เมื่อสมัยยังเล็ก...ฉางเซ่อส่านเหริน มารดาของเว่ยอู๋เซี่ยนเคยหยิบถุงเฉียนคุนของนางมาถือเล่นในมือ พลางสั่งสอนเขา
//รู้หรือไม่ อาอิง ถุงเฉียนคุนนั้นสามารถเก็บของได้หลายอย่าง ไม่ว่าดีหรือร้าย เพียงปิดปากถุงเอาไว้ ของก็จะอยู่กับเรา เป็นของเราคนเดียว คนอื่นจะเห็นของๆเราได้ก็ต่อเมื่อเราต้องการจะเปิดให้ดูเท่านั้น//
นิ้วเรียวชี้มาที่อกเขา เขาในยามนั้นไร้เดียงสา เพียงแค่หัวเราะคิกคักไปตามเรื่อง...
//เฉกเช่นกับหัวใจคนเรา ล้วนมีความทรงจำที่ดีและไม่ดีปะปนกัน เราสามารถเลือกที่จะพูดหรือจะปกปิดมันก็ได้ ความทรงจำของเราควรเป็นของเราเพียงคนเดียว//
//แต่ถ้าวันหนึ่งมีคนล่วงรู้เรื่องที่เราปิดบังเอาไว้โดยที่เราไม่ได้รับอนุญาตล่ะก็...//
....
เว่ยอู๋เซี่ยนจ้องมองสีหน้าลุแก่โทสะของอีกฝ่ายจนขาดความเยือกเย็นที่เคยมี ดวงตาสีทองยิ่งวาวโรจน์จนชวนให้นึกถึงตอนที่เขาเผลอทำผ้าคาดศีรษะของอีกฝ่ายหลุดโดยไม่ตั้งใจ ก็ให้นึกขำ ชายหนุ่มหัวเราะขื่นแล้วเอ่ย "หานกวงจวิน ท่านโกรธเสียแล้วหรือ หรือว่าข้าพูดสิ่งใดแทงใจดำเข้าเล่า"
"..." ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใดที่เสียงหอบหายใจที่เคยแรงและถี่กระชั้นด้วยอารมณ์โกรธของหลานวั่งจีเริ่มกลับมาเป็นปกติ เว่ยอิงฉวยจังหวะนั้นผลักอีกฝ่ายออกแล้วยันกายลุกขึ้น จัดเสื้อผ้าของตนให้เข้าที่ ปรายตาเย็นเยียบมองสภาพของคนตรงหน้า ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เข้าใจว่าหลานวั่งจีต้องการอะไร อยากรู้เรื่องของเขาไปเพื่ออะไร หลานวั่งจีไม่ใช่คนสอดรู้ ไม่มีเหตุผลที่จะมาล่วงรู้ความลับของเขา
ตั้งแต่เกิดเรื่อง เขาสู้อุตส่าห์เก็บความลับนี้ไว้คนเดียว จะรู้ก็แค่ไม่กี่คน เพราะมันเป็นเรื่องที่...วิปริตเกินกว่าที่จะเอาไปโพนทะนาให้ผู้ใดฟัง เป็นต้วนซิ่วหลับนอนกับผู้ชายไม่ว่า ยังสามารถอุ้มท้องคลอดลูกได้อีก ไก่ตัวผู้ออกไข่ได้เช่นเขามีเรื่องแต่เรื่องที่ชวนให้หัวเราะสมน้ำหน้า ยามเจอสหายที่คิดว่าจะเป็นที่พักใจที่เหนื่อยล้ามานาน พยายามมองข้ามท่าทีแปลกๆที่หลานวั่งจีทำกับเขา กับอาเยวี่ยน บอกตนเองว่าหลานวั่งจีไม่รู้ ไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับตัวเขาทั้งนั้น ที่หลานวั่งจีรู้ก็เหมือนกับที่คนทั่วไปที่รู้ ว่าเขามีชีวิตรอดกลับมาจากล่วนจั้งกั๋ง ได้วิชามารมาเพื่อล้างแค้นสุนัขแซ่เวิน แค่นั้นก็พอแล้ว
แล้วทำไม ทำไม ทำไม?
.....
