หลานวั่งจีกำลังรอคอยจดหมายฉบับแรกจากเว่ยอู๋เซี่ยนแต่ผ่านจากวันเป็นสัปดาห์ สัปดาห์ล่วงผ่านพ้นเป็นเดือน...หนึ่งเดือน สองเดือน สามเดือน ก็ไร้วี่แววว่าจะมีจดหมายในคราบนกนางแอ่นน้อยส่งมาถึงเขาเสียที
ดังนั้นเขาจึงคิดใช้โอกาสที่เดินทางไปหารือกับประมุขจินกวงซ่าน และประมุขชิงเหอเนี่ยหมิงเจว๋ เรื่องการขยายเขตเย่เลี่ยที่จินหลิงไถ คิดนำเรื่องนี้มาปรึกษาเมิ่งเหยาหรือที่รู้จักกันภายหลังในนาม เหลี่ยงฟางจุน จินกวงเหยาเพราะเห็นว่าอายุอานามใกล้เคียงกัน น่าจะเข้าใจตัวน้องชายดีมากกว่าเขา
เมื่อถึงกำหนดวันเดินทางมายังหลานหลิงจินการหารือเรื่องการขยายเขตเย่เลี่ยที่นึกว่าจะกินเวลานานกลับดำเนินไปไม่ถึงสองชั่วยามก็เสร็จสิ้น โดยได้ข้อสรุปว่าจะขยายเขตเย่เลี่ยไปจนถึงแถบชิงเหอของสกุลเนี่ย เนื่องจากช่วงนี้ซยงซือรวมถึงปิศาจประเภทอื่นออกเพ่นพ่านในแถบนั้นจำนวนมากย่อมเป็นโอกาสอันดีที่จะให้บรรดาศิษย์ได้ฝึกฝนและแสดงความสามารถ ซึ่งทางชิงเหอก็ไม่มีสิ่งใดขัดข้อง หลังจากงานหลวงเสร็จสิ้น งานราษฎร์จึงค่อยตามมา ก่อนกลับเขาจึงแวะไปหาเมิ่งเหยาที่เรือนพักเพื่อนำเรื่องของน้องชายมาเป็นหัวข้อสนทนาเมิ่งเหยาได้ฟังก็หัวเราะเบาๆ คาดเดาไปว่า
"ไม่แน่ว่าหานกวงจวินอาจจะกำลังมีความรักยามเมื่ออยู่ไกลจากคนรักย่อมคิดถึงคะนึงหาเป็นเรื่องธรรมดาขอรับ"
"วั่งจีกำลังมีความรัก..."
"เป็นเช่นนั้น"
"วั่งจีน่ะหรือ
"พี่รอง ขออภัยที่ถาม ไม่ทราบว่าน้องชายท่านสนใจผู้ใดอยู่หรือไม่?"
"...ก็มี"
"ตอนนี้เขาไม่อยู่แล้วใช่หรือไม่
“อืม”
“แล้วก็...ช่วงนี้น้องชายท่านมีอาการเหม่อลอย?”
“อืม”
“ถอนหายใจบ่อยๆ”
หลานซีเฉินพยักหน้า เมิ่งเหยายิ้มบาง เพียงใช้ตะเกียบคีบขนมเปี๊ยะเหมยกุ้ยจากในจานใหญ่ใส่จานเล็กของพี่รอง
“ทำไมรู้ละเอียดจริง?”
