Notes : big inspired by Pretty woman (1990)
พี่ซึงอูเป็น Hooker (คนขายบริการ) นะคะ
เรื่องราวทั้งหมดเป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน ไม่มีความเกี่ยวข้องกับตัวศิลปินหรือความเป็นจริงใดๆทั้งสิ้น
1
21.12
เหนื่อยเป็นบ้า
นั่นคือความรู้สึกของชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนรถพอร์ช 944 สีแดงสดที่กำลังเคลื่อนตัวไปอย่างไร้จุดหมายในตอนนี้ เขาไม่รู้ว่าเขาควรจะไปที่ไหน การทำงานในวันนี้เหมือนดูดพลังของเขาจนเกือบหมด เหนื่อย เหนื่อยมากจริงๆ
ไอ้ที่กล่าวกันนักว่าชีวิตเขาน่ะเพอร์เฟกนักหนา เพราะมีทั้งบ้านหลังใหญ่ รถราคาแพง(ซึ่งซึงยอนไม่นิยม) เงินจำนวนมากที่ไม่รู้ว่าชาตินี้จะใช้หมดได้ยังไง หน้าตาอันหล่อเหลา อีกทั้งฐานะทางสังคมที่ไม่ว่าจะไปที่ไหนคนเขาก็จะรู้จักและให้ความเคารพนับถือกันไปหมด
โชซึงยอน ผู้ชายที่ดูจะมีทุกอย่าง แต่หารู้ไม่ว่าภายใต้ชีวิตอันดูแสนจะเพอร์เฟกของเขากลับมีช่องโหว่ขนาดใหญ่ และไม่มีใครเลยที่จะรู้ถึงความลับของเขาข้อนี้
ความรักยังไงล่ะ
เขาเกิดมาในครอบครัวที่ร่ำรวย อยากได้อะไรก็เพียงแค่เอ่ยออกมา พ่อและแม่ไม่เคยทำให้เขาได้รู้ว่าการถูกปฏิเสธมันเป็นอย่างไร อย่างน้อยก็ในความคิดของพวกท่าน แต่อันที่จริงแล้วสิ่งที่พ่อและแม่ทำ คือการปฏิเสธคำขอของเด็กชายตัวเล็กๆคนนี้มาโดยตลอด
‘แม่ครับ วันนี้ผมมีอะไรจะอวดแม่ด้วย กลับมาทานข้าวที่บ้านนะครับ’
‘พ่อครับ พรุ่งนี้ผมลงฟุตบอลด้วย โค้ชบอกว่ารอบนี้ไม่ต้องไปนั่งข้างสนามแล้วเพราะเควินเจ็บ พ่อไปดูได้มั้ยครับ’
‘แม่ครับ พรุ่งนี้มีงานวันแม่ด้วย อยากอวดแม่บ้างจัง ผมไม่อยากไปอยู่กับเจนเนตแล้ว’
‘พ่อครับ ร้านโจนส์มีแพนเค้กอันใหม่ด้วย วันเกิดปีนี้ผมไม่เอากันดั้มก็ได้ แต่พ่อพาผมไปทานทีนะครับ’
‘ขอโทษนะซึงยอน แม่ต้องบินไปบาหลีสองสามอาทิตย์น่ะลูก ไว้ค่อยอวดตอนเราเจอกันนะ’
‘พ่อติดประชุมน่ะซึงยอนอ่า เดี๋ยวพ่อส่งเอ็ดดี้ไปแทนนะ ตั้งใจแข่งเข้าล่ะ’
‘แม่ขอโทษนะที่รัก พรุ่งนี้แม่มีนัดทานข้าวกับคุณจอห์นสัน แม่ของลิซซี่น่ะลูกจำได้ไหม ให้ป้าโดโรธีไปแทนแล้วกันนะลูก’
‘พ่อกลับหลังวันเกิดลูกนิดหน่อย ถ้าไม่ติดอะไร พ่อจะพาลูกไปนะ แต่ยังไงก็รับของชิ้นนี้ไว้เถอะ สุขสันต์วันเกิดนะลูก’
