เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Break The Silence - Document Seriespaniiit
ตอนที่ 3: เส้นทางการทำงาน

  • JM: เมื่อไม่นานมานี้ผมรู้สึกมีความสุขที่สุดเท่าที่เคยมีมาเลยครับ จนกระทั่งปีที่แล้วที่เมมเบอร์รู้สึกวิตกกังวลกันเล็กน้อยและพวกเราไม่มีเวลาที่จะพักกันเลย กระทั่งเข้าสู่ปีใหม่ทุกๆอย่างก็เริ่มลงตัว ตอนนี้เมมเบอร์ก็รู้สึกโอเคกันแล้วพวกเราทัวร์คอนเสิร์ตในขณะที่ก็เตรียมอัลบัมไปด้วย เราเองก็พักผ่อนกันเท่าที่จะทำได้ ผมคิดว่านั่นคือช่วงที่ดีที่สุดเลยครับ กระทั่งคอนี้ผมเองก็มีความสุขมากๆ


    ไม่นานมานี้เมมเบอร์ก็ได้บอกกับผมว่า “นายดูมีความสุขขึ้นเยอะเลยนะ โดยเฉพาะปีนี้(2019)” ผมคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ดีนะครับ ผมสามารถแสดงความรู้สึกออกมาได้เลย และก็ได้จัดการความคิดให้มันนิ่งมากขึ้น ผมเองก็ไม่รู้ว่าความรู้สึกแบบนี้มันเรียกว่าอะไร มันเป็นอะไรบางอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลยน่ะครับ


    JM: มันทำให้ผมคิดเยอะเลยล่ะครับเกี่ยวกับวิธีการที่พวกฮยองเขียนเพลงน่ะ ผมรับรู้ได้เลยว่ามันยากกับพวกเขาขนาดไหน แต่สำหรับผมเองก็ยังรู้สึกสนุกกับมันอยู่นะครับ


    RM: เมื่อถึงตอนที่ต้องเขียนเพลงของตัวเอง ถึงแม้ว่าความรู้สึกของนายมันจะผ่านไปแล้ว แต่นายก็ควรที่จะตกตะกอนความรู้สึกเหล่านั้นก่อนที่ก้าวเดินต่อไป— ฉันหมายถึง...แน่นอนว่ามันคงดีถ้ามีคนฟังมันแต่ฉันคิดว่านายทำมันเพื่อตัวเองซะส่วนใหญ่นะ


    SG: ผมไล่ตามสายงานนี้เพราะมันเป็นสิ่งที่ผมอยากจะทำ แต่ในบางทีมันก็เป็นความสัมพันธ์ที่ทั้งรักทั้งเกลียด บางทีก็เกลียดมันและบางทีก็รักมันแต่ผมไม่คิดว่าผมจะสามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้โดยปราศจากมัน ถ้าให้ผมจินตนาการว่าตัวเองจะไม่ได้ทำการแสดงหรือไม่ได้ทำเพลงแล้วล่ะก็ ชีวิตของผมคงไม่มีความหมายไปเลยครับ


    JIN: ภาพที่รายล้อมไปด้วยคนนับหมื่นคนมองตรงมาที่ผมในตอนที่ผมอยู่ตรงกลางเพียงลำพัง—มันจะมีช่วงเวลาที่ผมคิดถึงสิ่งเหล่านี้ครับ เวลาที่พวกเรากลับไปที่โรงแรมหลังจากที่ทำการแสดงเสร็จนั่นคือช่วงที่ผมรู้สึกว่างเปล่า มันเหมือนกับเราครอบครองบางสิ่ง ณ ช่วงเวลาหนึ่งเพื่อที่จะมองเห็นมันหายไปในเวลาถัดมา นั่นคือสิ่งที่ผมรู้สึกครับ