“พี่รองข้าเองเป็นดอกผลของต้นไม้เงิน (เป็นแสลงที่เหล่าแมงดาใช้เรียกหญิงคณิกา) ในย่านเริงรมย์แถบอวิ๋นเมิ่ง อีกอย่างข้าก็หาใช่พระอิฐพระปูน จะได้ไม่เคยลิ้มรสชาติของความรัก”
“ข้านึกว่าเจ้ามีคนรักแล้วเสียอีก”
“อาเหยา”
“ท่านสนใจเรื่องน้องชายท่านก่อนเถอะขอรับ ระวังเถอะเขาพาสะใภ้กลับมากราบท่านจะไม่ทันตั้งตัวเอา”รอยยิ้มสดใสเกิดขึ้นอีกครั้ง หลานซีเฉินไม่ใช่คนโง่อย่างน้อยเขาก็รู้ว่านี่เป็นรอยยิ้มที่ใช้กลบเกลื่อนความรู้สึกหม่นหมองที่เกิดขึ้นในจิตใจ
เพราะชาติกำเนิดต่ำต้อยจึงถูกผู้อื่นดูแคลน บิดาไม่ยอมรับ ต้องพยายามอย่างหนักจนแทบจะพลีชีพในสนามรบเพื่อให้เหล่าผู้คนยอมรับ แม้วิธีการอาจไม่ถูกต้องใสสะอาดจนทำให้เนี่ยหมิงเจว๋ ผู้เป็นพี่ใหญ่ไม่พอใจหลายครั้ง แต่ในฐานะผู้ที่เห็นการแผ้วถางกรุยทางของเมิ่งเหยาเพื่อให้มายืนอยู่ในจุดนี้อย่างเขาย่อมอดชื่นชมปนเห็นใจมิได้...
ถ้าหลานซีเฉินมีหลานวั่งจีเป็นน้องชายในสายเลือดที่คลานตามกันมา จินเมิ่งเหยาก็นับว่าเป็นน้องชายคนสำคัญอีกคนหนึ่งที่เขาอยากจะเป็นที่ปรึกษาอยากปกป้องไม่น้อยไม่กว่ากัน
........
หลังจากที่หลานซีเฉินได้ฟังน้องร่วมสาบานวิเคราะห์เช่นนั้น ก็ให้นึกตามชวนให้นึกถึงเจ้าของส้มจากอี๋หลิงที่น้องชายหวงแหนเป็นหนักหนาไม่กล้าคาดเดาไปล่วงหน้าว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองรุดหน้าไปถึงไหนแล้ว
ความสัมพันธ์แบบพิศวาสตัดแขนเสื้อแม้ไม่ได้รับความเห็นชอบจากคนส่วนมาก แต่สำหรับเซียนที่มีความสัมพันธ์แบบซวงซิว (คู่บำเพ็ญเพียร) หรืออย่างสกุลหลานก็มีคู่โชคชะตาฟ้าลิขิตที่ไม่จำกัดว่าจะเป็นเพศใดขอเพียงใช้ชีวิตร่วมกันจวบจนเกศาหงอกขาวไม่พรากจากก็เพียงพอแล้วนั้น ไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่จนไม่สามารถยอมรับได้...อ้อ...กรณีนี้ยกเว้นท่านอาฉี่เหรินเอาไว้คนหนึ่งด้วยเพราะทายาทสายตรงสกุลหลานจริงๆนั้นมีไม่มาก เลยตั้งความหวังเรื่องทายาทรุ่นต่อไปไว้กับเขาและวั่งจีเป็นพิเศษถ้าท่านอารู้เข้า นอกจากวั่งจีที่จะถูกเล่นงานแล้วเขาที่เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดย่อมถูกหางเลขโดยไม่ต้องสงสัย...
หลานซีเฉินได้แต่ยิ้มบางคล้ายปลอบใจตนเอง
เอาเถอะ เรื่องนั้นยังถือว่าเป็นอนาคตที่ยังมาไม่ถึงไว้เมื่อถึงเวลานั้นเขาคงจะหาทางช่วยเหลือวั่งจีกับคนๆนั้นได้เองนั่นล่ะ
..........
อวิ๋นเซินปู้จื๋อฉู่กูซู...