จนถึงตอนนี้ ผลสอบคณิตศาสตร์ 28/30 ของเขาก็กลายเป็นแค่กระดาษโง่ๆหนึ่งใบที่เขาเคยคิดว่ามันจะทำให้แม่ภูมิใจ ลูกเตะฟรีคิกที่ทำให้ทีมชนะของเขา พ่อก็ไม่เคยได้เห็น จนจบเกรด 6 เก้าอี้ของเขาภายในห้องก็ไม่เคยมีสักครั้งที่แม่จะเป็นคนได้นั่ง ร้านโจนส์ที่เปิดกิจการมานานก็ปิดตัวลงทั้งๆที่เขายังไม่มีโอกาสได้ไปกินแพนเค้กที่นั่นกับพ่อสักครั้ง
2
เขาขับรถตรงไปเรื่อยๆจนไปถึงย่านที่มีไฟแสงสีเล็ดลอดออกมาจากข้างทางและแรงสั่นสะเทือนจากเพลงที่ถูกเปิดจนดังกระหึ่ม เหล่าคุณตัวมากหน้าหลายตายืนเรียงรายตามข้างถนน โบกไม้โบกมือเรียกร้องความสนใจกันยกใหญ่ ยิ่งเห็นว่าเขาแต่งตัวดูมีภูมิฐานและด้วยหน้าตาที่จัดว่าค่อนข้างหล่อเหลาก็ยิ่งทำให้พวกเธอระริกระรี้
ซึงยอนชะลอรถเพื่อดูว่าจะมีคนไหนพอที่จะช่วยให้เขาผ่านคืนอันเหนื่อยล้านี้ไปได้หรือไม่และปรากฏว่าเหล่าคุณตัวเหล่านั้นไม่อยู่ในตัวเลือกของเขาเลยสักคนเดียว จนกระทั่งตาคมไปสะดุดกับร่างของใครคนหนึ่งภายใต้แสงไฟจากเสาไฟต้นสูงที่อยู่ถัดจากแก๊งสาวๆนั่นไปประมาณห้าเมตร
เขาเป็นผู้ชายตัวสูง ใส่เสื้อเชิ้ตสีดำและกางเกงสกินนี่ยีนส์ขาดๆ ผมของเขาถูกเซ็ตขึ้นเผยให้เห็นหน้าผากมนๆและดวงหน้าที่หล่อราวกับรูปสลักได้ชัดเจนมากขึ้น ดูดีจนไม่เหมือนคนทำอาชีพแบบนั้น ซึงยอนแอบคิด เขายืนล้วงกระเป๋า ในปากคาบบุหรี่ไว้หนึ่งมวน ใบหน้าหล่อเผยยิ้มออกมาทันทีเมื่อเห็นซึงยอนชะลอรถก่อนจะจอดเทียบไว้ตรงหน้าแล้วลดกระจกลงจนสุด
เขาคายบุหรี่ทิ้ง ใช้เท้าที่สวมรองเท้าผ้าใบขยี้ให้ไฟที่ปลายมันมอด เดินเข้ามาหาอย่างรู้หน้าที่ แขนทั้งสองข้างเท้าไว้กับประตูรถก่อนจะเริ่มบทสนทนา
“ไงครับ” เขาถาม เล่นหูเล่นตาไม่หยุดหย่อน ซึงยอนว่ามันน่ารำคาญ แต่ในขณะเดียวกันมันก็ดูตลกดี
“ทั้งคืนคุณคิดเท่าไหร่” ชายหนุ่มเอ่ยถามพร้อมกับสบตาคู่นั้นไปด้วย คนตรงหน้าทำหน้าเหลือเชื่อ ก่อนจะทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าไม่ควรจะทำ เขากระแอมหนึ่งทีก่อนจะตอบกลับมา
“ผมค่าตัวแพงนะ”
“ผมมีปัญญาจ่ายแล้วกัน”
คนที่ค้ำกระจกรถอยู่ยังคงทำหน้าเหมือนไม่เชื่อว่าอีกคนจะมีเงินมากขนาดนั้น เขาชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง แต่ยังไม่ทันจะได้เสนออะไรกลับไปก็ถูกอีกคนพูดขึ้นมาตัดความคิดเสียก่อน
“หมื่นนึง อยู่กับผมคืนนี้”
บ้าไปแล้ว
ไอ้หมอนี่บ้าไปแล้วแน่ๆ
นั่นมันราคาระดับ high-end เลยนะ
ไม่สิ มากกว่าอีก
แต่เขาก็คงจะบ้ามากๆเหมือนกัน ถ้าปฏิเสธข้อเสนอนี้
