแตกยังคงบาดลึกฝังอยู่ในใจ  ไม่ว่าผมจะทำอะไรก็ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย ผมอยากให้ทุกอย่างมันจบลงด้วยดี จบลงด้วยความเข้าใจกัน อยากหลีกเลี่ยง อยากทิ้งขว้างสิ่งที่ไม่ดีออกไปให้ไกล แต่มันก็ยังคงวิ่งตามผม  


             ถ้าผมไม่เจอรุ่นพี่ เรื่องราวก็คงจะไม่ลงเอยเป็นแบบนี้


             ใช่...เป็นเพราะพวกพี่นั่นแหละ 


            ผมลุกขึ้น เดินขึ้นไปบนห้องหยิบผ้าขาว มีดโกน ขันน้ำ กระถางธูป เทียน และอุปกรณ์จิปาถะใส่ลงในกระเป๋าผ้า สวมเสื้อกางเกงนักเรียน และใส่รองเท้าสีดำ เดินออกจากบ้านตอนเวลา 4 ทุ่มเพื่อไปยังโรงเรียนก่อนเวลาเที่ยงคืน 


            เมื่อถึงโรงเรียน ผมเดินหาห้องต่างๆ ที่ภารโรงยังไม่ได้ใส่กุญแจ  จนเจอห้องน้ำอาคารเรีียน 4     ผมวางข้าวของทุกอย่างในห้องส้วม เปิดหนัังสือเล่มใหญ่  จัดวางกระถางธูปและเทียนตามสิ่งที่ในหนังสือเขียนไว้ จุดธูป 13 ดอก ยกมือไหว้ ปักลงในกระถาง  จุดเทีียนไขรอบๆ เพื่อให้ห้องสว่าง ใช้ชอล์กสีีขาวเขียนชื่อจริงของรุ่นพี่ทั้งสามคนลงในกระดาษสีดำ ใช้กรรไกรตัดเล็บและกรรไกรตัดผม วางบนกระดาษสีดำ ขยำกระดาษและวางใส่ในขันน้ำ 


             ผมหัันไปดูตำราอีกครั้งในหัวข้อสุดท้าย ตำรากล่าวไว้ว่า `ต้องกรีดเลือดที่แขนของตัวเอง และให้เลือดไหลตกลงบนกระดาษสีดำที่อยู่ในขันน้ำ พร้อมกับอธิษฐานสิ่งทีี่ต้องการ` หลังจากอ่านจบ ผมทำตามสิ่งทีี่ตำราเขียน


            "ต่อจากนี้ไป ขอให้ความเจ็บช้ำ ความปวดร้าว ความเศร้า จงเล่นงานพวกมัน เดินทางไปทีี่ไหนขอให้มีแต่คนเหยีดหยามประณาม ทำสิ่งใดขอให้ไม่มีวันเจริญ คิดทำการอะไรก็จงให้มีคนขโมยความคิด ขอให้ครอบครัวแตกแยก พบกับความวิบัติ ความฉิบหาย ซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยเทอญ"


            เมื่อผมอธิษฐานจบ ใช้มีดโกนกรีดเลือดที่ข้อพับแขนของตัวเอง  เลือดสีดำไหลย้อยไปตามแขน และหยดตกลงบนกระดาษสีดำ  แขนของผมเริ่มสั่นๆ เล็กน้อย เหงื่อเริ่มค่อยๆ ออกมาจากใบหน้า แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ผมต้องกัดฟัันสู้ เพื่อชำระความเจ็บ ความแค้นที่ผมได้รับได้มา


