เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
I Know It's Real, I Can Feel It | TXT Fan Fictionsa week before valentine
Day 1 | #soojun
  • Rating: Teen and Up Audiences

    Archive Warning (s) : None

    Fandom (s) : TOMORROW X TOGETHER

    Categories: M/M

    Relationship: SOOBIN/YEONJUN

    Characters: SOOBIN, YEONJUN



    Work Title: Day 1





    Disclaimer: บทความนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียนเท่านั้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงแต่อย่างใด และไม่มีเจตนาสร้างความเสื่อมเสียแก่บุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงที่ถูกกล่าวถึงใด ๆ ทั้งสิ้น







    Day 1

    SOOBIN/YEONJUN

















    “ผมชอบพี่”

    ตอนที่พูดประโยคนั้นออกไป ชเวซูบินคิดถึงปฏิกิริยาตอบรับหลากหลายรูปแบบจากคนฟัง อาจจะเป็นอาการตกใจ สีหน้าหวาดหวั่น ไปจนถึงรังเกียจ เขาคิดถึงสถานการณ์ที่แย่ที่สุดไว้ก่อนเพื่อกล่อมตัวเองว่าสิ่งที่พูดออกไปคุ้มค่ากับทุกอย่างที่จะได้รับกลับมา ท้ายที่สุดถ้าชเวยอนจุนปฏิเสธและทำทีท่าไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเขาอีก เขาจะจัดการตัวเองให้เร็วที่สุดเพื่อให้เรื่องส่วนตัวนี้ไม่กระทบงาน

    แต่สิ่งที่เขาเห็นตอนนี้แตกต่างจากความเลวร้ายทั้งหมดที่เคยเกิดขึ้นในมโนภาพไปเสียสิ้น

    ถึึงจะดูโง่ไปหน่อย แต่ชเวซูบินพูดประโยคนั้นออกมาตอนที่พวกเขาอยู่ในห้องซ้อมกันลำพังสองคน

    ห้องซ้อมกว้างใหญ่ ฝั่งหนึ่งเป็นกระจกทั้งแถบสะท้อนทุกอากัปกริยาของพวกเขา ชเวยอนจุนนั่งพิงกำแพงอีกฝั่งอยู่กับเขา พอได้ยินคำพูดนั้นที่โพล่งขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย มือที่กำลังยกขวดน้ำขึ้นดื่มก็ชะงัก

    ก่อนที่ชายหนุ่มตรงหน้าเขาจะหลุดยิ้ม

    “…ผมไม่ได้ล้อเล่นนะ”

    ยอนจุนยกน้ำขึ้นดื่มจนสาแก่ใจแล้วปิดฝา ซูบินเห็นนัยน์ตาคู่นั้นเหลือบมองเขาเล็กน้อย

    “ก็รู้”

    “แล้วทำไมพี่ถึงขำล่ะ”

    “ไม่ได้ขำสักหน่อย” ยอนจุนว่า “ก็แค่ อืม นายไม่ใช่คนแรกที่พูดกับพี่แบบนี้หรอก”

    “? ”

    เขาไม่เห็นสีหน้าตัวเอง แต่ยอนจุนมองหน้าเขาแล้วยิ้มบางเหมือนเอ็นดู

    “ที่พูดมานั่นแน่ใจแล้วใช่ไหม”

    “อืม”

    “คิดถึงสิ่งที่จะตามมาจนถี่ถ้วนแล้ว? ”

    “ก็คิดไปถึงว่าถ้าพี่เกลียดผมขึ้นมาผมจะทำยังไง”

    “แล้วฉันจะเกลียดคนที่ชอบฉันทำไมล่ะ” ยอนจุนถอนหายใจ “ซ้อมเสร็จไปหาอะไรกินใกล้ ๆ กันหน่อยไหม อยากคุยด้วย”

    “…ครับ”

    ไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้คืออะไรกันแน่ จริง ๆ แล้วเขาก็ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่า พอบอกชอบชเวยอนจุนแล้วจะเป็นยังไงต่อ เขาไม่ได้คาดหวังให้อีกฝ่ายตอบรับแล้วบอกว่า ‘งั้นเรามาคบกันเถอะ’ แน่นอนอยู่แล้ว สถานการณ์ของพวกเราไม่ได้ง่ายแบบนั้น เขาก็ไม่ได้ไร้เดียงสาขนาดจะไม่เข้าใจโลก แต่สิ่งที่ยอนจุนพูดออกมาทำให้เขาสับสนกว่าเดิม

    “ทำหน้างงแบบนั้น แปลว่าคิดจะบอกเฉย ๆ แล้วก็จบสินะ”