หลังจากการรอคอยอย่างอดทนและเปี่ยมด้วยความคาดหวังรอคอยอย่างเงียบงันเข้าเดือนที่สามขณะที่หลานวั่งจีกำลังอ่านพระไตรปิฎกอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือในเรือนชิงจือ พลันมีนกนางแอ่นตัวหนึ่งบินเข้ามาผ่านหน้าต่างที่เปิดอ้าร่อนถลามาเกาะที่แท่นหมึกของเขาแล้วจงใจใช้สองเท้าเปื้อนหมึกเดินย่ำไปที่กระดาษขาวสะอาดที่เขาวางเอาไว้คล้ายกับจงใจกลั่นแกล้งเขา
นกน้อยนิสัยเสียเช่นนี้มีอยู่ตัวเดียว
“เว่ยอิง”
หลานวั่งจีเอ่ยเบาๆทว่านกน้อยตัวนั้นกลับกระโดดไปมา บางทีก็ยื่นหัวมาคลอเคลียที่นิ้วของเขาดูน่าเอ็นดูยิ่งนักแต่จนแล้วจนรอดนกนางแอ่นตัวนี้ก็ไม่ยอมกลายเป็นจดหมายเสียที
หรือว่าจดหมายนี้ต้องใช้คำใบ้อันใด?
ดวงตาสีอ่อนทอดมองนกน้อยที่ยังเอียงคอมองคล้ายรอคอยคำตอบนิ้วเรียวอดไม่ได้ที่เคาะหัวนกนางแอ่นนั้นเบาๆ แต่ก็ไม่ได้ทำให้มันสลดแต่ประการใดกลับขยับกางปีกเชิดรั้งอย่างโอหังรอคอยคำตอบจากเขา
“อี๋หลิง”
“...”
“ล่วนจั้งกั๋ง”
“...”
“...อาเยวี่ยน”
สิ้นคำนกนางแอ่นตัวน้อยกางปีกอย่างเริงร่า ร่างเล็กส่องสว่างวาบก่อนกลายเป็นกระดาษยาวแผ่นหนึ่งนอนนิ่งอยู่บนโต๊ะกระดาษแผ่นนั้นมีภาพวาดอัดแน่นเต็มพรืด ทิวทัศน์ในภาพดูแปลกตา คิดว่าคงเป็นล่วนจั้งกั๋ง ในภาพมีรูปเว่ยอู๋เซี่ยนและอาเยวี่ยนเป็นตัวดำเนินเรื่อง ลายเส้นงดงามตระการสมกับที่เจ้าตัวมีฝีมือในการวาดรูปที่หลานวั่งจีเคยเห็นเป็นประจักษ์แก่ตาแล้วตอนที่อยู่ที่หอตำรา
เขากวาดสายตามองไปไม่นานเท่าใด จู่ๆภาพของเว่ยอู๋เซี่ยนก็เริ่มค่อยๆขยับราวกับมีชีวิตเป็นท่าทางตอนที่เว่ยอู๋เซี่ยนอุ้มอาเยวี่ยนเดินไปดูแปลงผักกาดบ้าง พาไปหาคนสกุลเวินที่อาศัยอยู่ในแถบล่วนจั้งกั๋งบ้าง แม้กระทั่งการใช้ชีวิตประจำวันเล็กๆน้อยๆก็ถูกถ่ายทอดออกมาทำให้เขารู้สึกว่าได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับทั้งสองคนที่เคยรู้สึกผิดหวังที่ต้องคอยจดหมายเก้อถึงสามเดือนบางเบาดั่งต้องสายลม ท่าทีทั้งสองดูร่าเริงแจ่มใสมีชีวิตชีวาไม่น้อย หลานวั่งจีเห็นเช่นนั้นก็พอใจอยู่