“ตกลง”
3
เขาตัดสินใจขึ้นมานั่งบนรถของอีกคนทั้งๆที่ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าคนตรงหน้าจะมีกำลังจ่ายตามที่พูดไว้หรือเปล่า แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรฮันซึงอูจึงไม่ได้มีความรู้สึกว่าเขากำลังทำการตัดสินใจที่ผิด
คนข้างๆเจ้าของที่นั่งคนขับทำหน้าเคร่งเครียดเหมือนมีเรื่องอยู่ในใจ ซึงอูคิดว่าเขาควรจะช่วยให้อีกคนผ่อนคลาย แต่ให้ตาย บรรยากาศตอนนี้มันน่าอึดอัดเป็นบ้า
เขาต้องพูดอะไรสักอย่าง
“คุณพักที่ไหนเหรอครับ” ตัดสินใจรวบรวมความกล้าแล้วถามออกไป เขารู้สึกว่าระหว่างเรามันเงียบมานานเกินไปแล้ว ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกหายใจไม่ออก เหมือนคนถูกถามจะรู้สึกได้ถึงสิ่งเดียวกัน เขาพรูลมหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับมาๆในขณะที่ตาทั้งสองข้างยังคงมองตรงไปยังถนนข้างหน้า
“ปีแอร์ ฟิฟท์อเวนิว ”
ซึงอูเผลอกลืนน้ำลายอึกใหญ่
ท่าทางหมอนี่จะไม่ใช่เล่นๆแล้ว
ก็ไอ้ชื่อที่เพิ่งพูดน่ะ
มันชื่อโรงแรมที่เพนท์เฮาส์ราคา 40 ล้านเหรียญไม่ใช่หรือไง
“คุณชื่ออะไร” เป็นคนขับที่ถามกลับบ้าง สารภาพตามตรงว่าตอนนี้ซึงอูหายใจติดขัดมากกว่าเดิมอีก เขาประหม่าอย่างห้ามไม่ได้ ไม่เคยคิดเคยฝันว่าคนในระดับนี้จะไปหาคุณตัวแถวย่านนั้นมาบำเรอตัวเอง แถมยังยอมจ่ายเงินก้อนใหญ่ให้กับคนระดับล่างๆแบบเขา
“คุณอยากให้ผมชื่ออะไรล่ะ” ซึงอูถามพร้อมกับเล่นหูเล่นตา (อีกแล้ว)
คนถูกถามไม่ตอบ แต่เขากลับหันหน้ามามองคนข้างๆตรงๆแทน โอเค คำถามนี้คงไม่เวิร์คสำหรับเขาสินะ ซึงอูเผลอทำหน้าเบื่อโลกก่อนจะบอกชื่อจริงๆของตัวเองกลับไป
“ซึงอู ผมชื่อซึงอู”
“ผมซึงยอน”
ซึงยอนชะลอรถเล็กน้อยก่อนจะหักเข้าจอดบริเวณหน้าโรงแรมหรู คนข้างๆมองตึกตระหง่านตรงหน้าด้วยความตื่นตาตื่นใจ ตอนแรกก็นึกว่านายคนนี้มันขี้โม้ แต่จริงๆแล้วที่เขาพูดมันจริงทั้งนั้น ทั้งเรื่องที่อยู่ แล้วก็เงินหมื่นนั่นด้วย
“ถึงแล้วล่ะ” ซึงยอนกล่าวก่อนจะปลดล็อคเข็มขัดนิรภัยแล้วเปิดประตูเดินออกไป ซึงอูนั่งตัวแข็ง อาการประหม่ายังไม่หมดไป เขาทำอะไรไม่ถูก โรงแรมนั่นดูดีจนทำให้เขาไม่กล้าเข้าไปย่างกราย
เขายังคงนั่งอยู่บนรถ แต่ไม่นานก็รับรู้ได้ถึงเงาสูงใหญ่ที่มาหยุดตรงข้างๆประตูฝั่งเขา ก่อนประตูบานนั้นจะถูกเปิดจากด้านนอก
“ทำอะไรอยู่ล่ะ ลงมาสิ”
“ผม ....”
