วันนี้พวกเรามีโปรแกรมไปพระราชวังต้องห้ามด้วยรถไฟใต้ดิน สถานี Dongsi เป็นสถานีที่ใกล้โรงแรมมากที่สุด (500 เมตร) แต่เพราะโรงแรมที่พักตั้งอยู่บนถนน Wangfujing ซึ่งเป็นถนนสายช้อปปิ้ง เลยตกลงกันว่าจะเดินไปขึ้นรถไฟที่สถานี Wangfujing แทน (2 กิโล) จะได้ไม่ต้องเปลี่ยนสถานี และได้เดินดูของ+หาข้าวเช้ากินด้วย
(ถนน Wangfujing)
ไปๆ มาๆ ข้าวของไม่ได้ดูหรอกค่ะ เพราะร้านค้าส่วนใหญ่ยังไม่เปิดกัน ข้าวเช้าก็ซื้ออะไรง่ายๆ จากมินิมาร์ทข้างๆ โรงแรมเดินไปกินไปเรื่อยเปื่อย จนกระทั่งได้มาพบกับเจ้าถิ่น ยกมือไหว้ อุ๊ย! ไม่ใช่...ยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูปแทบไม่ทัน บอกแล้วติ่งวงดังมันดีอย่างนี้ สามารถพบหน้าเขาได้ตามถนน หนทาง และป้าย LED
(เข้าใจว่าเป็นโปรเจคที่บ้านแฟนคลับทำให้เชียนซี)
ยืนดู VTR ฉายวนสลับกับโฆษณาอื่นๆ ได้ไม่กี่รอบ ก็ต้องตัดใจมุ่งหน้าสู่พระราชวังต้องห้าม (กู้กง) พระราชวังที่มีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมมากที่สุดในโลก ปกติหน้าร้อนของจีนอาจมีฝนตกด้วย แต่วันนี้ท้องฟ้าแจ่มใส หมอกควันไม่มี มลพิษน้อยตามไปด้วย ถึงอากาศจะร้อนแต่คนต้องเยอะแน่ๆ
(ตั๋วเข้าชมราคา 60 หยวน)
(พระราชวังต้องห้าม ยิ่งใหญ่อลังการสมคำเล่าลือ)
ก่อนที่จะมาเที่ยวปักกิ่ง น้องสาวของเราที่เคยมาเที่ยวที่นี้แล้วได้พูดกรอกหูว่า "นี่เธอ เข้าวังแล้ว ให้เธอไปซื้อที่คาดผมนะ แบบที่พวกบรรดานางในของราชวงศ์ชิงใส่กันน่ะ มีขายแถวๆ ประตูทางเข้า ซื้อแล้วใส่เดินเที่ยววังได้เลย"
อีนี่เชื่อค่า จัดแจงซื้อกันคนละอัน อันละ 10 หยวน ปรากฏว่าพอใส่แล้วเป็นเรื่องทันที เพราะถูกมองตั้งแต่เข้าวังยันออกจากวัง เพราะมันเด่นมากกก ประมาณว่าคนเยอะแค่ไหนก็ไม่มีทางหลง มองหาที่คาดผมเข้าไว้เดี๋ยวก็เจอ คือรู้แล้วละว่าทำไมร้านถึงแขวนที่คาดผมเอาไว้แอบๆ เพราะคนที่มาเที่ยวคงไม่ค่อยใส่ซื้อใส่กันนั่นเอง แต่ในเมื่อซื้อไปแล้ว ใส่ไปแล้ว จะถอดออกเดี๋ยวเขาหาว่าไม่เซลฟ์ ถ่ายรูปออกมาก็ดูสวยดี งั้นใส่ประดับหัวต่อไปละกัน
ที่ฮากว่านั้นคือ เดินไปเดินมา ถูกคนจีนนี่แหละ ทักตลอดทาง ไม่ต่ำกว่า 10 คน ถามว่า "ซื้อมาจากไหน?" ถามเยอะเข้าๆ ความมั่นใจเลยเต็ม Max โฮ่ๆ พวกช้านใส่แล้วสวยใช่มั้ยล่ะ อยากได้ขึ้นมาบ้างแล้วล่ะซี่? นึกอยากจะเดินกลับไปหาลุงคนขายเพื่อขอค่าคอมมิชชั่นชะมัด
(เหล่าสนมพร้อมแล้วเพคะ ฝ่าบาท)
