เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Yesterday Unknown เมื่อวันก่อนอ่ะค่ะabudabeww
ทำไมเมื่อมีรักฉันจึงต้องช้ำใจ: Reality vs. Choice
  • "ทำไมเมื่อมีรักฉันจึงต้องช้ำใจ หากเป็นอย่างนั้นขอได้ไหม ให้ฉันไม่รักใครอีกเลย"

    เราเป็นคนนึงที่ทุกครั้งที่ความสัมพันธ์มาถึงจุดที่กลับไม่ได้ไปไม่ถึง เรามักจะบอกกับตัวเองเสมอว่า จะไม่ไปรักใครอีก จะไม่ไปทำให้ใครเสียใจอีก และจะไม่มี Romantic Relationship กับใครอีก เราคงไม่เหมาะกับความรัก อยู่คนเดียวเนี่ยแหละอาจจะเป็นทางที่ดีที่สุดสำหรับคนอย่างเราแล้ว 

    เมื่อหลายวันก่อนได้รับหนังสือ How to fix a broken heart เป็นของขวัญเริ่มต้นเดือนตุลาคม (ขอบคุณนะค่าบ) หลังจากได้ยินชื่อเสียงเรียงนามมานาน อยากอ่านจนลืมว่าอยากอ่าน ตอนนี้ได้มาอ่านจบสมใจ ก็พบว่า เออ เล่มนี้ดีจริง สมคำร่ำลือมากๆ เนื่องด้วยผู้เขียนเป็นนักจิตวิทยา ในหนังสือเล่มนี้จึงมีการพูดถึงอาการอกหัก ภาวะหัวใจบอบช้ำได้อย่างมีที่มาที่ไป สามารถทำให้คนที่อยากจะมูฟออนหรือเหล่าซัพพอร์ตเตอร์ทั้งหลายก็ดี ได้เข้าใจถึงภาวะอารมณ์ และความคิด และพร้อมที่จะรับมือได้มากขึ้น

    ในช่วงเกือบท้ายๆของหนังสือมีการพูดถึง Reality และ Choice อ่านจบก็รู้สึกว่าเออ อันนี้เนี่ยแหละสามารถนำมาอธิบายถึงภาวะติดขัดค้างคาในจิตใจ ไม่มูฟไปไหนได้ดีอันนึงเลย ถือว่าเป็น A rule of thumb ที่สามารถนำไปปรับใช้ในสถานการณ์ต่างๆที่มีผลด้านจิตใจนอกเหนือจากตอนอกหักได้เช่นกัน เขาบอกว่าตอนที่เราบอบช้ำด้านจิตใจ มีงานวิจัยออกมาว่า IQ เราต่ำลงและมีผลต่อการตัดสินต่างๆ เรียกไปว่าเราใช้หัวใจนำสมองก็ว่าได้ ไม่ค่อยมีเหตุผล

    อ่านแล้วก็มาคิดถึงตัวเราเอง ที่เคยคิดว่าเราเองไม่เหมาะกับความรัก อยู่คนเดียวคือทางที่ดีที่สุด นั่นไม่ใช่สิ่งที่เราเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่เป็นเพียง Choice ที่เราเลือกที่จะเป็น ไม่ได้มีการถอยมาชั่งน้ำหนักเหตุและผลให้ถี่ถ้วนก่อน ไม่ได้มาแยกมันออกจาก Reality คือ สิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ สิ่งที่เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ เช่น ในเคสของเราคือ ความสัมพันธ์ที่จบลง ซึ่งการจบลงนั้นไม่ว่าด้วยปัจจัยใดก็ตามหรือของใครก็ตาม นั่นไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่สามารถมีความสัมพันธ์ได้อีก เพราะเราสามารถเปลี่ยนตัวเองได้ เรียนรู้จากความผิดพลาดที่ผ่านมาได้ เพราะเช่นนั้นเวลาเราเจอเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ ความรู้สึก ก็ต้องมีสติแยกแยะให้ดี อะไรล่ะที่ทำให้ครั้งที่ผ่านมามันไม่เวิร์ค ควบคุมได้หรือไม่ได้ พอเราคิดว่าทั้งหมดมัน คือ Reality มันก็จะทำให้รู้สึกว่าเราควบคุมอะไรไม่ได้เลย เราก็จะยิ่งรู้สึกแย่ จมปลัก ข้ามผ่านไปยากลำบากเสียเหลือเกิน ทั้งๆที่มันมีสิ่งที่เราควบคุมได้อยู่ ยังมี Choice ให้เราเลือกปฏิบัติอยู่

    Who hurt you? - Your own assumption การทึกทักไปเองในหลายๆเรื่องนั้นก็มีส่วนที่ทำให้เรานึกถึงความเป็น Reality or Choice เหมือนกัน หลายครั้งหลายคราที่เราได้มีโอกาสได้รับบทพี่อ้อยพี่ฉอด สิ่งนึงที่ทุกคนที่แวะมาเล่าเรื่องราวให้ฟังนั้นมีเหมือนกันคือการทึกทักไปเองเนี่ยแหละ ไปอยู่กับ Choice (e.g. การคิดแทนต่างๆว่าคนนั้นเขาจะรู้สึกยังไง) ไม่ได้อยู่กับ Reality อยู่กับปัจจุบัน (e.g. ความรู้สึกของเขาจริงๆ) ซึ่งก็เข้าใจได้ถึงระบบกลไกป้องกันหัวใจตัวเองไม่ให้พบกับความผิดหวังของมนุษย์เรา คนเราชอบนึกถึง worst case scenario ที่เป็นไปได้ก่อน บางครั้งมันก็ดีแต่บางครั้งมันก็ยิ่งทำให้ใจเราแย่ ซึ่งมันอาจจะมีผลต่อ mental healthในระยะยาวต่อไป ก็ควรระวังให้ดี 

    มีหลายดีเทลในช่วงท้ายที่ผู้เขียนได้สรุปและแนะนำแนวทางต่างๆที่เราคิดว่ามันเวิร์คมากๆ ทั้งที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเราปฏิบัติเองหรือใช้ซัพพอร์ตผู้คนรอบข้าง ก็อยากให้ได้ไปลองอ่านและปรับใช้กันดู ส่วนที่เราได้มาใช้กับตัวเราหลักๆเลย คือ การฝึกแยกแยะ มีสติต่ออารมณ์ความรู้สึกมากขึ้น เลิกคิดอะไรลบๆ เลิกคิดถึงสิ่งที่จะทำให้เรากลับไปอยู่ในลูปนรก ทำให้เป็นนิสัยแล้วเราจะรับมือในสถานการณ์ต่างๆยามที่ใจบอบช้ำได้ดียิ่งขึ้น 

    ป.ล. ยังมีอีกหลายอีกเรื่องที่เราอยากพูดถึงเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้ แต่ไว้รอโพสหน้าแล้วกันเนอะ น่าจะได้argumentนึงยาวๆเลย ตอนนี้ขอไปซุ่มdraftไว้ก่อนแล้วกัน แล้วเจอกันใหม่ค่าบบ บ้ายบาย



เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in