สวัสดีทุกๆ คน เรามีข่าวดีมาบอก เรารู้สึกว่าเราอาการดีขึ้นประมาณ 90% แล้วแหละ
ใช่ เรากำลังจะหายจากโรคซึมเศร้าแล้ว ความรู้สึกลึกๆ ข้างในตัวเรามันบอก
ตอนนี้เรากินยาต้านเศร้ามาได้ 8 เดือนแล้ว และอีกไม่กี่อาทิตย์ก็จะถึงวันนัดพบคุณหมอ ซึ่งเราตั้งใจจะไปบอกคุณหมอว่า เราว่าเราหายแล้วแหละ
อะไรที่ทำให้เรารู้สึกว่าเราใกล้หายจากโรคซึมเศร้าแล้วน่ะเหรอ? เหตุผลก็ตามนี้เลย
1. เรารู้สึกมั่นคงกับความรู้สึกของตัวเองมากขึ้น
2. เรารู้สึกว่าเราสามารถจัดการกับอารมณ์ของตัวเองได้ดีขึ้น อารมณ์เศร้าไม่สามารถเข้ามาปรกคลุมหรือฉุดกระชากลากถูเราไปไหนมาไหนได้เมื่อไหร่ก็ได้เหมือนก่อนแล้ว
3. หลุมดำกลวงโบ๋ในใจเราที่เคยมีอยู่ตลอดเวลามันมีขนาดเล็กลงมากแล้ว บางทีเราก็ลืมไปว่ามันมีตัวตนอยู่ด้วยซ้ำ
4. เราเข้าใจความผิดหวังมากขึ้น เข้าใจความคาดหวังของตัวเองมากขึ้น แล้วก็เข้าใจความคาดหวังของคนอื่นมากขึ้นด้วยเช่นกัน
5. เราทุรนทุรายกับความเศร้าน้อยลง เวลาเศร้าก็จมกับมันน้อยลง แถมบางที ยังสามารถมองเห็นได้ถึงบทเรียนดีๆ ที่ความเศร้าเรื่องนั้นๆ สอนเราอีกด้วย (อันนี้ความสามารถใหม่ เกิดมาเพิ่งเคยทำได้ตอนอายุ 24 ปีนี่แหละ)
6. เราเข้าใจแล้วว่าการที่คนเราจะมีความสุขหรือจะจัดการกับความเศร้าได้นั้น มันไม่ได้อยู่ที่คนอื่นๆ รอบตัวสักเท่าไหร่ แต่มันอยู่ที่ตัวเราเอง ตัวตนลึกๆ ข้างในของเราที่ถูกความเศร้าบดบังมาตลอด ว่าเราจะเลือกจัดการมันยังไง เราจะเว้นระยะห่างจากตัวเราและความเศร้ายังไง ให้มีระยะว่างพอที่เราจะพิจารณามันได้ตามความเป็นจริง
อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว คุณเองก็น่าจะรู้สึกว่า เอ้อ มันฟังดูดีแฮะ แต่อยู่ดีๆ เรามาถึงจุดนี้ได้ยังไง ถูกมั้ย?
มันก็ไม่ใช่ว่าหลับตาตื่นมาแล้ววันนึงความเศร้าหายไปแล้วความมั่นคงทางความรู้สึกเข้ามาแทนที่เลยหรอกนะคุณ มันไม่ง่ายขนาดนั้น แต่มันก็ไม่ได้ยากจนเป็นไปไม่ได้ ถามว่าใครบอก ก็เราเนี่ยบอก
มา ถ้าคุณอยากจะหายจากโรคซึมเศร้า เราจะบอกเคล็ดไม่ลับให้
1. อย่างแรกเลย คุณต้องตั้งใจจริงๆ ว่าคุณจะหาย แบบ ตั้งใจจริงๆ เลยนะ ตื่นมาแล้วบอกกับตัวเองเลย ยังไงฉันก็จะต้องหายจากโรคซึมเศร้า ไม่เอาแล้ว ไม่อยากเศร้าแล้ว จะลุกขึ้นมาสู้กับมันจริงๆ จังๆ แล้ว
2. อย่างที่สอง ถ้าคุณยังไม่ได้ไปพบจิตแพทย์ คุณควรไปพบจิตแพทย์ คุณจะได้รู้ว่าควรจะทำยังไงต่อไป ซึ่งขั้นตอนเราก็เขียนไว้แล้วตามลิ้งก์นี้ https://minimore.com/b/uwJVS/10