    “…”

    “มักน้อยจังน้า บินอา”

    พูดจบก็ยื่นมือมาหยิกแก้มเขาเบา ๆ แล้วเดินไปยืดตัวต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    ซูบินยกมือขึ้นลูบแก้มตัวเองข้างที่โดนสัมผัสเมื่อครู่ ก่อนจะพรูลมหายใจ

    ก็ทำได้แค่ต้องรอเวลาเท่านั้นแหละ





    เพราะฝนตก สุดท้ายพวกเขาจึงอ้างกับเด็ก ๆ ในวงและผู้จัดการว่าจะอยู่เก็บท่าอีกหน่อยแล้วค่อยกลับหอพัก แล้วก็ขึ้นมานั่งแกร่วกันอยู่ที่โรงอาหารชั้นบนของตึกบริษัท มองทิวทัศน์ของย่านยงซานจากตึกสูงขณะที่กินรามยอนไปด้วย

    ใช่ รามยอน

    ซูบินมองรามยอนตรงหน้าตัวและพี่คนโตของวง เขาไม่ได้มีปัญหากับอะไรแบบนี้ จริง ๆ ก็ทำบ่อยตั้งแต่สมัยเป็นเด็กฝึก พอได้มาอยู่แบบนี้อีกรอบก็คิดถึงยุคนั้นเหมือนกัน เสียแต่ว่าบรรยากาศไม่ใช่ตึกใหม่โอ่โถงแบบตอนนี้

    ก็นะ ตอนนั้นก็ลำบากกว่านี้เยอะ

    “คิดไงมาบอกชอบพี่”

    ยอนจุนโพล่งขึ้นมาไม่มีปี่มีขลุ่ย ซูบินที่กำลังจะคีบรามยอนเข้าปากชะงัก

    เขาเม้มปาก ลอบมองสีหน้าด้านข้างของอีกคนแล้วก็ถอนหายใจ

    “ก็คิดว่าไม่อยากเก็บไว้แล้ว”

    “แปลกดี เป็นสายพุ่งชนเหรอเรา” ยอนจุนว่า “ไม่สิ จะว่าไปก็ไม่แปลกแฮะ ก็สมเป็นซูบิน”

    “ผมดูเป็นแบบนั้นในสายตาพี่เหรอ”

    “อืม” ยอนจุนรับคำ “ก็ดูเป็นประเภทจะไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดมือ”

    “…ฟังดูดีนะ”

    “แล้วคิดว่าบอกแล้วยังไงต่อ”

    คนโดนจี้ถามต่อเงียบไปชั่วขณะ

    “พูดจริง ๆ ก็” เขาหลุบสายตามองหน้าต่างด้านนอก “ไม่ได้คิดว่าต้องยังไงต่อ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเดตอะไรพวกนั้น ไม่มีทางอยู่แล้ว หรือต่อให้พี่รับปากก็คงเป็นเรื่องที่รู้กันอยู่แค่สองคน อึดอัดแย่ ผมทำตัวไม่ถูกหรอก”

    “ก็คือ คิดแค่จะบอกเฉย ๆ แล้วจบไป ถ้าพี่ไม่ชอบนายก็จะไปจัดการตัวเอง แค่นั้นเหรอ”

    “อืม...”

    ยอนจุนพยักหน้ารับ เปิดฝากระป๋องน้ำอัดลมขึ้นมาดื่ม “แล้วคิดบ้างไหมเนี่ยว่าคนฟังเขาจะรู้สึกยังไง”

    “…อ่า...”

    “ใจร้อนกว่าที่คิดนะนายอะ”

    “ขอโทษครับ”

    “ไม่ต้องขอโทษหรอก ก็ไม่ได้ผิดอะไร พี่ก็มีหน้าที่ต้องจัดการความรู้สึกตัวเองหลังจากนั้นเหมือนกัน” คนอายุมากกว่าตอบ “แล้วแน่ใจใช่ไหมว่าที่บอกว่า ‘ชอบ’ คือชอบแบบนั้น”

    “แบบนั้น? ”

    ยอนจุนพยักหน้าหงึกหงัก “แบบไม่ใช่พี่ชาย ไม่ใช่ชอบเพราะเห็นว่าพี่เก่ง ไม่ใช่แค่ชื่นชมยกย่อง แต่ชอบแบบ...”

