Notes : 2,882 words
เป็นภาคต่อจาก
The night we met นะคะ
ระยะเวลาในเรื่องคือ 5 ปีถัดมาหลังจากคืนนั้นค่ะ
(มาแบบสั้นๆนะคะ เพราะถ้าต่อจายาวเฟื้อยเลย)
เนื้อหา/คำพูดบางส่วนอาจจะไม่สมเหตุสมผล รบกวนใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วยนะคะ
เรื่องราวทั้งหมดเป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน ไม่มีความเกี่ยวข้องกับตัวศิลปินหรือความเป็นจริงใดๆทั้งสิ้น
1
นานมากแล้วที่โชซึงยอนไม่ได้นั่งรถไฟใต้ดิน
เขาเองก็จำไม่ได้ว่าครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ แต่คิดว่ามันคงนานมากแล้ว นานจนทำให้ภาพของสถานที่แห่งนั้นกลายเป็นเพียงแค่ภาพเลือนรางในความทรงจำ
เข้าปีที่ห้าของการย้ายกลับมาอยู่ที่ประเทศบ้านเกิดของตนเอง นี่เป็นครั้งแรกกับการเดินทางไปบริษัทด้วยรถไฟใต้ดิน ซึงยอนค่อนข้างรู้สึกพอใจกับการตัดสินใจของเขาในวันนี้ สถานีตั้งอยู่ไม่ห่างจากคอนโดมากนัก และบรรยากาศในช่วงต้นฤดูหนาวเช่นนี้ก็เป็นสิ่งที่เขาโปรดปรานเสมอ
ผู้คนจำนวนมากในชั่วโมงเร่งรีบทำให้ซึงยอนรู้สึกตกใจเล็กน้อย เขาไม่ได้มาที่นี่นานมากๆจนลืมไปหมดแล้วว่าต้องทำอย่างไรทำให้ต้องอาศัยดูคนรอบข้าง มีสะดุดบ้างนิดหน่อย แต่ในที่สุดชายหนุ่มก็พาตัวเองเข้ามาอยู่ในตู้โดยสารจนสำเร็จ
ตาคมชายมองผู้คนรอบตัว ต่างคนต่างสนใจเรื่องของตนเอง บ้างก็กางหนังสือพิมพ์รายวันอ่าน บ้างก็ก้มหน้าใจจดใจจ่อกับจอสี่เหลี่ยมเล็กๆภายในมือ บ้างก็ยืนไม่ก็นั่งหลับ ซึงยอนแอบอมยิ้ม เขาห่างหายจากภาพเหล่านี้ไปนานมากจริงๆ
2
"ให้ฉันไปส่งที่บ้านไหมท่านประธาน" เพื่อนสนิทผู้ควบตำแหน่งเพื่อนร่วมงานเปิดประตูห้องทำงานเข้ามาเอ่ยถาม ขณะนี้เลยเวลาเลิกงานมามากกว่าสามชั่วโมงแล้ว ผู้คนในบริษัทก็ร่อยหรอลงจนเหลือเพียงแค่เขาและเพื่อนเท่านั้น
"ไม่เป็นไร นายกลับเถอะ ว่าจะทำนี่ต่ออีกหน่อย" ซึงยอนว่า โบกมือให้คนที่ยืนอยู่หน้าประตูเล็กน้อยก่อนสายตาจะกลับมาโฟกัสที่หน้าจอคอมพิวเตอร์
"วันนี้วันศุกร์ ปล่อยวางซะบ้าง"
“อีกนิดเดียวน่า นายนั่นแหละกลับไปได้แล้ว”
“จะกลับเองแน่นะ”
“แน่”
“อย่าดึกนักล่ะ เดี๋ยวรถไฟหมดก่อนนะ”
“ไม่ดึกขนาดนั้นหรอก”
“งั้นตามนั้น ฉันกลับละ”
“ไว้เจอกัน”
“เจอกันท่านประธาน”
ซึงยอนมองนาฬิกาบนผนังห้องก่อนจะพบว่าตอนนี้เวลาประมาณสี่ทุ่มเศษ ตาของเขาเริ่มเหนื่อยล้า ขมับทั้งสองข้างปวดตึงพอๆกับหลังและเอว เป็นสัญญาณโดยตรงจากร่างกายว่าวันนี้เขาทำงานหนักเกินไปและมันถึงเวลาที่ควรจะพอ
เขาตัดสินใจปิดคอมพิวเตอร์ เปอร์เซนต์ความคืบหน้าไม่ได้เป็นไปตามที่คาดหวังเอาไว้ แต่วันนี้ตัวเขาในวัยเฉียดเลขสี่คงไม่ไหวกับการทำงานหามรุ่งหามค่ำเหมือนเมื่อก่อนแล้วจริงๆ
3
บรรยากาศในตอนกลางคืนแตกต่างจากตอนกลางวันอย่างสิ้นเชิง ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีดำ ข้างทางประดับประดาด้วยแสงไฟจากร้านรวงต่างๆที่ตั้งกันเรียงราย ผู้คนเดินขวักไขว่ไปมาพลุกพล่าน ดูครึกครื้นสมกับเป็นย่านท่องเที่ยว
ซึงยอนทำเพียงแค่เดินผ่าน เขาไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งรอบข้างมากนัก ในหัวกำลังวางแผนว่าจะกลับไปอาบน้ำแต่งตัวแล้วออกไปหาเบียร์ดีๆสักแก้วดื่ม มันก็ถูกอย่างที่เพื่อนสนิทว่า วันนีี้เป็นวันศุกร์ เขาควรจะปล่อยวางเรื่องงานแล้วหาเวลาให้ตัวเองได้พักผ่อนเสียบ้าง
ตุ้บ!
