พอเข้าเดือนธันวาคมของทุกปี มหากาพย์ภาพยนตร์แห่งจักรวาลก็มาให้เราได้มันส์กันอีกครั้ง หลังจากปีที่แล้ว Star Wars : The Force Awaken ได้กลับมาปลุกพลังแก่ชาวโลกและดึงทุกคนกลับเข้าสู่จักรวาลอีกครั้ง
กลับมาที่ธันวาคมปี 2016 นี้ Lucasfilm โดย Disney ก็ไม่ปล่อยให้แฟนๆรอภาคต่อของไตรภาคใหม่เอพิโสด 8 อย่างว่างเปล่า เลยปล่อยหนังมาคั่นระหว่างรอภาคต่อ ซึ่งคราวนี้เป็นคิวของ Rogue One ครับ
Rogue One : A Star Wars Story (2016) เดิมจะใช้ชื่อว่า Star Wars Rogue One Anthology
ทีม Rogue One นำโดย Jyn Erso
ชื่อ Rogue One จากการได้รับและหาข้อมูลอย่างงูๆปลาๆ ตามประสาติ่งที่ไม่ติ่งขั้นสุด ได้ความว่า Rogue One เป็นหน่วยหรือชื่อปฏิบัติการของหน่วยกบฎในการแย่งชิงแบบแปลนของสถานีอวกาศเคลื่อนที่ซึ่งเป็นอาวุธทำลายล้างที่ร้ายกาจที่สุดในประวัติศาสตร์ Death Star(ซึ่งมึงก็ถูกทำลายในภาค A New Hope)
ภาพ Death Star จากใบปิดของหนัง
ใน Rogue One : A Star Wars Story เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนภาค A New Hope (ภาคแรกของ Original ภาคสี่รวมกับไตรภาคทำเพิ่ม) ซึ่งเน้นไปทางตัวละครหลักอย่าง Jyn Erso (แสดงโดย Felicity Jones เฟลิซี่ที่รักของผมเอง ) ผู้เป็นลูกของ Galen Erso (ลุง Mads Mikkelsen ที่เพิ่งไปเป็นตัวประกอบในเรื่องหมอแปลกมา) ชายผู้เป็นส่วนสำคัญในการสร้างสถานีทำลายล้าง Death Star ดังนั้นเธอจึงเป็นความหวังสำคัญที่จะช่วยฝั่งกบฎขัดขวางการสร้างและทำลาย Death Star ได้
การดำเนินเรื่องในช่วงแรกองก์แรกของหนังนั้นช้ามากๆ ปูได้นานมาก ชวนง่วงอยู่เหมือนกัน กราฟความสนุกยังไม่สูงมาก แต่ถึงช่วงแรกๆจะชวนง่วงยังไง แต่พอเริ่มเข้าองก์สองเริ่มมีฉากแอ็กชั่นเพิ่มขึ้นมาถี่ๆ พร้อมมีมุกตลกตาบอดมาแทรกให้ได้ตื่นกันบ้าง ช่วยให้โทนของหนังไม่ดาร์กเกินไป กราฟความสนุกเริ่มสูงขึ้น
ฉากแอ็กชั่นจุดติดมาเต็มในองก์ที่สาม บอกได้เลยว่า "นี่คือสงครามของจริง" สเกลสงครามของจริงต่างจากภาคหลักอื่นๆ การปะทะของทั้งสองฝ่ายพีคขั้นสุดเหมือนสงครามจริงๆ มันดึงให้ลุ้นขั้นสุดแม้จะพอเดาจุดจบของสงครามได้ จนไม่รู้ตอนไหนที่ลืมหายใจ และเหงื่อท่วมมือได้ขนาดนี้ ทำให้กราฟความสนุกพุ่งขึ้นสูงสุด จนทำให้เกิดเสียงปรบมือเกรียวกราวจากทุกคนในโรง IMAX วันนี้ (ผมเองก็ปรบจนมือแดง ฮ่าๆๆ)
ส่วนตัวผมคิดว่าการดำเนินเรื่องแบบนี้ ฉากสเกลสงครามจริงๆดูแหวกไปจากสตาร์วอร์สภาคหลักอย่างยิ่ง ไม่เหมือน The Force Awaken ที่มีความเคารพต่อต้นฉบับสูงมากเลยทีเดียว แต่ถึงจะแหวกก็สามารถดึงคนดูทั้งเก่าและใหม่ให้ไปดู A New Hope รวมถึง Empire Strike Back และ Return of The Jedi ต่ออย่างว่าง่ายแน่นอนมากๆ
AT-AT จาก Empire Strike Back ก็มา
พาร์ทที่ผ่านมาพูดถึง IMAX Rogue One นี้ก็มีสเปเชี่ยลเอฟเฟ็คก็สุดจะตระก่ารตา สมกับเป็นสตาร์วอร์สและ IMAX จริงๆ ตามมาตรฐาน โทนของภาพมีทั้งหม่นและสดใสมากๆ (ยิ่งองก์สุดท้ายในการปฏิบัติการที่เป็นเหมือนทะเลตามตัวอย่าง)
เนื่องจากเนื้อเรื่องใน Rogue One เกิดในช่วงคาบเกี่ยวกับ A New Hope ซึ่งเป็นภาคคลาสสิคมากๆ ทำให้มีการใส่งานภาพที่ดูเป็นภาคคลาสสิคเข้าไปในนี้ด้วย ผสานเก่าใหม่ได้ลงตัวเลย คอสตูมของฝั่งจักรวรรดิ Stormtrooper ก็มีความแตกต่างจาก The Force Awaken ที่เป็นคอสตูมของ First Order แล้ว
พิเศษสำหรับแฟนสตาร์วอร์สโดยเฉพาะที่ Rogue One จัดให้กรี๊ดแตกนั่นก็คือตัวละครจากในภาคหลักหลายๆตัวที่มาโผล่ในเรื่องนี้ไม่ว่าจะเป็น General Tarkin หรือสัญลักษณ์ของสตาร์วอร์สที่ปรากฏตัวในเทรลเลอร์อย่าง Darth Vader ก็มาเช่นกัน และยังมีเซอร์ไพรส์อีกเพียบที่อยู่ในหนังบอกไม่ได้ ต้องไปดูเอาเอง
สรุป
Rogue One : A Star Wars Story เป็นหนังเรื่องเยี่ยมของ Star Wars เรื่องหนึ่งเลยทีเดียว ถึงแม้ว่าจะจุดความมันติดช้าไปหน่อย แต่หลังจากจุดติดแล้วกราฟความสนุกก็จะพุ่งสูงทะลุเพดานบน จนลืมหายใจ ทำให้มือชุ่มไปด้วยเหงื่อเลยล่ะครับ สามารถดึงคนให้กลับไปดูภาคเก่าที่ต่อจากเหตุการณ์ในภาคนี้ได้อีก แถมยังมี Easter Egg เพียบ และข้อคิดเตือนใจให้รู้จักกับ "ความหวัง" สิ่งเดียวที่ทำให้สู้กับสิ่งเลวร้ายต่างๆได้
(9/10) หักตรงที่ช่วงแรกเนือยๆเอื่อยๆนอกจากนั้นดีมากๆ
ปล.เฟลิซี่เล่นดี น่ารักแถมยังมีเสน่ห์มาก หลงรักเลย
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in