ผมขี่ม้าไม่เป็น และหนังสือเล่มนี้ก็ไม่เกี่ยวกับการขี่ม้า
ที่จริงต้องบอกว่า—ผมไม่เคยแม้กระทั่งนั่งอยู่บนหลังม้าด้วยซ้ำ แต่การเปรียบเปรยของ
เดวิด โบห์ม (David Bohm) นักฟิสิกส์ที่เป็นนักปรัชญาด้วยนั้น ทำให้ผมจินตนาการว่าตัวเอง
มักจะนั่งอยู่บนหลังม้าเป็นประจำ
ไม่ได้นั่งอยู่เฉยๆ แต่ทว่ายัง ‘หลับใหล’ อยู่บนหลังม้าด้วย!
โบห์มเล่าว่า เมื่อเขาขี่ม้าเป็นครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อน ผู้ให้เช่าม้าบอกเขาว่า “คุณต้องคิดให้เร็วกว่าม้า ไม่อย่างนั้นคุณจะได้แต่ไปตามที่ม้าพาไป”
โบห์มประทับใจลึกซึ้งกับคำพูดนั้น เขาบอกว่าคำพูดนั้นมีสัจจะสำคัญอย่างหนึ่ง นั่นคือกระบวนการใหญ่โต (อย่างเช่น การขึ้นขี่บังคับม้า) นั้น, สามารถถูก ‘บังคับ’ และ ‘สั่งการ’ ได้จากการทำงานของสิ่งที่เล็กกว่า ละเอียดอ่อนกว่า และรวดเร็วกว่า,
ในที่นี้ก็คือการดึงสายบังเหียนที่เมื่อเปรียบกับตัวม้าแล้ว—มันช่างเล็กจิ๋วและบอบบางเสียเหลือเกิน
โบห์มบอกว่า มนุษย์เรามักดำเนินชีวิตเหมือนการขี่ม้า ไม่ใช่การขี่ม้าธรรมดา แต่เป็นการขี่ม้าที่ ‘หลับใหล’ อยู่บนหลังม้า การบังคับม้านั้นเป็นทักษะเชิงกลไกอย่างหนึ่ง ซึ่งเมื่อเราเกิดการเรียนรู้หรือ ‘ขี่เป็น’ ในระดับเบื้องต้นแล้ว เรามีแนวโน้มจะเห็นการขี่ม้าเป็นกระบวนการเชิงกลไกอย่างหนึ่ง เราจะไม่กล้าเปลี่ยนแปลงมัน เราจะขี่ม้าตัวแข็งเหมือนที่ครูสอน
นั่นทำให้เรา ‘หลับใหล’ อยู่บนหลังม้า,
และนั่นเป็นเรื่องอันตราย!
เราไม่อาจสร้างสรรค์วิธีขี่ม้าแบบใหม่ๆ ขึ้นมาได้ เพราะเราติดกับดักอยู่กับวิธีขี่ม้าที่มีลักษณะเป็นกลไก
ในชีวิต เราไม่ได้เรียนรู้แค่เรื่องขี่ม้าเท่านั้น แต่สิ่งที่เราเรียนรู้ตั้งแต่เด็ก ทั้งจากพ่อแม่ ครู เพื่อนและสังคมโดยรวม ล้วนหล่อหลอมให้เกิดสภาวะทางจิตบางอย่างที่เราต้องยอมหมอบราบ ลอกเลียน และทำซ้ำแบบกลไก ซึ่งดูเผินๆ มันไร้อันตราย เพราะไม่ไปกระทบกระทั่งกับใคร เราจึงฝังตัวอยู่ในวิธีการแบบกลไกซ้ำเดิมนั้น เหมือนที่เราเห็นได้บ่อยๆ ว่าเด็กๆ ในโรงเรียนที่ต้องท่องอะไรซ้ำๆ เมื่อโตขึ้นก็จะเอ่ยปากพูดแก่นความคิดแบบเดิมออกมาคล้ายกับตัวเองเป็นเพียงเครื่องจักรที่ถูกฝังโปรแกรมเอาไว้
ในเวลาเดียวกัน ก็มีคนที่รังเกียจการขี่ม้าเชิงกลไกยิ่งนัก พวกเขาไม่พอใจกับการตกอยู่ในกับดักของวิถีแบบกลไกแบบนี้ แต่สิ่งที่พวกเขาทำก็คือการ ‘เหวี่ยง’ ไปอยู่อีกฟากหนึ่ง แล้วที่สุดก็ไปตกอยู่ใน ‘กับดักของการขบถ’ เพื่อต่อต้านวิธีขี่ม้าเชิงกลไกตามที่ถูกสอนสั่งมา พวกเขาทำตรงข้ามกับทุกสิ่งที่ถูกฝังหัว นำเสนออุดมการณ์ที่เป็นด้านตรงข้าม หรือพยายามอย่างยิ่งที่จะขัดแย้งกับการขี่ม้าแบบเก่า
น่าเสียดาย ที่มันเป็นการต่อต้านกลไกแบบเก่าโดยการใช้กลไกแบบเก่าที่ไปไม่พ้นกลไกแบบเก่า
เราจึงไม่ได้ก้าวไปไหน และที่สุดก็ยังคงหลับใหลอยู่บนหลังม้าอยู่ดี
โบห์มบอกว่า มีน้อยคนนักที่หนีจากการทำงานของความคิดที่เป็นเงื่อนไขแบบกลไกทั้งสองนี้ได้ และในน้อยคนที่ว่า ยิ่งมีน้อยคนลงไปอีก ที่สามารถหนีจากความขัดแย้งมหึมาทั้งภายในและภายนอกตัวเองได้จริงๆ
ส่วนใหญ่แล้ว เรามักนั่งหลับอยู่บนหลังม้า หรือไม่ก็พยายามกระแทกกระทั้นม้าด้วยอาการละเมอ กระทั่งที่สุดมันก็สลัดเราตกลงมาคลุกฝุ่น ทำให้ไม่สามารถเดินทางไปสู่ ‘ที่หมาย’ หรือระเบียบโครงสร้างใหม่ๆ ได้อย่างแท้จริง
ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะเราคุ้นเคยกับการทำอะไรซ้ำๆ เชิงกลไกตามที่ถูกปลูกฝังมาด้วยขนบ—มากเกินกว่าจะมองให้พ้นไปจากคู่ตรงข้ามได้
บ่อยครั้ง ม้าก็ปล่อยให้เราหลับ มันวิ่งเหยาะย่างเรียบนิ่งไปเรื่อยๆ ปล่อยให้สายลมพัดพลิ้วปะทะใบหน้าจนเคลิ้ม เพราะมันกลัวว่าหากเราตื่นขึ้นในวันหนึ่ง เราอาจพามันไปในจุดหมายที่มันไม่ต้องการจะไปก็ได้
เราอาจไม่จำเป็นต้องตื่นขึ้นมาเต็มตัวก็ได้ หากนั่นเป็นภารกิจที่ยากเย็นอย่างยิ่ง
แค่รู้ตัวว่าหลับอยู่ บางครั้งก็เพียงพอแล้ว เพราะหากเรารู้ตัวว่าหลับ ย่อมแปลว่าเราได้เริ่มตื่นรู้สึกตัวขึ้นบ้างแล้ว,
แม้จะเล็กน้อยอย่างยิ่งก็ตามที!
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in