(นี่ก็เป็นสนมกับเขาเหมือนกันใช่มั้ย)
ตอนที่น้องหมิวควักวิเชียรขึ้นมาใส่ที่คาดผมถ่ายรูปบ้าง แอบได้ยินเสียงกรี๊ดกร๊าดจากด้านหลัง สังเกตเห็นสาวๆ กลุ่มนึง ในตัวมีพร็อพ TFBOYS ประดับอยู่ด้วย เดาว่าคงเป็นโคลเวอร์ต่างถิ่นที่มางานครบรอบ แล้วถือโอกาสมาเที่ยวพระราชวังต้องห้ามด้วยเหมือนกัน อือ...เราเข้าใจพวกเธอ วิเชียรน่ารักใช่มั้ยล่ะ
ในการมาเที่ยวพระราชวังต้องห้ามในครั้งนี้ มีมิชชั่นที่ต้องทำอยู่ค่ะ คือตั้งใจจะเอาเสี่ยวหวงตี้มาถ่ายรูปคู่กับบัลลังก์มังกรให้ได้ เอาจริงๆ มันเป็นบัลลังก์ของคนละยุคล่ะนะ ในเรื่อง The Great Wall คาดว่าคงเป็นสมัยราชวงศ์ฉินหรือเก่ากว่านั้น ส่วนพระราชวังต้องห้ามเพิ่งมาสร้างเอาในสมัยราชวงศ์หมิง แต่บัลลังก์มังกรก็คือบัลลังก์มังกร ได้มาส่งเสด็จในครั้งนี้ถือว่ามิชชั่นคอมพลีท ไอ้ครั้นจะให้ไปถ่ายที่กำแพงเมืองจีนสมกับชื่อหนัง นั่นก็ไกลไป ไว้ปีหน้าละกัน
(อากาศร้อนแบบนี้มันต้องกินไอติมเท่านั้น)
เคยอ่านเจอในพันทิป เขาบอกว่าประเทศจีนในยุคปัจจุบัน หลังผ่านการปฏิวัติวัฒนธรรมมาแล้วนั้น "มีแต่ร่างแต่ไร้ราก" เพิ่งจะเห็นจริงกับคำพูดนี้ตอนมาเดินพระราชวังต้องห้ามนี่แหละ คือเป็นวังที่ใหญ่โตโอ่อ่า มีสถาปัตยกรรมที่ชวนตะลึง จนไม่อยากจะเชื่อว่าเทคโนโลยีสมัยนั้นจะสร้างได้ ทว่าข้าวของข้างในคือไม่เหลืออะไรแล้ว ขนาดยอมเสียตังค์เพิ่มอีก 10 หยวน เพื่อเข้าไปดูหอนาฬิกา+หออัญมณี+ฉาก 9 มังกร กลับไม่มีของชิ้นไหนดูแล้วทำให้รู้สึกประทับใจได้เลย ซึ่งจุดนี้พระราชวังแบบไทยๆ ของเรายังดีกว่า ถึงจะไม่ใหญ่โตเท่าเขา แต่เข้าไปแล้วยังมีของจัดแสดงให้ดูเพียบ ไม่ใช่แค่ห้องเปล่าๆ หลายๆ ห้องแบบนี้
ถ้าอยากเห็น "มหาสมบัติแห่งกู้กง" มีทางเดียวคือต้องบินไปดูที่ "พิพิธภัณฑ์แห่งชาติของไต้หวัน" ค่ะ เพราะนายพลเจียงไคเชกขนทุกอย่างที่สามารถขนไปได้ ไปไต้หวันหมดตั้งแต่สมัยสงครามกลางเมืองระหว่างพรรคก๊กมินตั๋งชาตินิยมกับพรรคคอมมิวนิสต์จีน ว่ากันว่าที่นั่นมีโบราณวัตถุกว่า 6 แสนชิ้น มากถึงขนาดต้องเปลี่ยนของจัดแสดงทุกๆ 3 เดือน ถือว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในโลก นี่รอวัน TFBOYS ไปโปรโมทหรือจัดคอนที่ไต้หวัน จะได้ถือโอกาสไปเที่ยวเลย ยิ่งช่วงนี้ไต้หวันยกเว้นวีซ่าให้คนไทยแล้วด้วย