    “ชอบแบบคนรัก”

    “…”

    “…แบบนั้น”

    “…พอได้ฟังตรง ๆ แล้วก็ใจเต้นเหมือนกันแฮะ” ยอนจุนหัวเราะเขิน ๆ “อืม ก็พอจะเข้าใจแล้ว”

    “…อืม”

    “แล้วรู้ไหมว่า ซูบินไม่ใช่คนแรกที่พูดกับพี่แบบนี้”

    “หมายถึง? ”

    “บอกว่าชอบพี่”

    “…ก็พอจะเดาได้อยู่”

    ก็ชเวยอนจุนเป็นคนแบบที่ใคร ๆ ก็น่าจะชอบนี่นา ขนาดเขายังชอบเลย แล้วคนอื่นจะไม่ชอบได้ยังไง

    “แล้วพี่ก็ถามแบบนี้แหละ มั่นใจใช่ไหมว่าความชอบพวกนี้มันไม่ใช่แค่เพราะเราอยู่ด้วยกัน ผูกพันกันตลอด ไม่ใช่เพราะใกล้ชิดกันจนเราเคยชินที่เห็นกันทุกวัน”

    “…”

    เดี๋ยวนะ

    “เพราะพวกเราก็อยู่กันเหมือนโรงเรียนชายล้วน ไม่แปลกหรอกถ้าจะรู้สึกดี ๆ ต่อกัน แต่ก็อยากให้แน่ใจความรู้สึกตัวเองก่อนว่าที่รู้สึกกับพี่ไม่ใช่แค่เพราะเป็นคนที่ตัวเองชื่นชม หรือเป็นพี่ชายที่ตัวเองสนิทด้วย มันก็มีความต่างอยู่...”

    ซูบินยกมือเป็นสัญญาณให้ยอนจุนหยุดพูดก่อน

    “…คนที่บอกชอบพี่ก่อนหน้านี้คือใคร”

    “ลองเดาดูไหม”

    โห ซูบินรู้สึกอยากโง่ขึ้นมาตอนนี้เลย

    “…ผมถามจริง”

    “ตั้งแต่ก่อนเดบิวต์จนถึงวันนี้ พวกนายทุกคนบอกชอบพี่กันครบหมดแล้ว”

    “…”

    มองหน้ายอนจุนที่ยิ้มร่าแล้วซูบินรู้สึกเหมือนลมจะจับ

    “…แล้วผมพูดเป็นคนสุดท้ายเนี่ยนะ”

    “หัวหน้าวงก็ต้องสรุปจบไง ถูกแล้ว”

    นึกถึงหน้าคนในวงแล้วซูบินก็ได้กำหมัดแน่น

    ไอ้เด็กพวกนั้น!





    “แล้วพอน้อง ๆ บอกชอบพี่แล้วยังไงต่อ พอโดนพี่จี้ถามไป คำตอบเหมือนของผมไหม”

    ยอนจุนที่จัดการรามยอนเสร็จแล้วและกำลังล้างปากด้วยน้ำอัดลมกระดกน้ำอัดลมหมดกระป๋องแล้วส่งเสียง ‘ฮ่า’ เบา ๆ ก่อนจะตอบ

    “ไม่เหมือนกันเสียทีเดียว อืม จริง ๆ ก็ไม่แน่ใจว่าควรพูดไหม แอบรู้สึกว่าเป็นความลับของคนอื่น”

    ซูบินเม้มปาก “งั้นผมเปลี่ยนคำถาม มีใครที่อยากเดตกับพี่ไหม นอกจากผม”

    ยอนจุนพยักหน้า

    ใครวะ

    “แล้วพี่ทำยังไง”

    “ก็เดต”

    “…ฮะ”

    “อืม ก็เดตอยู่แป๊บนึง”

    “เดี๋ยว ทำไมผมไม่รู้อะ”

    ยอนจุนยักคิ้ว “ก็แทบไม่ได้ทำตัวต่างจากปกติ แค่ตัวติดกันบ่อยขึ้นแค่นั้นเอง ช่วงสั้น ๆ”

    ซูบินพยายามนึกว่าใครคือคนนั้นแต่ก็นึกไม่ออก ความทรงจำของเขาสับสนไปหมด

    “แต่ช่วงสั้น ๆ แปลว่าสุดท้ายก็ไม่ไปต่อเหรอ”

    ยอนจุนพยักหน้า “พอได้คบแบบนั้นก็เหมือนได้ทบทวนความรู้สึกตัวเองน่ะ สุดท้ายก็รู้สึกว่า เป็นพี่น้องเหมือนเดิมดีกว่า”

    มันใครวะ

    แต่เขามั่นใจว่ายอนจุนไม่ตอบแน่นอน

    “แปลว่า ถ้าผมขอเดตพี่ก็จะตกลงเหรอ”

    ยอนจุนพยักหน้า

    “…ง่ายแบบนั้นเลย”

    “หลอกด่าพี่หรือเปล่าเนี่ย”

    “ไม่ใช่สักหน่อย” ซูบินรีบแก้ “ผมหมายถึง สำหรับผม การจะเดตมันมีอะไรหลายอย่างซับซ้อนมาก แล้วถ้าผมชอบฝ่ายเดียว อีกฝ่ายไม่ชอบผม เขาก็ไม่น่าจะอยากเดตกับผม ก็เลย...”