บุคคลปริศนาชนเข้ากับไหล่ข้างขวาของซึงยอนอย่างจังจนข้าวของของทั้งคู่หล่นลงพื้นโดยเฉพาะของคนๆนั้น กระเป๋าใบเล็กของเขาร่วงอย่างแรงจนถูกเปิดออกทำให้เอกสารที่อยู่ข้างในหลุดออกมากระจัดกระจาย
"ขอโทษครับ/ผมช่วยนะครับ" ชายคนนั้นพูดขอโทษขอโพยในขณะที่ซึงยอนย่อตัวลงเพื่อช่วยเก็บเอกสารที่กำลังปลิวว่อน ไม่ได้ตั้งใจจะอ่าน แต่ที่เห็นจากข้อความในเอกสารแล้ว คนๆนี้คงจะทำงานเกี่ยวกับการเงินที่บริษัทที่ไหนสักแห่ง เพราะข้อมูลในหน้ากระดาษที่เต็มไปด้วยตัวเลขและคำต่างๆที่ซึงยอนรู้จักและคุ้นเคยดี
"นี่ครับ" ชายหนุ่มยื่นเอกสารที่รวบรวมไว้ให้คนตรงหน้าจึงมีโอกาสได้สบตากันตรงๆ ก่อนใบหน้าของเขาจะทำให้ซึงยอนเผลอหยุดหายใจไปชั่วขณะ
"คุณ"
เป็นเขาคนนั้นที่พูดขึ้น ซึงยอนยังพูดอะไรไม่ออก เขาจ้องหน้าคนตรงหน้าไม่วางตา ตอนนี้ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังทำหน้าแบบไหน
"ไง"
เหมือนเพิ่งหาเสียงตัวเองเจอ ชายหนุ่มตาเรียวเอ่ยกลับไปพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ หัวใจเขาเต้นรัว ความรู้สึกมากมายตีรวนอยู่ในอกจนทำให้รู้สึกหายใจติดขัด
"เป็นไงบ้าง" คนตรงหน้าเอ่ยถาม ในวันนี้เขาดูสดใสขึ้น ใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงสแลกสีกรมท่าและสวมรองเท้าหนังมันเงา เส้นผมที่ยังคงเป็นสีดำถูกเซ็ตขึ้นจนคล้ายกับวันนั้น ดูเรียบร้อยขึ้นจนผิดตา แต่ยังคงน่ารักเหมือนเดิม
"สบายดี คุณล่ะ"
"ก็ดีนะ เรื่อยๆ"
"ไม่คิดว่าจะได้เจอคุณที่นี่"
"ไม่คิดเหมือนกัน"
"คืนนี้คุณมีธุระที่ไหนหรือเปล่า"
"ไม่นะ ทำไมเหรอ"
"เบียร์สักแก้วไหม"
"เอาสิ"
4
"ทำตัวตามสบายนะ" คนตัวขาวพูดขึ้นกับคนที่เพิ่งเดินเข้ามาในคอนโดพร้อมๆกับเขา
เหตุผลที่ทั้งคู่ต้องมายังที่แห่งนี้เป็นเพราะในตอนแรกซึงยอนเป็นคนเอ่ยชวนก่อนจะพาอีกคนไปยังบาร์เก่าๆเจ้าประจำที่เขาชอบไปนั่งในคืนวันหยุด แต่เพราะป้ายคำว่า 'Closed' ตัวโตที่ถูกห้อยไว้หน้าร้าน ซึงอูจึงออกปากชวนอีกคนให้มาที่คอนโดของเขาซึ่งอยู่ไม่ห่างจากที่นั่นมากแทน
คอนโดของซึงอูเป็นห้องขนาดเล็กที่มีห้องนอนและห้องน้ำอย่างละหนึ่งห้องกับพื้นที่ครัวและห้องนั่งเล่นอันน้อยนิด เขาบอกว่านี่คือห้องที่ดีที่สุดในบรรดาห้องที่เงินเดือนระดับเขาสามารถจ่ายได้ มันไม่ได้ใหญ่หรือหรูหรา แต่มันก็ไม่ถึงกับลำบากและซึงอูก็พอใจกับสิ่งที่มี