กระทั่งภาพมาหยุดที่เตียงเก่าคร่ำคร่าที่อีกฝ่ายใช้นอนอยู่ทุกคืนวัน ที่นั่นมีเว่ยอู๋เซี่ยนนั่งอยู่มีอาเยวี่ยนที่เริ่มนอนคว่ำได้แล้วกำลังใช้สองแขนพยายามยันกายขึ้นโดยมีอีกฝ่ายมองด้วยสายตาเอื้อเอ็นดูไม่ขาดหลานวั่งจีมองภาพนั้นด้วยท่าทีประหลาดใจกระทั่งมีตัวอักษรเล็กๆปรากฏขึ้นเพื่อคลายข้อสงสัยของเขา
//อาเยวี่ยนหกเดือนแล้ว คลานได้แล้วล่ะ หลานจ้าน เจ้ามาดูว่าเขาจะคลานได้ไกลแค่ไหนกัน//
หลานวั่งจีมองนิ่งทว่าในใจนั้นกลับเต้นถี่รัวกว่าปกติเล็กน้อย ค่อยๆมองเด็กน้อยที่เขาเคยอุ้มแบเบาะเมื่อสามเดือนก่อนกำลังมีพัฒนาการที่น่าเหลือเชื่อดวงตาสีอ่อนดังผลึกแก้วเห็นร่างเล็กๆที่ค่อยๆยันตัวขึ้นอย่างทุลักทุเลแล้วคืบคลานไปหาเว่ยอู๋เซี่ยนรอยยิ้มเกลื่อนใบหน้ากลมยุ้ยทำเอาเขาพลอยรู้สึกดีไปด้วยทว่าคลานไปไม่เท่าไหร่ก็ล้มคว่ำแปะอยู่บนฟูก ชายหนุ่มเบิกตาน้อยๆ เผลอยกมือขึ้นหมายประคองตามสัญชาตญาณ
แต่ภาพคือภาพ เขาไปช่วยอะไรไม่ได้ จึงเห็นอาเยวี่ยนคว่ำหน้าได้ไม่ถึงอึดใจก็เงยหน้าขึ้นยิ้มหัวเราะชอบใจ จากนั้นจึงคลานไปอีกระยะสั้นๆไปหาเว่ยอู๋เซี่ยนได้สำเร็จ
จดหมายจบลงแค่นั้น...จากนั้นภาพวาดเหล่านั้นก็ไม่เคลื่อนไหวอีก...
หลานวั่งจีหยิบจดหมายแผ่นนั้นมาพับอย่างประณีตเก็บในกล่องไม้จันทน์หอมลายดอกอวี้หลันเคียงเมฆาราวกับสมบัติล้ำค่าจากนั้นจึงหยิบกระดาษแผ่นใหม่ขึ้นมาแล้วจึงเขียนจดหมายหมายโต้ตอบกลับไป
ลายมือสวยงามอ่อนช้อยแต่แฝงถึงพลังบอกเล่าถึงเรื่องราวของของตนเองและเหตุการณ์ความเป็นไปในยุทธภพหลังจากลงนามเสร็จ เขาเหลือบมองไปยังกล่องเก็บจดหมายของเว่ยอิงทำให้เขาคิดว่าควรจะวาดรูปแบบที่อีกฝ่ายวาดส่งมาหาเขาบ้าง
เว่ยอิงเคยบอกเขาว่าอาเยวี่ยนชอบผีเสื้อ ส่วนตัวของเว่ยอิงนั้นชอบนกเหยี่ยว...เช่นนั้นเขาก็จะวาดรูปพวกนั้น...
ทว่าพอจรดพู่กันลงกับกระดาษเขาก็คิดหนัก
.
.
.
เขาวาดรูปไม่เป็น...
.
.
.
สุดท้าย กว่าหลานวั่งจีจะส่งจดหมายกลับไปยังล่วนจั้งกั๋งก็กินเวลาร่วมสัปดาห์เพื่อรอให้หลานซีเฉินผู้เป็นพี่ชายกลับมาจากหลานหลิงเพื่อสอนเขาวาดรูปผีเสื้อกับเหยี่ยวเพื่อแนบไปพร้อมกับจดหมายน้อยฉบับนั้นแทน...
จริงๆแอบคิดว่าที่พี่เว่ย หายไป3เดือนเพราะงอน(?) พอเขียนจดหมายมาหา ยังจะด่าพี่วั่งซะเปิงนึงก่อนซะอีก 55555