    “คิดว่าพี่จะไม่เดตกับนายเพราะพี่ไม่ชอบนาย”

    ซูบินเงียบ ก่อนจะพยักหน้า

    ยอนจุนถอนหายใจ “ก็พูดแล้วว่าทำไมพี่จะไม่ชอบคนที่มาชอบพี่ ยิ่งถ้าเป็นนาย ทำไมพี่ถึงจะเกลียดกันนะ คิดอะไรของนาย”

    ซูบินมองหน้าอีกคนแล้วพึมพำ

    “ผมรู้ว่าพี่ใจดี ใจกว้างมากด้วย แต่ไม่รู้สิ บางคนก็ไม่ชอบอะไรแบบนี้ ถึงขั้นรังเกียจเลย จริง ๆ ก่อนจะสารภาพก็คิดอยู่แหละว่าถ้ามันถึงขั้นที่พี่ไม่อยากมองหน้าผมเลยจะทำยังไง วงจะยังอยู่ได้หรือเปล่า แต่ก็คิดว่า เป็นพี่คนที่ผมชอบเลยนะ คงไม่มีทางทำแบบนั้นหรอก ก็เลย...”

    เขาเห็นว่ายอนจุนหน้าขึ้นสีขึ้นมานิด ๆ ซูบินเลยแอบยิ้ม

    “เขินเฉยเลยอะ”

    “มันก็น่าเขินอยู่นะ”

    “…แล้วพี่อยากเดตกับผมหรือเปล่า”

    จริง ๆ นี่มันเกินความคาดหวังของเขาไปมาก

    จากแค่ตั้งใจจะสารภาพเพราะความรู้สึกมันอัดแน่นเกินไป มาถึงจุดที่นั่งคุยกันแล้วเคลียร์ความรู้สึกกัน ถึงขั้นเอ่ยปากถามว่าอยากลองเดตกันดูไหม ภาพนี้ไม่เคยอยู่ในหัวซูบินเลย

    ยอนจุนทำปากยื่นออกมาแบบที่ชอบทำเวลาครุ่นคิด

    “ก็...ไม่มีเหตุผลให้ต้องปฏิเสธนะ”

    ซูบินรู้สึกเหมือนตัวเองฝันอยู่

    ยอนจุนจัดการกวาดชามรามยอนและกระป๋องเปล่าไปไว้ฝั่งหนึ่ง ก่อนจะขยับมานั่งใกล้เขา พวกเขาต่างคนต่างนั่งขัดสมาธิ พอขยับมาแบบนี้เลยกลายเป็นว่าเข่าชิดกัน ระยะห่างที่ลดลงอย่างกระทันหันทำเอาซูบินเผลอกลั้นหายใจตอนยอนจุนมองตาเขา

    “คุยกันก่อนว่าขอบข่ายของเรื่องนี้คืออะไร รู้ใช่ไหมว่าเรื่องใหญ่”

    “…ครับ”

    “ทำเหมือนแฟนได้หมดเวลาอยู่ด้วยกันสองคน”

    “…ครับ”

    ยอนจุนเลื่อนนิ้วมาเกลี่ยหลังมือเขา “กอดได้”

    “…ครับ”

    “หอมได้”

    “…”

    “จูบก็ได้”

    ซูบินตาโตกับคำพูดนั้น พร้อมกับที่ระยะห่างระหว่างพวกเขาลดลงกว่าเดิม ปลายจมูกโด่งของยอนจุนแตะกับปลายจมูกเขาอยู่ เขามองเห็นรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ บนใบหน้าเนียนละเอียดนั่น ตั้งแต่ไฝเล็ก ๆ เยื้องใต้ตาจนถึงรอยแผลเป็น

    “แต่ต้องระวังอย่าให้พี่ผู้จัดการรู้”

    “อืม”

    “ถ้าไม่อยากให้เด็ก ๆ รู้ก็ต้องระวังเหมือนกัน”

    “…แต่ถ้ารู้แล้วไม่มีปัญหาก็ได้ใช่ไหมครับ”