3. ในกรณีที่คุณไปพบจิตแพทย์มาแล้ว ก็ทำตามที่คุณหมอสั่ง ทานยาให้ครบ ทำตัวเป็นคนไข้ที่ดี
4. เลิกเสพอะไรที่มันเศร้าๆ อะไรที่มันหว่อง มันมูราคามิ เสพแล้วดิ่ง อย่าไปเสพมัน ถ้าเล่นโซเชี่ยลแล้วเศร้าก็ปิดไปก่อน อันนี้สำคัญมากจริงๆ
5. หาช่วงเวลาว่างๆ แบบว่างจริงๆ ว่างโคตรๆ ให้ตัวเองสักหน่อย จะไปนั่งร้านกาแฟท่ามกลางธรรมชาติ หรือร้านแอร์เย็นๆ หรือจะนอนกอดตุ๊กตาอยู่ห้องก็ได้ แล้วค่อยๆ นึก ค่อยๆ พิจารณาดูว่า "ตัวเรา" กับ "ความเศร้า" มันเป็นคนละอย่างกัน "ตัวเรา" กับ "ปัญหาที่เรากำลังเจออยู่" ก็เป็นคนละอย่างกัน
ความเศร้าเป็นอารมณ์ที่เข้ามากระทบเรา ปัญหาเป็นเหตุการณ์ที่เข้ามากระทบเรา แต่เราไม่ใช่ทั้งสองสิ่งนั้น เรามีสิทธิ์อย่างสมบูรณ์ในการจัดการกับมัน จะแก้มันยังไง ทางไหน ให้ออกมาโอเคที่สุด
6. พยายามฝึกอยู่กับปัจจุบันตอนนี้ วินาทีนี้ อยู่ไปวินาทีต่อวินาที นาทีต่อนาที ชั่วโมงต่อชั่วโมง วันต่อวัน ดูแลและประคองความรู้สึกของตัวเองไปเรื่อยๆ ทีละนิดทีละหน่อย ได้บ้างไม่ได้บ้างช่างมัน แค่ได้บ้างก็กำไรแล้ว ค่อยๆ สะสมไปวันละเล็กละน้อย
7. มองไปรอบๆ ดูคนที่รักและเป็นห่วงเรา ขอบคุณเขา หรือไม่ ถ้าไม่รู้จะพูดอะไรก็อาจจะบอกเขาว่า ขอกอดหน่อยนะ หรือ ขอบคุณที่อยู่กับเรามาตลอดก็ได้
8. อันนี้แถม ถ้าทำได้ก็ดี ถ้ายังทำไม่ได้ก็ช่างมัน แต่มันช่วยนะ ลองมองโลกในมุมที่ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยหนึ่งและจบลงเมื่อเหตุปัจจัยนั้นหมดลงดู เราหมายถึง ลองมองว่าอะไรต่างๆ ที่เข้ามาในชีวิตเราเนี่ย มันเข้ามาด้วยเหตุผลแบบ cause & effect พอหมดเหตุ ผลมันก็หมดไป พอหมดเหตุให้เศร้า ความเศร้ามันก็จะหายไปเอง ไม่ต้องไปดิ้นรนจะให้หายเดี๋ยวนี้นาทีนี้ เพราะถ้าเหตุมันยังไม่หมด เราจะบังคับให้ผลมันหมดก็คงไม่ได้ แล้วอย่าไปคาดหวังเอาเหตุผลกับคนอื่นมากนักเลย ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีเหตุผลตามตรรกศาสตร์หรอก มีแต่ว่า ฉันทำแบบนี้ เพื่ออยากได้แบบนี้ ก็แค่นั้น
9. เมตตา ให้ความรัก และอภัยให้ตัวเองนะ ถ้าทำได้ก็ให้อภัยคนอื่นด้วย ทั้งเราและคนอื่นๆ ก็มีความคาดหวังเป็นของตัวเองกันทั้งนั้น เรามีหน้าที่แค่รับผิดชอบชีวิตตัวเองให้ดีที่สุดและอยู่ในศีลธรรมที่สุดเท่านั้นเอง ถ้ามันไม่ได้ตามความคาดหวังของคนอื่น มันก็เป็นความคาดหวังของเขาที่เขาต้องรับผิดชอบเอง เพราะทุกคนมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบชีวิตและความหวังของตัวเองให้ได้
