เคยเล่นวิ่งไล่จับไหมครับ ในช่วงแรก ทุกคนจะยังคงสนุกอยู่และพร้อมที่จะทำหน้าที่ของตัวเอง ฝ่ายหนีพร้อมจะออกวิ่ง ฝ่ายไล่เองก็ยังมีแรงเหลือเฟือที่จะวิ่งกวด แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักระยะ ความปวดเมื่อยจะค่อยๆ แทรกเข้ามาอย่างเงียบเชียบ รู้ตัวอีกที ขาสองข้างก็พาลจะก้าวต่อไม่ไหว เมื่อเกมไม่มีทีท่าว่าจะจบสิ้นเสียที เราอาจต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้แล้วเลิกราไปเอง
ครับ...ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเขาก็เหมือนเกมวิ่งไล่จับที่ไม่มีทีท่าจะสิ้นสุดในระยะเวลาอันใกล้
สามปีก่อน ตอนที่ผมก้าวเข้ามาในรั้วมหาวิทยาลัยเป็นครั้งแรก ผมพบเขาในวันที่ฝนตกหนัก มันเป็นวันที่พยากรณ์อากาศเตือนว่าจะมีพายุเข้า แต่ถึงจะรู้และเตรียมตัวพกร่มพับติดไม้ติดมือมาด้วย ผมก็ไม่สามารถเดินฝ่าพายุฝนฟ้าคะนองในตอนนี้ได้
ผมและสมาชิกเพื่อนร่วมคณะอีกหลายชีวิตติดอยู่ใต้ถุนอาคารเรียนอยู่เกือบชั่วโมงกว่าที่ฝนจะเริ่มซาลง หลายคนตัดสินใจวิ่งฝ่าสายฝนไปในช่วงนี้ ผมเองก็เช่นกัน แม้จะยังมีลมพัดเอาละอองฝนมาโดนตัวหลายครั้งก็ยังดีกว่าอยู่รอแล้วฝนเทเป็นฟ้ารั่วลงมาอีกรอบ
นับว่าเป็นโชคดีที่หอพักของผมในตอนนั้นไม่ไกลจากตัวอาคารเรียนนัก แว่นตาทรงสี่เหลี่ยมเรียบๆ มีหยดน้ำเกาะเล็กน้อย ผมเดินลัดเลาะออกทางประตูด้านหลังอาคารเรียน ผ่านซอยแคบๆ ที่มีร้านอาหารตามสั่งตั้งดักตลอดสายอย่างที่ทำเป็นประจำ เหลือบมองท้องฟ้าที่ยังคงปกคลุมด้วยเงาเมฆทะมึนแล้วตัดสินใจแวะเข้าร้านสะดวกซื้อหมายเลขเจ็ด จัดแจงซื้ออาหารเย็นเข้าไปในหอเพื่อที่จะได้ไม่ต้องหอบสังขารมาสู้กับพายุฝนอีกรอบ
ขณะที่ก้าวออกมาด้านนอกร้านพร้อมถุงที่บรรจุอาหารแช่แข็งพร้อมกับแก้วกาแฟในมือ ก่อนจะพบว่าการกางร่มด้วยมือข้างเดียวเป็นเรื่องลำบาก สุ่มเสี่ยงต่อการทำแก้วกาแฟหกคว่ำเป็นอย่างยิ่ง ผมไม่แน่ใจว่ายืนทำสีหน้าอย่างไร แต่มันคงดูน่าเวทนาพอที่จะทำให้พนักงานในร้านเดินออกมาถาม
'ให้ช่วยไหมครับ'
ตามที่เขาบอกผมในภายหลัง เขายืนยันว่าผมทำหน้าปุเลี่ยนจนเขาต้องชี้มาที่ร่มเพื่อให้ผมเข้าใจคำถามของเขา
'อ่า...ไม่เป็นไรครับ' เป็นธรรมดาที่เราจะปฏิเสธคนแปลกหน้าที่เดินดุ่มเข้ามาทักทายกันแบบนี้
'ถ้าอย่างนั้นผมถือกาแฟให้ก่อนได้นะครับ เดี๋ยวหก' เขายังไม่ละความพยายาม ซ้ำยังพูดพร้อมกับยิ้มกว้างจนเห็นลักยิ้มข้างขวา