ยิ่งคิดถึงตรงนี้ เว่ยอิงก็ยิ่งผิดหวังในตัวหลานวั่งจีมากขึ้นไป เช่นนี้แล้วจะให้มองอีกฝ่ายในฐานะสหายได้อีกต่อไปได้อย่างไรกัน
เว่ยอิงก้มหน้า ปล่อยให้เรือนผมยาวล้อมกรอบใบหน้า ปกปิดความอ่อนแอของตนเอง ให้เมฆาซ่อนแสงจันทร์มิให้สะท้อนให้เห็นริมฝีปากที่สั่นระริกของเขา"เมื่อรู้ว่าข้าเป็นเช่นไร น่ารังเกียจเพียงใดแล้ว ท่านก็กลับไปที่อวิ๋นเซินปู้จื๋อฉู่เถอะ อย่าได้มาแปดเปื้อนกับคนเช่นข้าอีกต่อไป"
เว่ยอู๋เซี่ยนลุกขึ้นนั่ง แต่เขายังเบือนหน้าหลบอีกฝ่าย ไม่แม้กระทั่งจะคิดกลับมามองด้วยซ้ำ "และขอให้ท่านรู้ว่าจากนี้ไปเราสองคนไม่ต้องมาเกี่ยวข้องกันอีก เพราะว่าข้าเกลียดการที่คนมาทำเป็นสงสารเห็นใจเป็นที่สุด"
ดวงตาของหลานวั่งจีเบิกขึ้นน้อยๆ ทำเป็นสงสารเห็นใจอย่างนั้นหรือ เขาไม่เคยคิดเช่นนั้นเลย ที่เขาอยากรู้เรื่องของเว่ยอิงเพียงเพราะ...
ในขณะที่ความคิดต่างๆแล่นเข้ามาในหัวดั่งน้ำหลาก สัญชาตญาณกลับสั่งให้เขารั้งตัวเว่ยอู่เซี่ยนให้มาอยู่ในอ้อมกอด
บุรุษที่เคยบอกเขาเองว่ารังเกียจการสัมผัสตัวผู้อื่นนอกจากคนในครอบครัว กำลังโอบกอดคนสกปรกเช่นอี๋หลิงเหล่าจู เว่ยอู๋เซี่ยน
"หานกวงจวิน ท่านปล่อย"
"..."
"หลานวั่งจี..."
"...ไม่"
"หลานจ้าน"
"ข้าไม่ปล่อย"
น้ำเสียงนุ่มนวลคล้ายลำธารใสเย็นในยามวสันตฤดู มือใหญ่ลูบแผ่นหลังที่ห่มคลุมด้วยอาภรณ์เนื้อบาง รู้สึกได้ถึงแนวกระดูกสันหลังที่นูนขึ้นจนเขาสัมผัสได้
เว่ยอิง เจ้าเคยเป็นเด็กหนุ่มที่สดใส ยามที่เห็นเจ้าที่เหลิงเฉวียน (สระน้ำเย็น) ถึงเจ้าจะตัวเล็กกว่าข้า แต่ก็เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อสมบูรณ์ผ่องใส มิใช่ผ่ายผอมเช่นนี้
เว่ยอิง เจ้าเก็บความทุกข์ไว้มากมาย เคี่ยวกรำตนเองให้อดทนอดกลั้นไว้จนถึงที่สุด แล้วกลั่นมันออกมาเป็นรอยยิ้มแจกจ่ายผู้คนเสมอมา ซึ่งนั่นข้ากลับมองว่าเป็นรอยยิ้มที่ชวนระคายตา เพราะนั่นไม่ใช่รอยยิ้มที่เจ้าออกมาจากใจ
"ทำไม...เจ้าต้องทำถึงขนาดนี้" เสียงนั้นแผ่ว มือได้แต่ทิ้งตกลงข้างตัว ไม่แม้แต่จะยกมือผลักไส อาจเพราะงุนงงสับสน...หรืออาจจะเพราะตนเองสกปรกเกินกว่าที่จะสัมผัสคนที่ยังบริสุทธิ์สะอาดอย่างหลานวั่งจีได้
เมื่ออีกฝ่ายรู้ความจริง แล้วเขาจะเอาสิ่งใดไปด้านหน้าสานต่อความสัมพันธ์...ไม่มี...ไม่มีอีกแล้ว...
"เพราะข้า...อยากแบกรับความเจ็บปวดไปพร้อมกับเจ้า...ไม่หวังอะไรไปมากกว่านั้น"
"ทำไม?" คำพูดของหลานวั่งจีทำเอาเว่ยอู๋เซี่ยนตกตะลึงอีกครั้ง...จำเป็นอะไรที่จะต้องทำแบบนั้น??
หลานวั่งจีนิ่งงันไป นิ่งงันเนิ่นนานจนเว่ยอู๋เซี่ยนเริ่มรู้สึกอึดอัด จากนั้นเขาก็ได้ยินคำพูดเบาๆสามคำดังขึ้นข้างหู ดวงตาพลันเบิกกว้าง ผละออกจากอีกฝ่ายเล็กน้อยอย่างไม่เชื่อหู "เจ้าว่าอะไรนะ?"