“บ้านคุณน่ารักนะ” ซึงยอนพูดขึ้นในขณะที่กวาดสายตามองไปทั่วห้องก่อนจะหยุดลงที่อีกคนที่ตอนนี้กำลังงุ่นง่านอยู่หน้าตู้เย็นในห้องครัว ตอนนี้ซึงอูเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อฮู้ดสีดำกับกางเกงขายาวสีขาว เป็นครั้งแรกเหมือนกันสำหรับซึงยอนที่ได้เห็นอีกคนแต่งตัวสบายๆแบบนี้
“ขอบคุณ” อีกคนตอบในขณะที่เดินเข้ามาใกล้ก่อนจะยื่นกระป๋องเบียร์ยี่ห้อที่ซึงยอนไม่เคยดื่มมาตรงหน้า "ดื่มนี่ได้ใช่ไหม"
"ได้ครับ ขอบคุณครับ" ร่างสูงถอดเสื้อตัวนอกออกก่อนจะรับกระป๋องสีเงินนั่นมาไว้ในมือแล้วยกมันขึ้นดื่ม
"โอเคนะ" ถามอีกรอบเพื่อความแน่ใจ ซึงยอนพยักหน้าเป็นคำตอบ
"ใช้ได้เลย"
"โอเค ดีใจที่คุณชอบ"
5
ห้องของซึงอูไม่มีระเบียง บริเวณที่พอจะมีพื้นที่ให้ผู้ชายตัวโตๆสองคนสามารถนั่งดื่มกันจึงเป็นโซฟาตัวเล็กๆในห้องนั่งเล่นของเจ้าของห้อง ตอนนี้เบียร์พร่องไปเกือบหนึ่งในสาม แต่ระหว่างทั้งคู่ก็ยังไม่เกิดบทสนทนาใดๆ
"คุณ/คุณ" ทั้งคู่กล่าวออกมาพร้อมกัน แอบมองหน้ากันเล็กน้อยก่อนจะพากันหลุดขำเบาๆด้วยความบังเอิญเมื่อครู่
"คุณก่อนเลย" ซึงยอนพูดขึ้นพลางยกกระป๋องเบียร์ไปทางอีกคน ตาเรียวมองคนตรงหน้าในขณะที่ในหัวก็เอาแต่นึกถึงคำๆเดิมวนไปมา
มันผิดจากครั้งสุดท้ายที่ได้เจออย่างสิ้นเชิง ชุดลำลองหลวมๆ ใบหน้าที่ปราศจากเครื่องสำอาง ผมสีดำถูกปล่อยลงมาปรกใบหน้า ไม่รู้ว่านี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่ แต่ซึงยอนแอบคิดเงียบๆในใจถึงคำว่า 'น่ารัก' อีกแล้ว
"คุณ...อยู่เกาหลี"
"สำเนียงคุณน่ารักจัง" นั่นไงล่ะ คำนั้นอีกแล้ว
"อย่าล้อสิ ผมยังไม่ค่อยชิน"
"พูดอังกฤษก็ได้"
"ไม่เป็นไร ผมชอบคุณตอนนี้"
"ชอบผม?" ประโยคกำกวมที่อีกคนพูดทำเอาซึงยอนขมวดคิ้ว ซึงอูทำตาโตเมื่อรู้ตัวว่าเพิ่งจะทำอะไรน่าอายลงไป
"ผมหมายถึง..ภาษาเกาหลีของคุณ"
"ผมรู้น่า แค่ล้อคุณเล่น" ซึงยอนหัวเราะเบาๆ นึกเอ็นดูคนตัวขาวที่คงไม่รู้ตัวหรอกว่ากำลังฟังสิ่งที่เขาพูดด้วยหน้าตาที่ตั้งอกตั้งใจขนาดไหน
คุยกันได้ความว่าซึงอูย้ายมาอยู่ที่นี่ได้ปีกว่าๆแล้ว และทำงานอยู่ที่บริษัทการเงินเล็กๆแห่งหนึ่งที่เจ้าของบริษัทคือญาติของเขาเอง ตอนนี้เขาเป็นมนุษย์เงินเดือน อยู่คอนโดเล็กๆตัวคนเดียว เลิกสูบบุหรี่ และตอนนี้ยังไม่มีใคร
"ไม่มีใครรู้เรื่องที่คุณ..."