    “ไม่รู้สิ” ยอนจุนพึมพำ ใกล้จนซูบินแทบจะสัมผัสริมฝีปากอีกฝ่ายได้อยู่รอมร่อ “ก็ไม่เคยให้ใครรู้เหมือนกัน”

    แววตาของยอนจุนหลุบลงจนเห็นแพขนตายาว วินาทีนั้นจู่ ๆ ซูบินก็อยากทำสิ่งที่ตัวเองทำได้ขึ้นมา

    เขาขยับให้ริมฝีปากตนเองชนกลีบปากนุ่มที่ขยับไม่หยุดของอีกฝ่าย ประทับลงไปเบา ๆ พอให้ได้รู้สึกถึงความนิ่มหยุ่นของมัน ก่อนจะค่อย ๆ ขบเม้มมันช้า ๆ และอีกฝ่ายก็เริ่มทำแบบเดียวกัน

    สองมือที่ตอนแรกเกาะเกี่ยวกันกลายเป็นจับประสานกันโดยไม่ตั้งใจ พวกเขาผลัดกันรุกจูบ ปลายลิ้นแตะสัมผัสกันไปมา ซูบินรับรสชาติโคล่าที่คนอายุมากกว่าลิ้มลองไปเมื่อครู่ กวาดต้อนลิ้นที่อีกฝ่ายชอบแลบออกมาจนเป็นนิสัยนั่นแล้วผละออกอย่างอ้อยอิ่ง

    พวกเขาสบตากัน แล้วก็หัวเราะออกมา

    “เก่งนี่”

    “…พี่ก็ด้วย”

    “ไม่เคยมีแฟนไม่ใช่หรือไง ทำไมดูหน่วยก้านดีจังเรา”

    “พี่เคยจูบกับใครสักกี่คนเชียว ถึงรู้ว่าดีหรือไม่ดีคืออะไร”

    เขาต่อล้อต่อเถียงตามประสา ได้ยินเสียงหัวเราะมาจากอีกคน

    “เก็บของกันเถอะ ง่วงแล้ว” ยอนจุนว่า “คืนนี้คงไม่ถึงขั้นอยากมานอนห้องพี่หรอกนะ”

    ซูบินขมวดคิ้ว “พี่รู้ตัวไหมว่าตัวเองขี้อ่อยอะ”

    คนโดนว่าขี้อ่อยหัวเราะจนเสียงดังก้องโรงอาหารที่ไร้ผู้คน

    “เอาเป็นว่าอยากมานอนก็บอก แต่เตียงมันแค่นั้น นอนเบียดกันก็จะอึดอัดหน่อยนะ”

    “พอเถอะ คืนนี้ผมว่าพอแค่นี้ก่อนเถอะ” ซูบินยกมือลูบหน้า เขาเกินจะรับกับลูกล่อลูกชนคนพี่แล้ว

    ยอนจุนหัวเราะในคอ ก่อนจะลุกขึ้นก่อนพร้อมกับเศษขยะในมือ ซูบินลุกตาม เป็นตอนนั้นเองที่ยอนจุนหันหน้ามาหาเขาอีกรอบ

    “ซูบินอา”

    “ครับ? ”

    “ค่อย ๆ ลองกันไปนะ”

    รอยยิ้มบนใบหน้านั้นทำเอาเขาอดยิ้มตามไม่ได้ เขาก้มหน้าลงไปจูบข้างแก้มอีกฝ่ายเบา ๆ ก่อนเอ่ยตอบ

    “ครับ”


    FIN




    220721

    โห เหมือนไม่ได้แต่งอิงวงมานานเหลือเกิน 555 ไม่แน่ใจว่าเคยเขียนของด้อมนี้ไหม แต่แบบ เอ้ออออ ได้กลับมาเขียนก็สนุกดีค่ะ 555 เป็นการเขียนแบบปล่อยเขาคุยกันไปเรื่อย ๆ ที่แท้จริง ๆ

    จริง ๆ ตอนนี้คือเราเป็นโควิดอยู่ 5555 และนี่คือแรงเฮือกหนึ่งที่อยากเขียนขึ้นมากะทันหัน ก่อนจะลาลับกลับไปนอนตุยเย่ต่อ (อาการไม่หนักแต่มันง่วง ๆ เพลีย ๆ ตลอดเวลา)

    ดังนั้น ถ้าเจอคำผิดสะกิดได้นะคะ ความเบลอเกิดขึ้นได้เสมอ U-U

    ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์ล่วงหน้าค่ะ ยาใจยามยากของเราเป็นอย่างยิ่ง

    เจอกันตอน/บทความหน้าค่า <3

    #wirunfic

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in