“มันจะไม่เป็นไร มากับผม” มือหนาถูกส่งมาข้างหน้า ซึงอูลังเลเล็กน้อยแต่ในที่สุดก็ยอมจับตอบรับก่อนจะพาตัวเองออกไปนอกรถ
ก็ไม่ปฏิเสธหรอก
ได้มือหมอนี่มากระชับไว้ก็อุ่นใจขึ้นเยอะ
4
ห้องของซึงยอนอยู่ที่ชั้น 24 มือของเขายังคงกุมไว้กับมือข้างขวาของซึงอู เจ้าของมือบางไม่กล้าพอที่จะกระตุกมือออกจึงยอมปล่อยให้อีกคนจับอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งเมื่อเราเดินมาถึงยังหน้าห้องของเจ้าตัว เขาจึงยอมปล่อยแล้วใช้มือข้างนั้นกดรหัสเพื่อปลดล็อคประตู ซึงอูแอบพรูลมหายใจเบาๆ
ประตูถูกเปิดออกเผยให้เห็นสภาพห้องภายใน ทันทีที่ซึงอูเห็น ประโยคเดียวที่โผล่ขึ้นมาในหัวคือ โอ้ พระ เจ้า เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมมันถึงแพงนักหนา
เฟอร์นิเจอร์ในห้องคุมโทนสีขาวดูสะอาดตาตัดกับพรมสีดำ ข้าวของในห้องถูกจัดไว้อย่างเป็นระเบียบ ห้องของซึงยอนมีลักษณะคล้ายกับบ้านเล่นระดับ ตรงโถงห้องนั่งเล่นมีบันไดขึ้นไปยังห้องอะไรไม่รู้เล็กๆแคบๆข้างบน แต่ชั้นล่างมีห้องทั้งหมดสามห้อง ขอเดาว่าห้องที่ประตูสีดำปิดสนิทนั้นคือห้องนอน ส่วนห้องที่ประตูแง้มไว้เผยให้เห็นพวกโต๊ะ คอมพิวเตอร์ และกองเอกสารมากมายนั่นคือห้องทำงาน ส่วนอีกห้อง ซึงอูเหลือบไปเห็นพวกกองหนังสือเป็นตับๆ วางอยู่ภายใน คงจะเป็นห้องเก็บหนังสือ ไม่ก็ห้องเก็บของละมั้ง
ใช้สายตาสำรวจเพลินจนลืมไปว่าเจ้าของห้องก็อยู่ที่นี่ด้วยเหมือนกัน เมื่อนึกขึ้นได้ซึงอูจึงพยายามมองหา ก่อนจะหันไปพบว่าอีกคนที่กำลังใช้มือปลดเน็กไทและกระดุมเม็ดบนสองสามเม็ดออกเผยให้เห็นเนินอกวับๆแวมๆพลางเดินไปยังตู้เย็นเพื่อเอาขวดแก้วสีเขียวทึบออกมา
“คุณดื่มอะไรไหม ไวน์นี่ หรือเบียร์ หรือชา หรือน้ำเปล่า”
“คุณมีวิสกี้ไหม” เสนอมาให้ตั้งหลายอย่าง แต่ดันไม่มีสิ่งที่เขาต้องการซะนี่
“ผมไม่ค่อยถูกจริตกับวิสกี้น่ะ”
“ถามจริง”
“อือ ผมไม่ชอบ”
“งั้นเบียร์สักขวดก็ได้”
“โอเคครับ”