            สักครู่หนึ่ง อากาศเริ่มร้อนขึ้น เหงื่อผมไหลออกมาเป็นจำนวนมาก หน้าเริ่มมืด วิงเวียนศีรษะ หายใจไม่ถนัด หัวใจเต้นถี่เร็วขึ้นเร็วขึ้น ผมทิ้งมีดโกนลงบนพื้น เอามือซ้ายห้ามแผลเเหนือแขนอย่างเร่งด่วน แต่แล้วมันยังคงไหลออกมาในปริมาณมาก ผมเอาผ้าขาวทีี่วางไว้ มาพันตรงบริเวณบาดแผล แต่ไม่นาน..ผ้าขาวก็เปียกชุ่มด้วยเลือด และเปื้อนเสื้อ เปื้อนพื้นและฝาผนังของห้องส้วม มือขวาของผมเริ่มชาและค่อยๆ หมดความรู้สึก ผมเหนื่อย ผมหายใจถี่ขึ้น  หนังตาเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ 


             ในช่วงนั้นวินาทีสุดท้ายก่อนที่หนังตาผมปิดลง ผมเห็นกลุ่มฝุ่นกลุ่มควันทีี่ก่อตัวเป็นรูปร่างเหมือนคนหลายๆ คน ล้อมหน้าผมเป็นจำนวนมาก พวกเขาค่อยๆ เดินเข้ามาหาผม และเข้ามารุมล้อมผม และเขาจ้องมาทีี่ผม


      -*-*-*-*-*-*-*-*-*-

            "วันต่อมา...ลุงไปเจอเขานอนเสียชีวิตในห้องน้ำจากการช๊อคและเสียเลือดอย่างหนัก  ครูทีี่ปรึกษาโทรไปหาทางบ้านและไปเยี่ยมบ้านของเขาก็พบว่าแม่ของเขาผูกคอตายในห้องนอน ส่วนพ่อก็ไม่มีข่าวคราวอะไรเลย  ชีวิตของเขาน่าสงสารมาก"


            "นั่นสิครับ...ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเกิดเรื่องอย่างนี้กับนักเรียนคนนี้ด้วย"


            "ลุงก็เห็นอยู่นะว่าเด็กคนนีี้ก็เป็นเด็กที่น่ารักคนหนึ่ง เขามีความปรารถนาอยากให้ชีวิตอยู่อย่างสงบสุข อยากเป็นเพื่อนกับทุกคน อยากเป็นคนทีี่สังคมต้องการ แต่สังคมคอยรังแกเขาอยู่ตลอดเวลา"


           หลังจากที่ลุงบุญส่งพูดจบ..ผมนิ่งเงียบไปสักครู่


           ที่ผ่านมาเขาเจอแต่เรื่องแย่ๆ เหมือนไม่รู้ว่าความสุขเป็นอย่างไร
           ความสุขที่เกิดจากการกลั่นแกล้งให้คนอื่นเดือดเนื้อร้อนใจ มันเป็นสิ่งทีี่ดีเหรอ
           คนที่กลั่นแกล้งผู้อื่นมักจะคิดว่าคนที่โดนกลั้นแกล้งนั่นเป็นคนตลกทีี่สามารถหยอกล้อ ล้อเล่นกัันได้ จนบานปลายกลายเป็นการข่มเหง การถากถาง การสร้างความอับอาย การตบตีชกต่อยเตะ หรือสิ่งใดๆ ก็ตามที่ทำให้เกิดความบอบช้ำทางด้านจิตใจ นั่นคือสิ่งเลวร้ายสำหรับชีวิตของผู้ที่โดนกลั้นแกล้ง พวกเขาไม่ใช่ตัวตลก พวกเขาไม่ใช่ที่ที่ระบายความทุกข์ พวกเขาก็มีชีวิต มีจิตใจ มีสุขและมีทุกข์เหมือนกับคนเราทุกคน  


             "ถ้าคนเราเอาใจเขามาใส่ใจเราและลองมองในมุมกลับกัน  ตัวเราเองก็คงไม่สนุกกับการกลั้นแกล้งของเขาเช่นกันนะ" ผมพูดกับลุงบุญส่งให้ได้ยิน แต่แกก็ไม่ตอบรับการสนทนาผมเลย

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in