"ไม่มี ผมไม่ได้พูดอะไร"
"คุณจะเอาไปบอกพวกเขาเหรอ"
"ผมดูเป็นคนแบบนั้นหรือ"
"ก็เปล่า"
"ผมไม่บอกใครหรอก คุณเชื่อใจผมได้"
"อือ ขอบคุณ"
6
"คุณแต่งงานหรือยัง" ซึงอูถามด้วยน้ำเสียงที่ติดจะงัวเงีย เบียร์หมดไปจะกระป๋องที่ห้า แต่ดูเหมือนว่าบทสนทนายังไม่มีท่าทีว่าจะจบลง
ใบหน้าขาวเริ่มขึ้นสีเรื่อ ร้อนรุ่มไปทั้งตัวเพราะแอลกอฮอลล์ที่กำลังวิ่งอยู่ในเลือด เอนศีรษะซบกับพนักโซฟาด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง ซึงอูชอบดื่มแต่ดื่มได้ไม่เยอะ เขาไม่ใช่คนดื่มเก่ง ไม่เคยใช่ และต่อให้วันนี้ก็ยังคงไม่ใช่ตามเคย
ต่างจากคนตรงหน้าที่ยังคงนิ่งสนิท ดูเป็นปกติและสติยังครบถ้วนทุกประการแม้สิ่งที่อยู่ในมือจะเป็นกระป๋องเบียร์แบบเดียวกับที่ซึงอูถือเพียงแต่เป็นกระป๋องที่เจ็ดของเขา
"ครั้งนึง"
"..."
"แต่หย่าแล้ว ไม่รอดน่ะ" ชายหนุ่มว่าพลางยกมือข้างซ้ายที่ปราศจากเครื่องประดับใดๆขึ้นมาประกอบกับประโยคที่พูด
"...."
"เฮ้ ไม่เป็นไรนะ" ท้วงอีกคนที่มีสีหน้าและแววตาที่ผิดไปจากเดิม
"ผมไม่ควรพูด"
"อย่าคิดมากเลย ผมไม่ได้อะไรแล้วล่ะ"
"เป็นโสดมันก็ไม่ได้แย่อะไรนัก"
"แต่ผมชอบเธอนะ ตอนนั้นมันก็เป็นช่วงเวลาที่ดี"
ซึงยอนแต่งงานกับผู้หญิงคนหนึ่งเมื่อสามปีที่แล้ว เธอเป็นคนสวย มีการศึกษา เป็นคนเก่ง และเป็นคนโปรดของคุณแม่ของเขา
แต่ก็เหมือนเคย ทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับครอบครัวแบบซึงยอนหรือครอบครัวเธอ อย่างไรมันก็คือธุรกิจ การแต่งงานของเขาและผู้หญิงคนนั้นถูกจัดขึ้นภายใต้เงื่อนไขบางอย่างที่เกิดประโยชน์และผลดีต่อครอบครัวทั้งคู่ หรือให้อธิบายง่ายๆก็คือซึงยอนและเธอถูกจับคลุมถุงชนนั่นแหละ
ซึงยอนยอมรับว่าเธอเป็นภรรยาที่ดี ทุกอย่างหลังจากน้้นดูเหมือนจะราบรื่น แต่สิ่งเหล่านั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่า ซึงยอนและเธอไม่ได้รักกันเลย
"เธอคงทนผมไม่ไหว"
"คุณไม่ยอมนอนกับเธอเหรอ"
"นอนสิ"
"..."