ซึงอูเดินตัวปลิวพาตัวเองไปสำรวจยังบริเวณระเบียง ระเบียงไม่ได้กว้างอะไรขนาดนั้น แต่ก็มีพื้นที่พอให้เก้าอี้สองตัวและโต๊ะอีกหนึ่งตัววางได้พอดี ตึกตระหง่านที่ถูกเปิดไฟไว้ตลอดเวลาถูกตั้งเรียงรายมากมายเห็นได้จากระดับสายตา ถ้ามองลงไปข้างล่างก็จะเห็นไฟสีส้มจากเสาไฟสลับกับไฟสีแดงและขาวจากรถราที่แล่นไปมาตามท้องถนน จากมุมนี้ นิวยอร์กซิตี้มันก็สวยดี
ช่างผิดกับที่ที่เขาอาศัยอยู่ในตอนนี้เสียเหลือเกิน
เขายืนค้ำระเบียงมองภาพตรงหน้าพลางคิดอะไรเรื่อยเปื่อยสักพัก ก่อนซึงยอนจะเดินตามออกมาพร้อมกับเบียร์สองขวดในมือทั้งสองข้าง
“อ้าว แล้วไวน์คุณล่ะ”
“เห็นคุณจะดื่ม ก็เลยอยากดื่มบ้าง”
“อ๋อ” ขวดแก้วสีดำบรรจุของเหลวสีอำพันขวดหนึ่งถูกยื่นมาตรงหน้า ซึงอูพยักหน้าเป็นเชิงขอบคุณเล็กน้อยก่อนจะรับมาแล้วยกดื่มไปหนึ่งอึก
“โห โคตรดี”
“ใช่ไหมล่ะ ผมก็ชอบเหมือนกัน” ซึงยอนยกขึ้นดื่มบ้างก่อนจะลดขวดลงแล้วหันมายังอีกคน
“อะไร จะชนเหรอ”
“ครับ ชนหน่อย” เขาตอบก่อนจะยื่นขวดมาข้างหน้า ซึงอูจึงยอมยกขวดของตนเองเข้าไปกระทบของอีกคนจนเกิดเสียงดังแกร๊ง
“แด่ อะไรไม่รู้ แด่คุณละกัน” ชายหนุ่มตัวขาวพูดพร้อมกับหัวเราะแก้เขิน เขาไม่รู้จะอวยพรอะไรดี ก็อวยพรคนตรงหน้าไปแล้วกัน
“ขอบคุณครับ”
5
ตอนนี้เวลาล่วงเลยมาจนเกือบจะตีสองแล้ว แต่ระหว่างทั้งคู่กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยนอกจากดื่มเบียร์และฟังซึงยอนเล่านู่นเล่านี่เหมือนกำลังพยายามปรับทุกข์อยู่ คงเพราะฤทธิ์แอลกอฮอลล์ด้วยล่ะมั้งถึงทำให้อีกคนยอมพูดหมดเปลือกขนาดนี้
“ผมล่ะโคตรไม่เข้าใจ ทำไมต้องมาคอยเอาอกเอาใจผมด้วย เขาไม่รู้ตัวหรือยังไงว่าที่ทำอยู่น่ะมันแสดงเจตนาชัดเจนขนาดไหน ทำไมไม่มีใครจริงใจกับผมเลยวะ”
ซึงยอนกำลังเล่าถึงหลายคนที่พยายามมาตีสนิทกับเขา เขาดูออกหมดว่าพวกเขาทำสิ่งเหล่านั้นไปเพื่ออะไร มันไม่ได้จริงใจ คนพวกนั้นต้องการสิ่งตอบแทน และนั่นทำร้ายความรู้สึกซึงยอนเอามากๆ ซึ่งฟังจากน้ำเสียงแล้ว ซึงอูเชื่อว่านั่นคือความจริงทั้งหมด
“ผมแค่อยากถูกรักบ้าง”
ชายหนุ่มเอ่ยก่อนจะฟุบหน้าลงกับราวระเบียง แผ่นหลังนั้นเริ่มสั่นไหวทำให้ซึงอูรู้ได้ทันทีว่าตอนนี้อีกคนกำลังร้องไห้