เดินดูนั่นโน่นนี่ไป จนหลุดออกจากกำแพงวังมาถึงสวน Jingshan สวนจำลองที่ฮ่องเต้ราชวงศ์หมิงสั่งให้สร้างขึ้น เพื่อปรับฮวงจุ้ยของพระราชวัง ซึ่งตามหลักต้องมีภูเขาอยู่ทางทิศเหนือ ในเมื่อฮ่องเต้คิดจะสร้างวังบนที่ราบตรงนี้ เฮียแกเลยสั่งไพร่พลให้ขุดดินมาถมเป็นภูเขา บ้าพลังดีไหมล่ะ และบนยอดยังมีศาลาชมวิว ที่สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของพระราชวังต้องห้ามจากด้านบนได้ ควรค่ายิ่งแก่การขึ้นไปชม แต่สารร่างของพวกเราในตอนนั้น อย่าว่าแต่ขึ้นเขาเลย แค่เดินยังขาลาก ร้อนก็ร้อน หิวก็หิว นึกขึ้นได้เมื่อเช้าตอนเดินเล่นที่ถนน Wangfujing มันมี Mcdonalds นี่หว่า เป็นอะไรที่กินได้แน่นอน จึงได้ย้อนกลับไปที่ Wangfujing อีกครั้ง
ตอนที่ไปถึง Wangfujing ก็บ่ายแก่ๆ แล้ว จากที่เคยเงียบเหงาในตอนเช้า คล้อยบ่ายบรรยากาศกลับคึกคักขึ้นมา จนเกือบจะหาที่นั่งในร้านไม่ได้ แต่จะบอกว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกมากที่เลือกแมค เพราะนอกจากจะได้กินเบอร์เกอร์เติมพลังแล้ว ห้องน้ำห้องท่ายังสะอาด มีอ่างน้ำเย็นให้ได้ล้างหน้าเช็ดตัว คืนชีพได้ในพริบตา ตอนที่สติเริ่มกลับมา ทั้งสามคนต่างเห็นชอบให้ไปดูสถานที่จัดงานพรุ่งนี้กันก่อน วันจริงจะได้ไม่หลงทาง
ว่าแล้วก็จับรถไฟจาก Wangfujing ไปที่ Wukesong กัน ซึ่งไกลเอาเรื่อง เพราะอยู่เกือบปลายสายรถไฟเส้นสีแดง ตอนไปถึงสถานี Wukesong มีความงงๆ อยู่นะ เราคาดหวังว่าน่าจะได้เห็นแบนเนอร์โปรโมทวันครบรอบบ้างอะไรบ้าง หรือโฆษณาสินค้าที่ TFBOYS เป็นพรีเซนเตอร์สักตัวก็ยังดี แต่นี่ไม่มีเลยสักอย่าง สถานีนี้มันคงไกลจริงๆ ทั้งสปอนเซอร์ทั้งแฟนคลับเลยไม่อยากเสียตังค์ซื้อพื้นที่โฆษณา เพราะโฆษณาไปก็เหมือนดูกันเอง
สำหรับ LeSports Center ซึ่งเป็นที่จัดงาน หรือชื่อเดิมเมื่อปีที่แล้วคือ MasterCard Center อยู่ห่างจากสถานี Wukesong ประมาณกิโลเศษ เดินตาม google map ไปเรื่อยๆ เห็นเต้นท์สีแดงอยู่ไกลลิบๆ แค่นั้นก็ตื่นเต้นแล้ว
ใกล้เข้าไปอีกนิด
รอบๆ ตัวอาคาร LeSports Center ถูกล้อมรั้วไว้อย่างมิดชิด คนนอกเข้าไปไม่ได้เด็ดขาด เดาว่าตอนนั้นเด็กๆ น่ากำลังซ้อมการแสดงอยู่ข้างใน ส่วนลานว่างข้างๆ นั้น มีเหล่าแฟนคลับเข้าไปจับจองพื้นที่เพื่อเตรียมทำกิจกรรมซัพพอร์ตศิลปินของบ้านตัวเองกันแล้ว ตอนนั้นก็เริ่มผิดสังเกตแล้วล่ะ เพราะเห็นแต่เต้นท์สีแดง มันควรจะมีเต้นท์สีน้ำเงิน สีเขียว และสีส้มด้วยไม่ใช่เหรอ?