"...ข้าจะไม่พูดซ้ำ" คิ้วเรียวขมวดน้อยๆ อย่างไม่ต้องการให้คาดคั้นเอาคำตอบจากเขา
คำพูดนี้มีค่ามาก เขาอุตส่าห์ไตร่ตรองอยู่นานกว่าจะพูดออกมาได้ ถ้าฟังไม่รู้เรื่องก็ช่างเถอะ
เขา...จะ...ไม่พูด...อีก!
หลานวั่งจีคลายอ้อมกอดของตนเองออก มองอีกฝ่ายที่ยังมองเขานิ่ง เขาจึงตัดสินใจเอ่ยต่อ "ตลอดเวลาที่เจ้าหายตัวไป ข้าตามหาเจ้ามาตลอด ถามไถ่ทั้งคนเป็นและดวงวิญญาณ แต่ก็ไม่ได้ข่าวคราวแม้แต่น้อย แต่ไม่เคยคิดแม้สักครั้งว่าเจ้าจะสิ้นชีวิต"
"ตอนที่เจ้ากลับมาที่ป้อมฉางหยาง เจ้าลงมือกับเวินเฉาและเวินจู๋หลิวอย่างโหดเหี้ยม ข้ารู้ว่าเนื้อแท้เจ้ามิใช่คนใจคออำมหิต มันต้องมีอะไรมากกว่านั้น อะไรที่ทำให้เจ้าทำให้คนๆนั้นแม้แต่ซากก็ไม่เหลือ"
"เจ้าเลยทำแบบนั้น ถามไถ่ดวงวิญญาณเวินเฉา..." เว่ยอิงก้มหน้ามองมือเขาที่สัมผัสมือของเขาอย่างไม่ได้รังเกียจใดๆ ในใจพลันรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากที่มันหนาวเหน็บราวกับถูกแช่อยู่ในเหลิงเฉวียนมานาน
หลานวั่งจีพยักหน้า "ขอโทษด้วย ที่จริงความทรงจำของเจ้าควรเป็นของเจ้าคนเดียวแท้ๆ ข้า...ไม่มีสิทธิ์จะไปแอบดูเช่นนั้น"
"หลานจ้าน"
"แต่สิ่งที่ข้าเสียใจที่สุด...คือไม่สามารถช่วยเจ้าได้ เจ้าจึงต้อง..."
"ไม่ต้องขอโทษ ข้าเข้าใจแล้ว" เว่ยอู๋เซี่ยนว่าเมื่อเห็นสีหน้าย่ำแย่ของอีกฝ่าย "แล้วก็ไม่ต้องเสียใจ ความทรงจำนี้เป็นของข้า ทุกอย่างมันผ่านไปแล้ว จบสิ้นแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องร่วมแบกรับเอาไว้หรอก"
"อีกอย่าง..."
ถ้าไม่ได้เสียงฉินของเจ้า ข้าอาจจะไม่ได้อยู่มาจนถึงทุกวันนี้ เราสองคนไม่มีสิ่งใดต้องขอบคุณกัน...
"อีกอย่าง?"
"เปล่า ไม่มีอะไร" เจ้านางแอ่นดำส่ายหน้าช้าๆ จากนั้นจึงถือวิสาสะปัดเศษหญ้าจากเรือนผมของอีกฝ่ายออก "ขอโทษที่ทำให้เจ้าตกใจ คงคิดแล้วล่ะสิว่าความบริสุทธิ์ของเจ้าคงถูกข้าพรากไปแล้วแน่ๆน่ะ หืม?"
"..." เขาเบี่ยงตัวจากมือของเว่ยอิง เนื่องจากมืดแล้วจึงมองไม่เห็นใบหูที่แดงเรื่อของหลานวั่งจี
"มา ข้าจะไปส่งเจ้าที่ในเมือง" ร่างบางลุกขึ้นแล้วยื่นมือมาทางเขา "นี่ยังไม่ยามไฮ่ น่าจะยังพอหาโรงเตี๊ยมดีๆได้อยู่หรอก เจ้าลงไปพักที่นั่นจะสะดวกกว่า"
"ไม่..." อีกฝ่ายปฏิเสธทันควัน
"อ้าว แล้วกัน อย่าเอาแต่ใจสิคุณชายรองหลาน แล้วท่านจะไปนอนที่ไหนกัน?"
หลานวั่งจีมองอีกฝ่ายนิ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
"นอนกับเจ้า"
"หา?"
รอตอนต่อไปอยู่?☺️
อยากให้น้องมีความสุขซะทีค่า