นี่เขาไม่ได้เตรียมใจมาพบอะไรแบบนี้จริงๆ นะ
ซึงอูเพิ่งคิดอะไรออก เขารู้แล้วว่าตอนนี้ควรทำอะไร ซึ่งมันเป็นสิ่งที่เขาควรจะต้องทำที่สุดในคืนนี้
ขาเรียวก้าวเข้าไปประชิดก่อนจะใช้มือลูบหลังเพื่อปลอบโยนอีกคนเบาๆ
“ผมไง ให้ผมรักคุณนะ” เขาเอ่ยพลางใช้สองแขนกอดร่างหนาจากด้านหลังแล้วซบใบหน้าลงกับแผ่นหลังที่กำลังขยับขึ้นลงด้วยแรงสะอื้น
“คุณรักผม เพราะผมจ่ายคุณ” คำพูดของซึงยอนทำเอาซึงอูคิ้วกระตุกเล็กๆ แต่ก็คงเป็นเพราะเมาเลยพูดอะไรโดยไม่ได้กรองก่อน ที่ซึงยอนพูดมันก็จริงอยู่ แต่หลังจากที่ฟังเรื่องราวของอีกคน ซึงอูก็ดันรู้สึกอยากจะ ‘รัก’ ซึงยอนให้ได้มากที่สุดเท่าที่สถานะแบบเขาจะทำได้ และมันก็คงจะเป็นวิธีนี้
“มันก็จริงส่วนหนึ่ง อย่างน้อยให้ผมได้ช่วยคุณให้ผ่านคืนนี้ไปเถอะนะ” ซึงอูพยายามเล้าโลม เขาไม่ชอบเห็นคนเศร้า มันทำให้เขาพลอยรู้สึกไม่ดีไปด้วย เขาเพิ่งจะรู้ก็วันนี้ว่าคนแบบซึงยอน ซึ่งควรจะเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลก กลับกลายเป็นคนที่มีรอยแผลในชีวิตเยอะเอามากๆ เยอะยิ่งกว่าเขาเสียอีก
"คุณไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้"
"Please..."
มือหนาจับมือที่ประสานกันไว้ตรงหน้าท้องของตัวเองก่อนจะแกะมันออกแล้วหันไปเผชิญหน้ากับอีกคนตรงๆ
“ให้ผมช่วยคุณเถอะนะ คุณเหนื่อยมา—” ยังพูดไม่ทันจบ คนตัวขาวก็ถูกตัดบทด้วยริมฝีปากของอีกคนที่โน้มลงมาทาบทับแบบไม่ทันได้ตั้งตัว เอื้อมลงไปช้อนต้นขาของอีกคนขึ้นจนร่างบางลอยหวือจากพื้นพลางเดินไปยังโซฟาตัวยาวภายในห้องนั่งเล่น เขาวางคนในอ้อมอกลงกับเบาะนุ่มก่อนจะโถมตัวเข้าใส่ สร้างกำแพงด้วยแขนทั้งสองข้างจนทำให้ทั้งตัวของซึงอูอยู่ภายใต้ร่างกายของเขา
“ถุงยางผมอยู่ในห้องนอน”
ร่างสูงกำลังจะเดินไปยังสถานที่ดังกล่าวเพื่อไปเอาของจำเป็น แต่ยังไม่ทันได้ออกเท้าสักก้าวก็ถูกมือคนที่นอนอยู่รั้งไว้เสียก่อน
“ไม่เชื่อใจกันเหรอ”
“....”
“ผมปลอดภัย คุณเชื่อใจผมได้”
"..."