ผมปฏิเสธเขาด้วยการตัดสินใจวางแก้วกาแฟบนหลังตู้เติมเงินโทรศัพท์ จัดการกลางร่มของตัวเองเสีย แล้วค่อยหันไปคว้าแก้วกาแฟมาไว้ในมืออีกครั้ง เขามองผมเงียบๆ ก่อนจะหันหลังกลับเดินกลับเข้าไปในร้านสะดวกซื้อเพื่อทำงานต่อ
หลังจากนั้น ผมได้เจอเขาอีกบ่อยครั้งเวลาไปซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อ เรามักพบกันช่วงหัวค่ำ ซึ่งเป็นเวลาที่กระเพาะของผมประท้วงเรียกร้องของกินเป็นประจำ และตรงกับเวลาที่เขาเข้างาน
ช่วงแรกบทสนทนาของเรามีแค่ราคาของสินค้าที่ผมต้องจ่าย พัฒนามาเป็นถามไถ่ทักทายตามประสาลูกค้าประจำ จนล่าสุดกลายมาเป็นเพื่อนที่เดินไปเรียนพร้อมกันแล้ว
หลังจากที่เขาเป็นฝ่ายชวนคุยอยู่ร่วมเดือน ผมก็รู้ว่าเขาเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกับผมแต่คนละคณะ เราเป็นนักศึกษาปีหนึ่งเหมือนกัน และลงแข่งวิ่งเป็นตัวแทนของคณะเหมือนกันด้วย
ทุกเช้า เขาจะยืนรอผมที่หน้าร้านสะดวกซื้อที่เดิม ไปซ้อมวิ่งกันก่อน แล้วค่อยกลับมาอาบน้ำเตรียมตัวไปเรียนช่วงเช้า
จากการซ้อมด้วยกันทุกวันทำให้ผมรู้ว่าถ้าแข่งกันจริงๆ ผมจะเป็นฝ่ายชนะ แต่ถ้าเวลาแข่งกันเล่นๆ ผมก็จะยอมให้เขาชนะบ้างแล้วแต่จังหวะอารมณ์อีกที เพราะเวลาเขาแพ้ เขาชอบเม้มปากพองลมที่แก้มโดยไม่รู้ตัว และเวลาที่เขาทำหน้าแบบนั้น...ผมรู้สึกเหมือนหัวใจของผมเต้นผิดจังหวะ
'นี่...ทำไมถึงทำงานที่ร้านล่ะ ไม่เหนื่อยเหรอ' ผมเอ่ยถามในวันหนึ่งซึ่งอากาศเริ่มเย็นตัวลง และเรากำลังเดินกลับหอด้วยกัน
ครับ...นอกจากจะตื่นเช้ามาซ้อมวิ่งด้วยกัน เดินไปเรียนพร้อมกันแล้ว ผมกับเขาเริ่มกลับหอพร้อมกันด้วยเหตุผลที่เขางอแงว่าถ้ากินข้าวคนเดียวจะสั่งกับข้าวได้น้อยอย่างกว่ากินสองคน
ผมไม่เคยชอบทานข้าวนอกบ้าน แต่ผมเริ่มชอบมันตอนที่เขาชวนผมด้วยยิ้มแป้นแล้นโชว์ลักยิ้มข้างเดียวของเขา
'ทำงานก็ต้องอยากได้เงินสิ มันไม่ได้เหนื่อยอะไรมากเสียหน่อย'
'นึกว่าจะตอบประมาณอยากได้ประสบการณ์อะไรแบบนั้นเสียอีก'
เขาหัวเราะเบาๆ กับสิ่งที่ผมพูด เวลาเขาหัวเราะ ตาชั้นเดียวของเขาจะยิ่งเล็กเข้าไปอีกจนดูเหมือนเส้นขีดในการ์ตูน
'ในร้านสะดวกซื้อแบบนั้นเนี่ยนะ ไม่หรอก แค่อยากมีเงินเก็บน่ะ ฉันดูเหมือนคนที่คิดอะไรลึกซึ้งแบบนั้นหรือไง'
ผมไม่ได้เก็บเอาคำตอบของเขามาใส่ใจนัก สำหรับเด็กปีหนึ่งที่เพิ่งได้มีโอกาสใช้ชีวิตของตัวเองก็คงอยากลองทำนั่นทำนี่เป็นธรรมดา
'วันนี้ไปกินร้านนั้นกันไหม' เขาเปลี่ยนเรื่องพลางชี้นิ้วไปที่ร้านอาหารตามญี่ปุ่นที่เราเดินผ่านประจำแต่ไม่เคยได้แวะชิมเสียที
'อืม เอาสิ' ผมไม่ใช่พวกเลือกกินอยู่แล้ว อะไรก็ได้ทั้งนั้นถ้าเขาอยากกิน
