หลังจากพบจิตแพทย์ ก็พอรู้ๆ แล้วว่าปัญหาของเราคืออะไร
จริงๆ มันก็ไม่ใช่โรคซึมเศร้าแบบ 100%
แต่มันจะมีทั้งอาการซึมเศร้าและวิตกกังวลรวมอยู่ด้วย
ตอนแรกเราไม่รู้ตัวค่ะ
จนได้มาคุยกับหมอ จนรู้ว่า
ความรู้สึกที่เราแบกอยู่เนี่ย มันไม่ใช่ความรู้สึกทั่วไปของมนุษย์นะ
มันเข้าข่าย เครียดหนักมาก ชอบวิตกกังวลไปก่อนหน้า และเศร้าเกินกว่าปกติ
อาการซึมเศร้าไม่ใช่แค่คนภายนอกสังเกตไม่รู้
แม้แต่ตัวเอง บางทีก็เดาไม่ถูกเหมือนกันค่ะ
ครั้งแรกที่เจอหมอ เรามีนัดเจอหมออีก 3 อาทิตย์
พอถึงวันนัดเราก็ไปหาหมออีก
คุยกันไปคุยกันมา จนเข้าใกล้ปัญหาในจิตใจเรื่องแรกคือ
ทำงานและเรียนหนักเกินไป
มันก็ดูไม่น่าจะใช่เรื่องแปลกเลย
สมัยนี้ใครๆ ก็ทำงานเลิกดึก แถมแบกงานมาทำต่อที่บ้าน
แบบคูลๆ กันทั้งนั้น
เราก็แค่ทำให้เหมือนกับคนทั่วไป
ทำงานหนัก เรียนก็หนัก
วันปกติก็ไปทำงาน
วันเสาร์-อาทิตย์ก็ไปเรียน
9 โมงเช้าถึงทุ่มนึงไปทำงาน
กลับมาบ้านก็ทำการบ้านอ่านหนังสือถึงห้าทุ่ม
ถ้าไม่เสร็จก็ตื่นตีสี่มาทำอีกก็ได้นิ
ก็แค่ขโมยเวลานอนมาสักนิดหน่อย
ก็ทั้งทำงานและเรียนไปด้วยได้แล้ว
ถ้าง่วงระหว่างวันก็อัดกาแฟ
ปกติเราก็กินกาแฟวันละ 4 แก้วค่ะ
ไม่ง่วงระหว่างวันแน่นอน
แต่...รู้ไหมคะว่า พฤติกรรมที่เราทำ มันไม่ถูกต้อง
ร่างกายเราไม่ได้ไหวอะไรขนาดนั้น
ทั้งการอดนอน ทั้งการใช้แรง ใช้สมองในการทำงานและเรียน
รวมถึงการดื่มกาแฟมากเกินไป
ทุกสิ่งทุกอย่าง มันทำให้ร่างกายค่อยๆ ฟ้องว่าเริ่มไม่ไหว
ด้วยอาการใจสั่น หายใจลำบาก นอนไม่หลับ
และค่อยก่อตัวเป็นเครียด ความเศร้า ที่เป็นก้อนหินถ่วงลูกอยู่ใต้จิตสำนึก
ที่แม้แต่เราก็ไม่มีวันล่วงรู้
แต่ร่างกายไม่เคยโกหกเรา มันเลยแสดงอาการอะไรบางอย่างออกมา
"คุณรู้ไหมว่า ตั้งแต่เราเกิดมา ร่างกายเราไม่เคยทรยศเราเลยนะ
ไม่มีวันไหนที่หัวใจเราดื้อดึงไม่อยากเต้น
หัวใจมันยังเต้นอยู่ทุกๆ วันตามหน้าที่ของมัน
มีแต่เรานี่แหละไปฝืนมัน จนมันเริ่มร้องขอว่าไม่ไหวแล้ว"
หลังจากวันนั้น...ผู้หญิงที่ทำงานหนักคนหนึ่งได้ตัดสินใจ
เลิกทรยศร่างกายตัวเอง และหันมาใส่ใจสุขภาพ
และหัวใจของตัวเองให้มากขึ้น
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in