"มีไม่กี่คนหรอกที่เขามีจ่าย"
“แล้วคุณโอเคหรอ”
“อือ ผมชอบคุณนะ”
“โอเค”
6
ซึงอูเป็นฝ่ายรู้สึกตัวก่อน ไออุ่นที่โอบล้อมร่างกายทำให้รู้ว่าตอนนี้ร่างกายของเขากำลังถูกคนแปลกหน้าโอบกอดไว้จนแทบจะจมอก
ซึงอูไม่ได้รู้สึกแปลกใหม่อะไรกับการมีเซ็กส์กับคนแปลกหน้าเพราะมันเป็นอาชีพของเขา แต่ในครั้งนี้มันกับรู้สึกแตกต่างออกไปด้วยความรู้สึกที่เขาเองก็อธิบายไม่ถูกว่ามันคืออะไร
หลังจากเสร็จกิจในหลายๆครั้งที่ผ่านมา ความรู้สึกที่เกิดขึ้นมักจะเป็นความรู้สึกทื่อๆ ไม่ได้สมเพชหรือรังเกียจตัวเอง มันเป็นความรู้สึกทื่อๆเหมือนเส้นตรง แค่แอบดีใจเล็กๆที่จะได้เงินไปสนองความต้องการต่างๆ ซึ่งช่วงเวลาเหล่านั้นเป็นชั่วครู่หนึ่งที่ทำให้ชีวิตที่ไม่มีอะไรเลยของฮันซึงอูดูมีประกายเล็กๆของสิ่งที่เรียกว่า 'ความสุข' ขึ้นมาบ้าง
เขาไม่ค้างกับลูกค้าเว้นเสียแต่ยอมจ่าย ซึงอูจะไม่ยอมเสียแม้กระทั่งหนึ่งวินาทีในชีวิตไปฟรีๆกับคนพวกนั้น แต่ในตอนนี้
เขากลับอยากให้เวลามันเดินช้าลง
"ตื่นนานแล้วหรือยัง" เสียงที่ดังขึ้นทางด้านหลังให้คนหน้าสวยเผลอสะดุ้งเล็กน้อย แอบใจเต้นอยู่หน่อยๆที่แม้อีกคนจะรู้สึกตัวแล้วแต่ก็ยังไม่ยอมคลายอ้อมกอด
"เมื่อกี้นี่เอง"
"อ๋อ โอเค" ชายหนุ่มกล่าวพลางกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นทำให้คนถูกกอดใจเต้นแรงเสียยิ่งกว่าเดิม
อะไรกันเนี่ย
"เอ่อ คุณ ไม่ต้องไปไหนเหรอ" ซึงอูถามพลางพยายามควบคุมเสียงตนเองไม่ให้สั่นจนถูกจับได้ หัวใจเขาเต้นไม่เป็นส่ำ ใบหน้าร้อนฉ่าจนรู้สึกราวกับว่ากำลังจะระเบิด
"จริงๆก็ต้องไป แต่ขออยู่แบบนี้อีกพักหนึ่งได้ไหม"
"...."
"หรือหมดเวลาของผมแล้วเหรอ"
"..."
"โอเ—"
"อือ ตามใจคุณเถอะ"
:-)
7
"หมื่นนึงของผมได้แค่ 9 ชั่วโมงของคุณเองเหรอ"
"ก็บอกแล้วค่าตัวผมแพง"
"อือ ผมเชื่อแล้วล่ะ"
"ผมล้อเล่น ขอแค่ค่าแท็กซี่ก็พอแล้ว"
"ได้ยังไง ไม่ได้หรอก"
"ได้สิ"
"คุณนอนกับผม"
"ผมเต็มใจให้ ไม่เป็นไร"
"แต่.."
"ให้ผมเป็นสักสิ่งที่คุณซื้อได้โดยไม่ต้องใช้เงินได้ไหม"
"..."
"มันดีมาก ผมชอบนะ"
"..."
"มองหน้าผมอยู่นั่นแหละ เอาค่าแท็กซี่มาได้แล้ว"
.
"คุณแน่ใจนะ"
"อือ"
.
"ขอบคุณมากๆนะ สำหรับทุกอย่าง"
"ด้วยความยินดี"
"ผมจูบคุณอีกทีได้ไหม"
"พอได้แล้ว"
"แน่ใจว่าไม่ให้ไปส่ง"
"ไม่ล่ะ กลับเองดีกว่า"
"โอเค"
"ลาก่อน"
"ลาก่อนครับ"
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in