ปกติแล้ว ผมไม่ได้ตามใจเขาเท่าไหร่ ถ้าผมไม่ว่าง ไม่สะดวกอะไรก็แค่บอกเขาก่อน แค่เฉพาะเรื่องกินเท่านั้นที่เขาดื้อเงียบ และหัวรั้นพอๆ กับปลายจมูกที่รั้นขึ้นของเขา
สาเหตุหนึ่งที่ผมจำเรื่องที่เกิดขึ้นได้ดีคงเป็นเพราะมันมีหลายอย่างที่เกิดขึ้นเป็น 'ครั้งแรก' ในวันนั้น
มันเริ่มจากที่ผมยอมตามใจให้เขาสั่งอาหารญี่ปุ่นตามใจชอบ และจบลงด้วยการที่ผมต้องลากสังขารไปเฝ้าเขาที่ห้อง
นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมรู้ว่าเขาแพ้ปลาไหล ผมคิดว่าเขาเองก็เพิ่งรู้ความจริงข้อนี้พร้อมกันกับผม หลังจากที่ทานข้าวหน้าปลาไหลที่เจ้าตัวอยากกินนักหนา เขาก็ทั้งอาเจียนทั้งท้องเสียจนเกือบจะหน้ามืดวูบไปหน้าห้องน้ำ
ความรู้สึกของผมในตอนที่รับโทรศัพท์จากเขามีอยู่สองอย่าง อย่างแรก ผมโกรธที่เขาปล่อยให้ตัวเองอาการแย่ขึ้นเรื่อยๆ จนไม่ไหวจริงๆ ถึงโทรบอกผม อย่างที่สอง...ผมดีใจที่เขานึกถึงผมในเวลาที่เขามีปัญหา
วันนั้น ผมแวะเข้าร้านสะดวกซื้อที่ไม่มีเขาอยู่ที่เคาน์เตอร์ ซื้อผงเกลือแร่และยานิดหน่อยก่อนจะไปหาเขาที่ห้อง แน่นอนว่านั่นเป็นครั้งแรกเหมือนกันที่ผมได้ไปห้องของเขา
ตอนที่ผมไปถึง เขาก็หมดสภาพแล้ว แทบจะคลานขึ้นเตียงด้วยซ้ำ เวลาป่วยเขาเหมือนเด็ก งอแงจะนอนท่าเดียว ผมข่มขู่เขานิดหน่อยเพื่อให้เขายอมจิบเกลือแร่กับทานยา มันน่าขำตรงที่เขาเพลียเกินกว่าจะเถียงหรือดื้อกับผม แต่ก็ยังมีแรงพอด่าผมทางสายตา
เขาอ่านง่าย ทุกอย่างที่เขาคิดหรือรู้สึกแสดงออกมาทางสีหน้าหมดจนผมไม่ต้องเดาด้วยซ้ำว่าเขากำลังรู้สึกอย่างไร และผมก็ชอบที่เขาเป็นแบบนั้น
วันต่อมา เขาหยุดเรียนเพราะยังเพลียอยู่เล็กน้อย ส่วนผมแค่แวะมาส่งข้าวส่งน้ำและเช็คว่าเขาทานยาตามเวลาเท่านั้น
'จริงๆ เดี๋ยวลงไปซื้อเองก็ได้นะ เกรงใจ' เขาพูดแบบนั้นแต่มือกลับหยิบเอาโจ๊กในมือผมไปเทใส่ถ้วยเองเรียบร้อยแล้ว
'ขอถ้วยอีกสักใบสิ'
'ทำไมอ้ะ' เขาขมวดคิ้วด้วยความงุนงง ผมไม่ได้ตอบอะไรนอกเสียจากชูถุงโจ๊กในมืออีกข้างให้เขาดู
'เอ้า ทำไมไม่บอกว่ายังไม่ได้กิน ใครมันจะไปรู้'
'ก็ไม่ได้ถามนี่' ไม่ได้ตั้งใจจะกวนประสาท แต่พอเห็นเขาแยกเขี้ยวใส่แล้วตลกดีเหมือนกัน
เราจัดการกับมื้อเที่ยงง่ายๆ พร้อมกับเปิดดูซีรีส์เกาหลีที่เขาติดตามอยู่เพราะชอบนางเอกมาก โชคดีที่เป็นแนวสืบสวน ผมจึงไม่รู้สึกเบื่อกับการต้องทนนั่งดูมันกับเขานัก
แต่ผมไม่ได้บอกเขาหรอกครับ ว่าสีหน้าตอนเขาลุ้นว่านางเอกจะหลอกล่อคนร้ายได้อย่างไรมันน่าดูกว่าซีรีส์ทั้งตอนอีก
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in