"แต่เธอแค่...ยังไงดี ไม่ใช่สำหรับผม"
"คุณแม่งโคตรเกย์"
"ไม่ปฏิเสธ"
ทั้งคู่หัวเราะกับประโยคนั้นของซึงยอน
7
ตัวเลขในนาฬิกาเปลี่ยนเป็นเลขศูนย์ ทั้งคู่หยุดดื่มแล้ว บทสนทนาต่างๆก็เช่นกัน
ซึงอูเมาแอ๋ ลืมตาแทบไม่ขึ้น ศีรษะที่หนักอึ้งไม่สามารถกลับไปตั้งตรงได้อีกแล้ว เขาฟุบอยู่อย่างนั้นก่อนจะรู้สึกถึงไออุ่นจากร่างกายมนุษย์ที่คืบคลานเข้ามาใกล้ ถึงในตอนนี้สติที่มีจะไม่ได้เต็มร้อย แต่ระยะห่างอันน้อยนิดระหว่างทั้งคู่ก็ยังทำให้ซึงอูเผลอใจเต้นไม่เป็นส่ำ
"ผมเมาแล้ว" พูดด้วยน้ำเสียงอู้อี้เพราะไม่มีแม้กระทั้งแรงจะยกหัวตัวเองออกจากพนักพิงเสียด้วยซ้ำ ร่างกายรู้สึกร้อนรุ่มยิ่งกว่าเดิม แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอลล์หรือเป็นเพราะอีกคนขยับเข้ามาใกล้ขึ้นอีกกันแน่
"อือ คุณเมาแล้ว" ซึงยอนตอบกลับ เอานิ้วเกลี่ยกลุ่มผมที่ปรกลงมาปิดใบหน้าของอีกคนขึ้นเผยให้เห็นริ้วแดงๆที่พาดผ่านใบหน้าสวย
คนเมาทำได้เพียงหลับตาอยู่แบบนั้น หัวใจเขาเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกจากอกอยู่รอมร่อ ไม่รู้จะจัดการกับความรู้สึกของตัวเองกับสถานการณ์ตรงหน้าอย่างไร ตอนนี้เขาเมาเกินกว่าจะคิดอะไรออก
"..."
"ผมเมาหรือยังนะ"
"เพราะตอนนี้โคตรอยากจูบคุณเลย"
คนที่แกล้งทำเป็นหลับได้ยินชัดเจนทุกถ้อยทุกคำ ใบหน้าเขาร้อนผ่าว มือที่ใช้ศีรษะหนุนเปียกชื้นทั้งสองข้าง
ไม่รู้ว่าแอลกอฮอลล์มีผลทำให้มนุษย์กลายเป็นพวกย้อนแย้งด้วยไหม เพราะถ้าใช่ งั้นตอนนี้ซึงอูก็คงเมามากๆแล้ว แทบจะอยากหายไปจากโลกนี้เพราะอาการร้อนรุ่มประหลาดที่เขากำลังรับมือไม่ไหว แต่ในขณะเดียวกัน สิ่งที่เขาทำคือการโพล่งถ้อยคำสั้นๆสองคำออกไป
"จูบสิ"
8
มันดูเหมือนกับในเช้าวันนั้น
ซึงอูรู้สึกตัวเป็นคนแรก เขานอนขดอยู่ภายใต้ท่อนแขนที่ดูเหมือนจะมีรอยสักเพิ่มมาอีกหนึ่งรอยจากครั้งก่อน
เมื่อคืนระหว่างทั้งคู่ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าจูบขมๆ(ที่มากกว่าหนึ่งครั้ง) และนอนกอดกันจนเวลาล่วงเลยมาจนเช้า นาฬิกาบอกว่าตอนนี้เป็นเวลาตีห้ายี่สิบสี่นาที และอีกคนก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่นในเร็วๆนี้ ซึงอูจึงคิดว่าการนอนอยู่ในอ้อมแขนของคนที่ตัวโตกว่าแบบนี้ต่อไปอีกสักพักคงจะไม่เสียหายอะไร
แล้วมันก็รู้สึกดีมากๆด้วยล่ะ
"อรุณสวัสดิ์" ประโยคแรกที่ได้ยินหลังจากรู้สึกตัวเป็นรอบที่สองของเช้านี้ ความรู้สึกอุ่นๆที่พาดผ่านลำตัวยังคงอยู่ ดูเหมือนว่าซึงยอนจะตื่นก่อนเขามาสักพัก แต่ก็ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่แล้ว
