สำหรับ La La Land มันเป็นหนังที่ผมรอคอยเลยนะ ทั้งตัวนักแสดง โทนของหนัง และ กระแสวิจารณ์ที่ล้นหลามมากมาย ผมดูมันในวันแรกที่มีโอกาส ไม่เกี่ยงแม้จะนั่งหน้าสุด
เรื่องราวสุดแสนธรรมดาของ หนุ่มสาวที่เต็มไปด้วยความฝัน มาพบกัน แชร์ชีวิตร่วมกัน รักกัน และ เลิกรากัน ขับเคลื่อนด้วยบทเพลง แจ๊ส และ มิวสิคัล ยุคเก่า มีบรรยากาศ classic Hollywood เป็นฉากหลัง
ดูจบแล้วชอบนะ ประทับใจแต่ไม่สุด รู้สึกว่าเป็นความผิดของเราเอง ที่ไม่ได้มีรสนิยมชอบ เพลงหรือบรรยากาศยุคเก่าแบบนั้น และเวลาเกือบสองชั่วโมงก็ยังเปลี่ยนเทสของเราไม่ได้ทันที มีหลายโมเม้นต์ที่เรารอดู dialogue ที่น่าจะโชว์ของ แต่มันกลับถูกจัดเข้าการร้องเพลงซึ่งเราไม่อินไปซะเฉยๆ รู้สึกเสียดาย อยากฟังเป็นบทพูดมากกว่า ตอบกับตัวเองได้อีกครั้งว่า เหล่า Artistic media ทั้งหลายเนี่ย (หนัง หนังสือ ภาพวาด/ปติมากรรม กลอน เพลง) จริงๆเป็นคนไม่ค่อยฟังเพลงเท่าไร ยังเป็นศาสตร์ที่เราเข้าไม่ถึงความหมายและความซาบซึ้งของมัน
ส่วนจุดอื่นที่เหลือชอบหมด
Costume : สีชุดของพระเอกนางเอกสวยมาก ประทับใจทุกฉาก มีความวินเทจ แต่แบบ เก๋าว่ะ มีสไตล์
Location : ชอบหลายฉากมากโดยเฉพาะหอดุดาว ถ้ามีโอกาสอยากจะไปเยี่ยมชมดูสักครั้ง
Griffith Observatory Angels Flight ที่ Bunker Hill Hermosa's Beach Pier Watts Tower
Choreography : ถึงไม่ชอบเพลง แต่เราชอบเต้นนะ ทั้งตอยเต้นแทป หรือฉากสาวๆ เพลง someone in the crowd นี่สนุกน่ารักมากๆ แอบเห็นในภาพเพิ่งหลังว่ามี Mandy Moore choreographer จาก So you think you can dance มาเป็นคนดูแลเรื่องท่าเต้นให้ และต้องสอนนักแสดงเต้นมันทุกสไตล์ รู้สึกว่าเป็น hard work ที่แสดงถึงความทุ่มเทดี
Humor : อารมณ์ขันในเรื่อง มุกเล็กมุกน้อย คือความไฮโซเลอค่า เช่นแก๊กเรื่องการออดิชั่นของนางเอก ฉากในร้านกาแฟ หรือการแอบเล่นอิมโพรไวส์เปียโนของพระเอก นางเอกลิปซิงค์ หรือแม้แต่ฉากบีบแตรที่ควรจะเป็นซีนอารมณ์ ก็ทำออกมาได้เรียลมากๆ (คือเถียงกันเรื่องซีเรียส แต่พระเอกบีบแตรไม่หยุด นางเอกก็เลยหลุดขำแบบว่า พอๆๆ หยุดบีบแตรเดี๋ยวข้างบ้านด่า) ยิ่งเพิ่งดู Sausage Party มา รู้ซึ้งถึงคำว่าชั้นเชิงเลย
