คุณเคยไปเขาหงอนนาครึเปล่า?
ถ้ายังไม่เคย เมื่ออ่านจบคุณอาจอยากเก็บของ สะพายเป้ แล้วบึ่งไปเลยก็ได้
หรือไม่มันอาจจะติดอยู่ในรายชื่อสถานที่ที่คุณไม่คิดจะไปเลยก็ได้เหมือนกัน
แต่ถ้าคุณมีแผนว่าจะไปแล้วยังไม่รู้ว่ามันมีอะไรข้างหน้าหรือไม่รู้จะเตรียมตัวอย่างไรล่ะก็
คุณยิ่งต้องอ่าน!
การเดินทาง
เขาหงอนนาคนั้นอยู่ที่ ต.หนองทะเล อ.กระบี่ จ.กระบี่ ครับ การเดินในครั้งนี้ผมเช่ารถมอเตอร์ไซค์ในราคา 250/วัน (น้ำมันเติมเองแต่ตอนคืนไม่ต้องเต็มถังก็ได้) โดยหาเช่าแถวๆ ที่พักครับ (ผมพักโรงแรมแถวอ่าวนาง)
ผมตั้งจีพีเอสไปยังโรงแรม อมารี โวค กระบี่ เพราะอ่านจากกระทู้หนึ่งมาว่าผ่านโรงแรมนี้ไปแค่ 500 เมตรก็ถึงแล้ว ถามว่าทำไมไม่ตั้งไปเขาหงอนนาคเลยล่ะ ก็เพราะผมทำแล้วมันพาหลงน่ะสิครับ เล่นพาผมตรงดิ่งขึ้นทางที่ไม่ใช่ทางเข้าอุทยานซะอย่างนั้น ซึ่งผมเองก็ขี่ตามมันไปดื้อๆ เพิ่งมารู้ก็ตอนหลงนี่ล่ะครับ (ฮา)
ถึงแล้ว !
ตอนผมไปยังเช้าอยู่ (8.20 น.) มีเจ้าหน้าที่อุทยานคนหนึ่งเดินมาบอกให้ผมไปลงชื่อและเวลาขึ้นไว้ก่อนจะเดินขึ้นไปจากนั้นก็เรียบร้อย เดินขึ้นได้เลย Let’s Go !
“3.7 กิโล เฮ้ย ! ไม่ไกล แปปเดียวก็ถึงยอดแล้ว”
ผมคิดแบบนี้ตอนเห็นป้าย แต่รู้อะไรไหมครับ
ผมใช้เวลาขึ้นไปถึง สามชั่วโมง !
ก่อนอื่นเลยอยากบอกว่าช่วงที่ผมไปสภาพอากาศค่อนข้างแย่สักหน่อยเพราะมีพายุเข้ากระบี่พอดี (เลือกวันไปได้ดีจริงๆ) ทำให้พื้นดินที่แห้งกลายเป็นชุ่มฉ่ำ กลิ่นชื้นและไอเย็นของป่าตลบอบอวลลอยฟุ้งเตะจมูกและประสาทสัมผัสร่างกาย กล้องที่ถือในมือฝ้านี่ขึ้นเป็นว่าเล่น
เเต่คิดในแแง่ดีอย่างน้อยมันก็ไม่ร้อน เพียงแค่ชื้นและอึดอัดนิดหน่อยเท่านั้นเอง
มันมีความโหดหลายระดับ
ช่วงแรกของการเดินขึ้นผมก็ยังชิวไปตามปกติ ยกกล้องขึ้นมาลั่นชัตเตอร์บ้างเป็นบางโอกาส แต่พอไปได้สักพัก(ใหญ่) ความโหดเล็กๆ ก็เริ่มขึ้น นั่นคือทางเริ่มชัน คุณจะเห็นกับทางชันที่คุณอาจลืมการเดินขึ้นเขาและต้องเปลี่ยนมาเป็นปีนเขาแทนเลยก็ว่าได้ ผมต้องเก็บกล้องในมือใส่เป้ทันทีเพราะมันค่อนข้างสูงและชันพอสมควร บวกกับพื้นดินที่ชื้นและชุ่มน้ำ ไม่คุ้มที่จะลื่นตกลงมา เเต่ยังดีที่มีรากไม้ให้เกาะขึ้นไปอยู่บ้าง
พอคุณขึ้นมาได้เท่านั้นแหละ คุณจะพบว่ารอบตัวคุณมืดลงมาอีกระดับจากทางเดินที่ค่อนข้างกว้างเพราะเจ้าหน้าที่ใช้รถลุยทางไว้ให้และยังมีพระอาทิตย์ส่องถึง มันหายไปเกือบครึ่ง เปลี่ยนเป็นต้นไม่สูงใหญ่รายล้อม เเละมีเพียงทางเดินเล็กๆ ที่ทำเอาไว้เพียงให้รู้ว่าเดินไปทางนี้นะ กับแสงอาทิตย์ที่น้อยลงเพราะไม่สามารถส่องผ่านความหนาของใบไม้ได้