"อรุณสวัสดิ์"
"อือ"
"คุณตื่นมานานหรือยัง"
"สักพัก ไม่นานครับ"
"แล้วทำไมไม่ปลุกผม"
"ก็เห็นคุณกำลังหลับสบาย ผมเลยไม่อยากกวน"
"ก็เลยทนเมื่อยอยู่แบบนั้นน่ะเหรอ"
"คุ้มจะตาย ตัวคุณหอม" สิบแต้มให้โชซึงยอน คนหน้าสวยเงียบไปชั่วขณะ
"ลุกเถอะ ผมหิวแล้ว" ซึงอูตอบพลางขยับตัวออกจากอ้อมกอด ชายหนุ่มตาเรียวอมยิ้มกับสิ่งที่เห็น ถึงอีกคนจะพยายามเก็บซ่อนอาการเอาไว้แค่ไหน แต่ใบหูที่แดงเถือกของเจ้าตัวก็บอกทุกอย่างให้เขารู้อยู่ดี
9
ซึงอูอาสาเดินไปส่งอีกคนที่สถานีรถไฟหลังจากทั้งคู่ทานมื้อเช้าเสร็จ—แค่ขนมปังปิ้งหนึ่งแผ่นกับกาแฟดำหนึ่งถ้วยเหมือนกับมื้อเช้ามื้อก่อนๆที่ซึงยอนเคยทาน เพียงแต่ดูเหมือนว่าขนมปังจืดๆและกาแฟขมๆในเช้านี้จะทำให้เขาอารมณ์ดีมากกว่าเช้าอื่นๆ
"ผมจะได้เจอคุณอีกไหม"
"คุณไม่อยากเจอผมอีกครั้งหรอก"
"ผมอยากเจอ"
ประโยคนั้นทำให้ซึงอูสะดุดกึก
"คุณคงไม่ได้คิดถึงอะไรจริงจังอยู่หรอกใช่ไหม"
"ไม่ได้หรือ"
“...”
ก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้ ซึงอูคิดในใจ แต่ถ้าให้นึกถึงความเป็นจริง ซึงยอนไม่คิดว่าตัวเองและเขาอยู่ในจุดที่แตกต่างกันเกินไปหรือ เขาเป็นคนร่ำรวย มีอาชีพการงานใหญ่โต ฐานะทางสังคม และอีกหลายสิ่งที่คนอย่างฮันซึงอูไม่มีวันมีได้ ในขณะที่เขาก็เป็นแค่เพียงเขา เป็นแค่ฮันซึงอู ฮันซึงอู ที่ไม่มีอะไรเลย
"ผมไม่สนอดีตของคุณ ผมสนแค่ตอนนี้"
"ให้โอกาสผมได้ไหม"
“เราเพิ่งเจอกันแค่สองครั้ง”
“แต่คุณติดอยู่ในหัวผมมาห้าปีแล้วฮันซึงอู”
“ผมไม่เคยลืมหรอกว่าผมชอบตัวเองแค่ไหนตอนอยู่กับคุณ”
“ถึงมันจะแค่แป๊บเดียวก็เถอะ”
“เพราะเมื่อคืนยิ่งทำให้ผมแน่ใจ”
“ผมชอบคุณจริงๆนะ”
ซึงอูเผลอกลั้นหายใจขณะที่ฟังประโยคพวกนั้น รู้สึกเหมือนเด็กหนุ่มที่กำลังถูกรุ่นพี่ที่แอบชอบมาห้าปีสารภาพรัก โชซึงยอนไม่รู้ความจริงข้อหนึ่ง ที่ว่าตัวเองไม่ใช่ฝ่ายเดียวที่ยังลืมเหตุการณ์และความรู้สึกในวันนั้นไม่ได้ เพราะตัวของซึงอูเองก็ยังคงจำรายละเอียดของทุกสิ่งทุกอย่างในวันนั้นได้เช่นกัน
ในใจยังคงลังเล ทั้งไม่รู้ว่าสิ่งที่ซึงยอนพูดมันจริงอย่างที่ว่าหรือเปล่าและทั้งความกังวลในอะไรต่อมิอะไร
แต่มันก็คงจะไม่แย่ขนาดนั้นหรอก ใช่ไหม
"เอามือถือมา"
"..."
"ยังจะมาทำหน้างงอีกตาทึ่ม เอามือถือมาสิ"
"..."
"นี่เบอร์ผม"
"..."
"โทรมาแล้วกัน"
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in