สีแดงคือสีประจำตัวของอี้หยางเชียนซี แต่ละบ้านเอาสแตนดี้รูปเชียนซีออกมาตั้งประชันกันสุดฤทธิ์ และยังมีพวกแบนเนอร์ไวนิลที่กางไว้กับพื้นบ้าง แขวนไว้กับเต้นท์บ้างอีกหลายสิบอัน
แม้แต่คาแรกเตอร์ประจำตัวของเชียนซีอย่างนกกระดาษหรือเจ้าแกะ (หยาง) ก็มีแบนเนอร์กับเขาด้วย แบนเนอร์กุหลาบนี่ ตั้งแสดงล่วงหน้าหนึ่งวันแบบไม่กลัวดอกไม้เหี่ยวเลยแฮะ
เดินจนทั่วหาเต้นท์สีอื่นนอกจากสีแดงไม่เจอ เราเองก็เพิ่งมารู้ความจริงทีหลังจากอ่านบทความ "
ความแตกแยกของแฟนคลับ TFBOYS" นั่นแหละว่า แฟนคลับของเชียนซีแต่ละบ้านร่วมมือกันไปเช่าเต้นท์ เช่าโต๊ะเก้าอี้ เอาไว้ล่วงหน้าเกือบเดือน แล้วยังมาจองพื้นเอาไว้ก่อนกลุ่มอื่น ถึงได้เห็นสีแดงเถือกเกือบเต็มพื้นที่แบบนี้ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีบู้ทของสองคนที่เหลือกับบู้ทแฟนคลับวงเลยหรอกนะ
มีค่ะ! แล้วก็เยอะด้วย บู้ทพวกนั้นแทรกตัวอยู่ระหว่างเต้นท์สีแดงนั่นแหละ แต่พอไม่มีเต้นท์เป็นกิจจะลักษณะ ความเด่นเลยสู้ไม่ได้ อันนี้ตัวอย่างบ้านแฟนคลับหวังจุนไคที่กำลังจะเตรียมตั้งบู้ทกันอยู่
ส่วนบู้ทบ้านของหวังหยวนนั้น...ก็เห็นอยู่นะ เป็นแบนเนอร์สีเขียวขนาดยักษ์เลยล่ะ แต่ช่วงที่เราไป เหมือนจังหวะไม่ค่อยดี คือมีกลุ่มแฟนคลับรวมตัวกันอยู่รอบๆ แบนเนอร์ พูดจาล้งเล้ง บรรยากาศมาคุมากจนเราไม่กล้าถ่ายรูป พยายามพูดปลอบใจกันและกันว่า คนจีนเขาก็พูดเสียงดังไปงั้นแหละ
ระหว่างนั้นมีคนเอาเครื่องเสียงมาเปิดเพลง TFBOYS และเพลงโซโล่ของเด็กๆ ทางนี้หาที่นั่งห้อยขาได้พอดี เลยร้องเพลงคลอตาม อากาศเริ่มเย็นแล้ว ลมก็ดี้ดี นั่งชมแม่ๆ จัดบู้ทกันไป
พอนั่งพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ชักเริ่มสงสัยว่า ตกลงเขากำลังแบ่งกลุ่มทะเลาะกันอยู่ใช่มั้ยเนี่ย? เพราะนอกจากกลุ่มที่ยังล้อมกรอบรอบแบนเนอร์น้องหยวนกลุ่มนั้นแล้ว ตรงหน้าเรายังมีอีกคู่เป็นบ้านแฟนคลับเชียนปะทะแม่ค้าที่จะเอาของมาขาย