บอกเลยว่ามาถึงตรงนี้ผมเหนื่อยแล้ว (- -)
และดันเอาน้ำมาชวดเดียวแถมยังเป็นขวดเล็กอีก ยังสงสัยตัวเองว่าทำไมตอนนั้นถึงคิดว่าแค่นี้มันจะพาไปถึงยอดได้ ผมเลยแค่จิบพอแก้กระหาย ขอแนะนำ ณ ตรงนี้เลย เอามาเลย ขวดใหญ่ ไม่ต้องกลัวว่าหนักเพราะมันจะลำบากแค่ตอนขึ้นเท่านั้น ตอนลงเชื่อเลยว่ามันหมดแล้วและจะเบาลงอย่างแน่นอน
แต่ความพีคที่ว่ามันคือต่อจากนี้ครับ เมื่อละสายตาออกจากวิวทิวทัศน์อันสวยงามแล้วนั้นผมดันเห็นป้ายเล็กๆ ที่ติดอยู่บนต้นไม้ผอมแห้งต้นหนึ่ง
“เหลือระยะทางอีก 1.5 กิโล”
…
นี่คือยังไม่ครึ่งทางเลยเหรอ? (T T)
ในเมื่อทำอะไรไม่ได้ ก็เดินต่อสิครับ ถึงกำลังใจจะหายไปเกือบครึ่งก็ตาม ทางเดินต่อจากตรงนี้แคบลงอีก เเละเริ่มโหดขึ้น มีทางชันที่ต้องปีนเยอะขึ้น เรียกว่าอันตรายเพิ่มขึ้น (ถ้าลื่นตกลงมา) และความน่ากลัวและน่าอึดอัดที่เพิ่มขึ้น ลองจินตนาการตัวเองเดินในป่าชื้นที่แสงแดดไม่ค่อยเข้าถึงดูสิ ต้นไม้ใบไม้สองข้างทางประกบสองข้าง ทางเดินที่ชื้นแฉะมีแมลงและสัตว์เลื้อยคลานบ้างเล็กน้อยตามทาง เสียงแมลงอะไรสักอย่างร้องหวีดลั่นป่า ฝนตกพรำๆ กับความเหนื่อยและความคิดในหัวที่ตีกันว่าจะถอยหรือไม่ถอยดี
แต่สุดท้ายผมก็ต่อสู้กับจิตใจตัวเองและพาตัวเองลุยฝ่าความมืดครึ้มและป่าหมอกในช่วงท้ายๆ ก่อนถึงได้ (ถ้าไปตอนเช้าเมื่อใกล้ถึงคุณจะได้เดินในป่าที่เต็มไปด้วยหมอกเลยล่ะ)
ก็เป็นอันจบการรีวิวครับ แต่ขอบอกไว้นิด “ขาลงเมื่อยขาสุดๆ เพราะคุณต้องเกร็งขาเพื่อเบรกแรงตัวเองไม่ให้ลงมาเร็วจนเกินไป เพราะตลอดทางคุณขึ้นทางชันมาตลอดใช่มั้ยล่ะ ลองนึกตอนขาลงดู”
แนะนำว่าก่อนมาเตรียมร่างกายให้พร้อม ไปวิ่ง ไปเข้าฟิตเนส ตรวจสุขภาพ และที่สำคัญ น้ำ ให้พร้อมครับ ส่วนค่าใช้จ่ายไม่มีนะ แต่ผมก็บริจาคให้เจ้าหน้าที่อุทยานไป (เขามีกล่อง) ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆ และครั้งหน้าผมก็ยังอยากมาอีก
...
ปล.1 ขอบคุณที่ตามอ่านจนจบครับ เป็นรีวิวที่ยาวมากตอนหนึ่งเลย ฮ่าๆๆๆ
ปล.2 ที่ผมเล่ามาอาจเป็นความรู้สึกส่วนตัวนะ คุณอาจจะไม่รู้สึกเหนื่อยเท่าผม หรือเจออะไรแบบผมก็ได้ เพราะที่ผมเล่าอาจดูเวอร์ไปแต่มันคือมุมมองของผม แต่ไงก็เซฟตี้เฟิร์สครับ
ปล.3 ถ้าไม่อยากผจญภัยมากดูพยากรณ์อากาศไว้สักหน่อยก่อนมาก็ดีครับ (ลื่นๆ มันอันตราย)
ปล.4 ที่นี่ไม่มีให้นอนกางเต็นท์ข้างบนแล้วนะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in