Script and Acting : ดีงามๆ เล่นได้ดีมากๆ แม่แต่นักร้องที่มาแสดงรับเชิญ อย่าง John Legend ก็ทำได้ดี ชอบ Ryan Gosling เรื่องนี้เป็นเรื่องแรก ส่วน Emma Stone ที่ชอบมาเสมอ เรื่องนี้ก็ยังไม่ทำให้ผิดหวัง ประเด็นที่ประทับใจที่สุดในเรื่องคือ ความรักที่ทั้งสองคนมีให้กัน
อย่างที่สรุปไปในชื่อเรื่องน่ะครับ หลายสิ่งในเรื่องมันสะท้อนออกมาจนเรารู้สึกได้ ความเชื่อใจ ของทั้งคู่ที่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะทำฝันให้เป็นจริงได้ ความห่วงใยที่มีต่อกัน อย่างตอนที่พระเอกต้องขับรถออกตามหานางเอกเพื่อให้มาออดิชั่น แล้วเจอ เพราะดีเทลเล็กๆ ที่นางเอกเคยเล่าว่าบ้านอยู่ตรงข้ามห้องสมุดงี้นางเอกที่คอยไถ่ถามว่าสิ่งที่พระเอกทำอยู่คือสิ่งที่ชอบไม๊ (ทั้งๆ ที่นางเอกก็ชอบสิ่งนั่นที่พระเอกทำอยู่แล้ว) และสุดท้าย ถึงทั้งสองคนจะไม่ได้อยู่ด้วยกันไปจนแก่ ทั้งก็คู่ก็มีห้วงเวลาที่วิเศษณ์ร่วมกัน อีกทั้งก็เป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้อีกฝ่าย ประสบความสำเร็จในชีวิตจนถึงปัจจุบันได้
ฉากสุดท้ายที่ทุกคนบอกว่าตราตรึงมากๆ เราเองก็็ชอบ ไม่ได้ชอบตรงฉาก montage 'what if' เท่าไร แต่ชอบโมเม้นชีวิตทั้งคู่มีเส้นทางของตัวเองแล้ว แต่ต่างก็หันมายิ้มยินดีให้กัน ดูแล้วทำให้นึงถึง animation ของ พี่ตั้ม วิศุทธิ์ พรนิมิตร ชื่อ Love elevator ลองดูกันนะครับว่ารู้สึกเหมือนกันไหม
VIDEO
ถ้าดูไม่ได้ คลิกตรงนี้เพื่อเข้าไปดูใน Youtube นะ
สรุปแล้วสำหรับผม หนังนครดาราเรื่องนี้ เป็นหนังที่ดี ควรค่าแก่การดู แต่ด้วยปัจจัยส่วนตัวหลายอย่าง ผมคงจะไม่ได้นึกถึงมันเวลาที่มีคนถามว่าชอบหนังเรื่องไหน เหมือนกับกินอาหารคลีนแหละครับ มันดีต่อสุขภาพ อร่อย ได้ประโยชน์ แต่คงไม่โหยหาเวลาหิว
Random thoughts
- ผมชอบความไม่แคร์ของผู้สร้างดี ที่อยากจะพรีเซ้นต์ หนัง-เพลง ในยุคเก่าแต่รำคาญกับการต้องมาคิดว่าเทคโนโลยีชิ้นไหนมีอยู่ในยุคนั้นไม๊ ก็เลยล้มโต๊ะ ให้ตัวละครใช้ไอโฟนและขับพรุอุสแม่งเลย ง่ายๆ
- ได้ศัยท์ใหม่มาหนึ่งคำ คือคำว่า 'Pipe dream' แปลว่าความฝันล้มๆแล้งๆ ที่ไม่มีวันเป็นจริง มีที่มาจาก ความคิดเวลาเราสูบปุ๊นสูบไปป์ แล้ว get high ก็เลยพูดจาเรื่องราวเพ้อฝันออกมา
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in