    SG: เวลาที่ได้แสดงคอนเสิร์ตผมสามารถบอกได้เลยครับว่าผมรักที่ได้รับความสนใจจากผู้คนมากมาย จริงๆแล้วผมกลัวกับฝูงคนนะครับแต่แปลกมากที่ไม่รู้สึกแบบนั้นกับคอนเสิร์ตเลย เวลาอยู่ที่คอนเสิร์ตผมสามารถรู้สึกได้เลยว่าผู้คนอยู่ที่นั่นกันเพราะพวกเขาสนใจในตัวผมครับ


    RM: วันหยุดมันมีเอาไว้เพื่อเวลาทำงาน สิ่งที่ทำให้ผมมีความสุขคือการที่ผมมีงานไว้คอยประคับประคองตัวผมเอาไว้ สิ่งสำคัญในนั้นก็คือ BTS และอีโก้ทางสังคมของผม-- การที่ได้มอบบางสิ่งบางอย่างให้กับคนอื่นผ่านงานของผมและได้รับบางอย่างกลับคืนมาจากพวกเขา มีความสุขจากผลผลิตของมันและเก็บมันเอาไว้ข้างๆตัวคือรูปแบบที่สูงที่สุดของความสุขที่ผมสนุกกับมัน ณ ตอนนี้เลยครับ


    JIN: ผมคิดว่าชีวิตทั้งสองด้านของผมนั้นไม่ต่างกันครับ เพียงแต่ผมไม่ได้ใช้ชีวิตทั้งสองด้านนั้นไปในทางเดียวกัน ผมคิดว่า จิน BTS นั้นใช้ชีวิตอย่างมีความสุขอยู่เสมอ ส่วนคิมซอกจินนั้น--ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากสำหรับผมครับ ผมใช้ชีวิตอย่างมีความสุขนะ แต่กับจิน BTS ชีวิตมันแอบยากกว่าเล็กน้อยครับ "ถ้าคุณได้รับบางอย่าง คุณเองก็ต้องสูญเสียบางอย่างเช่นกัน


    JH: มันแอบน่าอายสำหรับผมนะครับที่จะพูดแบบนี้...ผมไม่รู้ว่าผมควรพูดมันไหม--แต่เพราะพวกเรากลายเป็นไอดอลชื่อดัง แน่นอนว่าการเป็นไอดอลนั้นมันทำให้คุณโดดเด่น เปล่งประกาย แต่ว่ามันก็เป็นสิ่งที่มาพร้อมกับความกลัวครับ

    บางทีผมก็อยากจะซ่อนหรือไม่ก็หลีกเลี่ยงมันนะครับ ในบางเวลาก็อยากที่จะปล่อยมันไป แต่ด้วยตำแหน่งนี้..สายตาที่ผู้คนมากมายกำลังจ้องมองมา ทั้งความรักและความสนใจจากพวกเขา มันเป็นสิ่งที่ทำให้มันยากกับการที่จะปล่อยมันไปครับ


    JK: เมมเบอร์เหมือนกับว่า "มาอยู่ด้วยกันไปจนวันตายเถอะ!" แต่หลังจากที่ได้อยู่ด้วยกันกับพวกเขามาเป็นเวลานาน พวกเขาเป็นสิ่งที่รับรู้ได้โดยไม่ต้องมีคำมาจำกัดความ เป็นอะไรที่มองไม่เห็น...แต่ว่าเชื่อมต่อถึงกัน

    ผมรู้สึกได้ถึงเส้นใยที่เชื่อมกันกับเมมเบอร์ครับ ผมย้ายเข้ามาอยู่ที่โซลตั้งแต่ตอนที่ยังเด็กมากๆ และตอนนั้นก็ไม่มีเพื่อนสนิทสักคนเลยครับ เมมเบอร์เป็นเพียงคนกลุ่มเดียวที่อยู่ข้างๆผมและยังเป็นกลุ่มคนกลุ่มเดียวที่ผมใช้ชีวิตอยู่ด้วยนานที่สุด ผมคิดว่าพวกเขาทำให้ผมรู้สึกถึงอารมณ์ที่มันยากจะอธิบาย มันเหมือนกับว่าพวกเราเป็นเพื่อนกัน และพวกเขาก็ช่วยให้ผมรู้จักกับคำว่ามิตรภาพ...ครอบครัว-- พวกเขาไม่ใช่ครอบครัวแต่ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน

    มันจะมีช่วงเวลาที่ผมรู้สึกถึงความใกล้ชิดที่เชื่อมต่อกับพวกเขา เหมือนกับกระแสน้ำน่ะครับ ผมคิดว่าพวกเราทำได้ดีนะกับการรักษาความสมดุลน่ะ


    RM: มันมีบางเวลาครับที่มันวิกฤติ แต่เราก็สามารถจบบททดสอบชีวิตได้อย่างปลอดภัย ผมรู้สึกโล่งอกครับ


    RM: ทัวร์นี้มันก็เป็นเหมือนดั่งกำแพงครับที่ผมสามารถพึ่งพามันได้ ผมมีความรู้สึกอะไรแบบนี้มากมายเลยล่ะ พูดกันตามตรงผมเอาแต่คิดอยู่เสมอว่าชีวิตของผมในวัย 30 นั้นจะเป็นยังไง และผมควรจะต้องเตรียมตัวกับมันยังไง เมื่อไม่นานมานี้ผมเองก็คิดมันอย่างหนักเลยว่าจะพาเพลงของตัวเองไปให้ไกลกว่านี้ได้ยังไง


    มันเหมือนกับผมฝังรากไว้ในสนาม เดินทางไปพบผู้คนทั่วทุกมุมโลกแล้วเสนอสิ่งที่ผมมีให้กับพวกเขา--มันอาจจะเป็น..โดยพื้นฐาน..ที่ว่าผมใช้ชีวิตได้เป็นอย่างดี แต่ความคิดเหล่านี้มันช่วยผมได้มากเลยครับ ผมอยากใช้ชีวิตอย่างเต็มเปี่ยม และผมจะยังไม่พยายามตัดสินใจตอนนี้ว่าจะทำการแสดงในฐานะ BTS ยังไงในวัย 30 หรือในอนาคตที่ยังไม่ใครรู้ นอกเหนือจากการควบคุมของผม การทำสิ่งต่างๆตรงหน้าให้ดีที่สุดนั่นคือหนทางที่ดีที่สุดแล้วที่ผมสามารถตอบได้ของคำถามถึงการมีชีวิตอยู่ของผม 


    JIN: มันกดดันนะครับที่ต้องไปพบเจอผู้คนน่ะ ผมไม่ได้เปลี่ยนไปแต่เพื่อนๆพบว่ามันยากที่จะอยู่ใกล้ๆกับผม มันค่อนข้างน่าอายนะครับที่ต้องเห็นพวกเขาเติบโตออกห่างไปจากผม ผมสูญเสียคนรอบตัวไปเยอะเลยครับ ที่ผมเป็นผมได้ทุกวันนี้ก็เพราะอาร์มี่ เขาเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมทำงานเพลงได้


    เพราะผู้คนมากมายรักที่จะได้เห็นผมยืนอยู่บนเวทีและเพราะผมสามารถทำให้ผู้คนมีความสุขได้ ผมจึงมีความสุขผ่านสิ่งเหล่านั้น นั่นเลยเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมอยากทำการแสดงมากขึ้นไปอีกครับ


    V: คนบางคนปีนป่ายขึ้นภูเขาไปเพียงลำพัง ในขณะที่บางคนก็ปีนป่ายไปกับคนอื่นๆ เราพูดคุย แลกเปลี่ยน และแบ่งปันความทรงจำให้แก่กันและกันจนกระทั่งเราปีนป่ายไปถึงยอดเขา แต่ผมคิดว่าเราเป็นกลุ่มคนที่สมัครใจในการร่วมทุกข์ร่วมสุขไปด้วยกันแทนที่จะปีนขึ้นไปในจุดสูงสุดด้วยกันนอกเหนือจากชื่อเสียงและสิ่งอื่น นั่นคือวิธีที่พวกเรา..เมมเบอร์ทั้ง 7 ของ BTS คนมองตัวพวกเราเอง นั่นคือประเภทของนักร้องในแบบที่พวกเราเป็นครับ



Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in