10. สิ่งที่ช่วยเบรคความเศร้าได้ดีที่สุดคือ "สติ" อันนี้ไม่ได้พูดถึงอะไรที่มันยิ่งใหญ่อลังการหรือ abstract แบบให้เข้าวัดนั่งสมาธินะ แต่เราพูดถึง สติที่หมายถึงการระลึกรู้ตัว ว่าตอนนี้เนี่ย เรากำลังทำอะไร กำลังเจออะไรอยู่ จะจัดการกับมันยังไง อะไรแบบนี้
11. สุดท้าย เมื่อเจอปัญหาเข้ามา หรือเจอเรื่องที่ทำให้เศร้า ให้เน้นถาม how ก่อน หมายถึงว่า จะจัดการกับมันยังไง จะหาทางออกหรือหาทางรับมือมันยังไงดี หลีกเลี่ยงการถาม why หมายถึง พยายามเลี่ยงการถามว่า ทำไมๆๆๆๆ ทำไมมันต้องเกิดกับเราวะ เราทำดีแทบตาย ทำไมมันไม่เกิดกับคนอื่นวะ เรามันไม่ดีเหรอ อะไรแบบนี้ มันจะยิ่งทำให้เราเศร้า เจอปัญหาปุ๊บ มองหาทางแก้ก่อนเลย เพราะตอนที่เราหาทางแก้ เราจะไม่มีเวลาว่างมานั่งจมกับความเศร้า แต่ถ้าอะไรที่มันแก้ไม่ได้จริงๆ เชื่อเราเถอะว่า เวลาจะช่วยคลี่คลายปัญหาทุกอย่างให้เราเอง ยิ่งเราผ่านปัญหาได้เยอะเท่าไหร่ เรายิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น
แถม
กว่าเราจะมาเข้าใจเรื่องเหตุ-ปัจจัย และการส่งผลมันก็ไม่ใช่ง่าย อันนี้ต้องขอบคุณคอร์สไพ่ยิปซีและดูดวงของ CU VIP ที่สอนโดย ภก.ดร. สัดทัด จันทร์ประภาพ มากๆ ที่ทำให้เราเข้าใจเรื่องกรรม เรื่องสติ เรื่องธรรมชาติของชีวิตมากขึ้น พอดูดวงได้ ก็เริ่มเข้าใจว่าทุกคนมีปัญหาทั้งนั้น ไม่ว่าภายนอกเขาจะดูมีความสุขหรือชีวิตดี๊ดีแค่ไหนก็ตาม ถ้าใครว่างๆ แล้วสนใจไปเรียน เผื่อว่าจะหายเศร้าลงบ้าง ก็ไปดูได้ตามลิ้งก์นี้เลย http://www.cuvip.gened.chula.ac.th/?action=course&pg=month อาจารย์น่ารัก สอนสนุก สอนดี สอนตลกมาก ไปแล้วขำจนเหนื่อย
สุดท้าย ขอขอบคุณความรัก กำลังใจ และคำสอนจากป๊า ที่อดทนสอนลูกชายคนนี้ตลอด บางทีก็ถามคำถามเดิมอยู่นั่นแหละ แต่ป๊าก็ยังพยายามหาวิถีทางใหม่ๆ มาอธิบายมายกตัวอย่างให้อยู่เรื่อย
ขอบคุณครอบครัวที่เข้าใจ ขอบคุณคุณที่รักและเป็นกำลังใจให้เราเสมอมา ขอบคุณกัลยาณมิตรแก๊งค์โรคซึมเศร้า/ไบโพล่าร์ที่อยู่ให้กำลังใจกันมาตลอด ขอบคุณพี่แฟ มนุษย์เหตุผล 100% ที่ช่วยดูแลน้องเป็นอย่างดีนะครับ และสุดท้ายขอบคุณผู้อ่านทุกๆ คนที่ตามอ่านมาจนถึงตอนนี้ ลุ้นกันมาจนถึงตอนจบว่านายแทนคนนี้จะหายหรือไม่หายป่วย
หากมีข้อติชม เสนอแนะ หรือมีเรื่องอยากจะมาเล่ามาแบ่งปันกัน ทักมาคุยกันได้ใน twitter ที่ https://twitter.com/tan_FX ได้นะฮะ
ขอบคุณที่อ่านครับ ขอให้คุณมีความสุขอย่างยั่งยืนและมั่นคง
ไว้เจอกันหลังจากพบหมอคราวหน้านะครับ ขอบคุณครับ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in