เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
รีviewNitipoom K.
02/2017 | La La Land : ความฝัน ความรัก และการตัดสินใจ
  • สวัสดีสัปดาห์วันเด็กที่ผ่านมาครับ หลังจากช่วงวันเด็กได้ดูหนังอย่าง La La Land มาแล้ว วันนี้จะมาเขียนรีวิวถึงเรื่องนี้ให้ได้อ่านกัน 

    โปสเตอร์ฉบับ IMAX ของ La La Land 

    เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จมากๆ สำหรับหนังใหญ่เรื่องที่สองของผู้กำกับขั้นเทพอย่าง Damien Chazelle ที่ผ่านการกำกับ Whiplash มาแล้ว โดย La La Land ได้สองนักแสดงนำ Ryan Gosling และ Emma Stone มาวาดลวดลายการแสดงทำให้กวาดรางวัลไปมากมาย ซึ่งล่าสุดก็สามารถทำลายสถิติเข้าชิง Golden Globe Awards 7 รางวัล และกวาดเรียบหมดทั้ง 7 รางวัล  

    นักแสดงนำและทีมงานผู้สร้างสรรค์หนังเรื่องเยี่ยมอย่าง La La Land ที่เด่นสุดๆในงานประกาศผลรางวัลลูกโลกทองคำที่ผ่านมา

    แต่เรื่องนั้นจะยังไงก็ช่างมัน สำหรับผมไม่มีอะไรพิสูจน์ได้ดีเท่ากับการได้ลองไปดูเอง และหลังจากได้ดูในระบบ IMAX ที่ต้องถ่อไปถึงสยามก็บอกได้เลยว่า "เพอร์เฟคท์" ครับ มันเพอร์เฟคท์ยังไงผมจะรีวิวให้อ่านกันในอีกหลายย่อหน้าต่อไปครับ 



           เอากันตั้งแต่เริ่มเรื่องเลย เวทย์มนต์ของพ่อมดนาม Damien Chazelle ก็เริ่มทำงานเลย เปิดเรื่องมาด้วยความอลังการดึงผู้คนเข้าไปสู่มหานครลอส แองเจลลิส บนสะพานที่เต็มไปด้วยรถแน่นเอี้ยด อัดแน่นไปด้วยเหล่าผู้คนที่เปี่ยมล้นด้วยความฝัน เป็นการเปิดเรื่องที่ตื่นตาตื่นใจสำหรับผมมากๆ ทั้งบทเพลง เครื่องแต่งกายที่มีสีสันและดูคลาสสิคไปในตัว ผสานเข้ากับท่วงท่าลีลาในการเต้นของนักแสดงประกอบแต่ละคน นี่ขนาดแค่ฉากเปิดนะเนี่ย 



           แต่ใช่ว่าจะดีงามแค่ฉากเปิดอย่างเดียว เรียกได้ว่าแทบทุกฉากในเรื่องนั้นลื่นไหลไปด้วยเวทย์มนต์ กอสลิ่งและสโตนนั้นทำให้หนังเรื่องนี้สดใสเกินกว่าคอสตูม งานภาพ การลำดับภาพโคตรดี อ่านไปก็จะหาว่าอวยแต่ถ้าได้ไปดูรับรองจะชอบ ยิ่งถ้าได้ดูในระบบ IMAX ยิ่งเพิ่มพลังให้กับเสียงดนตรีเพลงในหนังยิ่งกระหึ่มไปอีก แต่ก็ต้องรีบหน่อยเพราะระบบ IMAX ฉายถึงแค่วันพุธที่ 18 เท่านั้นก่อนที่จะถึงคิวของ xXx ภาคใหม่ 


          นอกจากนี้ตอนดูยังรู้สึกว่ามีกลิ่นของแจ๊สที่ดาเมียนผู้กำกับของเรื่องโปรดปรานอย่างที่เคยสัมผัสใน Whiplash ยิ่งเพลงแจ๊สที่เคยโผล่ในเรื่อง Whiplash ออกมาในเรื่องคือร้องเชี่ยออกมาเลย เปรมมาก แถมยังมีเทคนิคการถ่ายทำบางซีนที่เอามาจาก Whiplash เป๊ะๆด้วย 



           จบไปสำหรับเรื่องทางภาพยนตร์ มาที่เรื่องของสิ่งที่ได้รับจากเรื่องดีกว่า สำหรับเราคิดว่าในช่วงตอนที่มีความฝันความมุ่งมั่นของตัวละครหลักทั้งสองคนเนี่ย โทนของหนังจะออกแนวสดใสค่อนข้างไปทางเพ้อฝันเลยล่ะ ยิ่งบวกกับปัจจัยที่เรียกว่าความรักเข้าไปนี่ยิ่งโลกสวยไกันใหญ่เลยล่ะ แต่พอถึงช่วงหนึ่งของชีวิตตัวละครหลักทั้งสองคนที่มีช่องทางที่จะสามารถเป็นใบเบิกทางให้ฝันของตัวเองได้ ช่วงที่ตัดสินใจเลือกทางนั้นเพียงวินาทีเดียว อาจจะเปลี่ยนทุกทางของชีวิตตัวละครไปเลยก็ได้ ซึ่งเปลี่ยนหนังให้กลายเป็นโทนหม่นอย่างทันทีทันควัน
            การตัดสินใจของเพื่อความฝัน แม้อาจจะสูญเสียหลายสิ่งอย่างที่สำคัญ อย่างเช่นแรงขับดันของความฝันที่เรียกว่าความรัก แต่มันก็ดันให้เราถึงฝั่งฝันได้เหมือนกัน 
            สุดท้ายที่ได้เรียนรู้จากหนังก็คือ สิ่งที่ขับดันความฝันที่ดีที่สุดคือความรักนั้นแหละ แม้ความรักจะดันเราเข้าใกล้ความฝันจนไกลจากความรักไปเรื่อยๆ แต่สุดท้ายแล้วเราก็จะพบว่าเราก็โหยหาทั้งความรักและความฝันพอๆกันนั้นแหละ 



            นี่คือ La La Land สำหรับผมที่คิดได้ระหว่างฝืนสังขารพิมพ์ หลังจากที่ฝืนความป่วยไปดูหนังเรื่องนี้ให้ได้ครับ ถ้ามีอะไรเพิ่มเติมจะเขียนเพิ่มอีกแน่นอนครับ  
      
            
    อ้างอิงจากทวิตเตอร์ของผมเองครับ อาจจะไม่มีสาระอะไรมากแต่ถ้าอยากพูดคุยกันก็เชิญได้ครับผม
    ครั้งหน้าอยากจะไปดูเรื่อง Tomorrow I Will Date With Yesterday You ครับ ถ้าร่างกายแข็งแรงทันวันที่ 20 มกรานี้ก็น่าจะมีรีวิวให้คนที่สนใจอ่านแน่นอนครับ สำหรับรีวิวนี้ขอบคุณครับที่อ่านจนถึงบรรทัดนี้ :)

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in