ตรงนี้ต้องอธิบายหน่อย คนที่เคยเป็นติ่งเกาหลีมาก่อนน่าจะพอคุ้นเคยอยู่บ้าง ปกติเวลามีคอนเสิร์ตใหญ่ของศิลปินเกาหลีที่บ้านเรา จะมีคนไปเช่าพื้นที่ข้างๆ ลานจอดรถของอิมแพ็คเป็นพื้นที่ขายของ ถ้าเป็นพ่อค้าแม่ค้าที่ดูก็รู้ว่าไม่ใช่แฟนคลับ ก็จะขายพวกแท่งไฟบ้าง ป้ายเชียร์บ้าง แต่ถ้าเป็นกลุ่มแฟนคลับ ของที่เอามาขายจะหลากหลายกว่านั้น เป็นสินค้าประเภทแฟนเมด แฟนอาร์ตที่ทำกันเองรวมอยู่ด้วย ปีหลังๆ เริ่มเห็นกลุ่มที่ 3 พวกนี้คือบินจากเกาหลีจากจีน เอาของนำเข้ามาร่วมวงขายกับเขาด้วย ลงทุนขนาดนั้น แสดงว่าการขายของหน้าคอนคงได้เงินเยอะมาจริงๆ แต่ทั้งสามกลุ่มไม่ว่าจะพ่อค้าแม่ค้าอาชีพ พ่อค้าแม่ค้าต่างด้าว และคนที่เรียกตัวเองว่าแฟนคลับ ก็ล้วนมาหน้าคอนเพื่อขายของเหมือนกันหมด ไม่ได้แตกต่าง
ขณะที่จีน การออกบู้ทนอกสถานที่เพื่อสนับสนุนศิลปินของเขานั้น ไม่ได้มีของมาขายค่ะ แต่มีของมาแจก! แจกอะไร เงื่อนไขแบบไหนนั้น ต้องไปติดตามข่าวสารจาก weibo ของแต่ละบ้าน ส่วนสินค้าเกี่ยวกับศิลปินของแต่ละบ้าน ส่วนมากนิยมทำเป็นโฟโต้บุ๊ค เขาจะทำขายกันแค่เฉพาะในเน็ท เพราะงั้นสำหรับแฟนคลับชาวจีนแล้ว การมาออกบู้ทบ้านในงานครบรอบ ต้องมีใจเท่านั้นถึงจะมา
จบการอธิบาย กลับมายังมวยคู่สองระหว่างแฟนเชียนซีกับแม่ค้าที่อยู่ตรงหน้าเราต่อดีกว่า ดูอยู่ตั้งนานคิดว่าเขาคงมีปัญหาเรื่องจองที่นั่นแหละ เพราะโวยวายเสียงดังอยู่ และเหมือนแฟนเชียนจะแพ้ล่ะมั้ง นางเดินอาดๆ ไปที่เสาเต้นท์ตัวเองแล้วหยิบก้อนหินที่ยึดเสาไว้แล้วเขวี้ยงลงพื้นดัง ตุบ!
ตอนที่ได้ยินเสีัยง ปัญญาดิฉันเพิ่งบังเกิด เฮ้ย! นี่ไม่ได้คิดไปเองแล้ว ไอ้ที่ยืนพูดจาเสียงดังเถียงกันเป็นกลุ่มๆ ไม่ต่ำกว่า 3 กลุ่มนั่น คือทะเลาะกันจริงๆ ดูท่าสถานการณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ไม่รู้ว่าใครจะเขวี้ยงอะไรต่อมิอะไรอีกรีึเปล่า ไอ้ที่เขวี้ยงต่อไปอาจจะไม่ลงที่พื้นแต่ไปลงที่หัวใครก็ได้ เพราะงั้นกลับเถอะ! พวกเราบินมาตั้งไกล จำเป็นต้องมีชีวิตให้ถึงวันพรุ่งนี้อีกวันนะ ไม่กินแล้วข้าวยงข้าวเย็น สอยมาม่าไปต้มกินที่โรงแรมดีกว่า
(วันนี้เดินเยอะมาก เลยต้องแช่น้ำร้อนผ่อนคลายกล้ามเนื้อนิดนึง)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in