เป็นคำตอบที่ทำให้ผมได้มาทำงานวิจัยเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์ความสุข จนได้เจอและแต่งงานกับผู้หญิงที่ผมรักและเป็นคำตอบที่ทำให้ผมได้มายืนอยู่ ณ จุดนี้ ในฐานะศาสตราจารย์ทางด้านพฤติกรรมศาสตร์ และผู้เชี่ยวชาญทางด้านเศรษฐศาสตร์ความสุขและเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม
“นิค” เขาเรียกผมว่านิค “ข้าวของของยูน่ะอยู่ในรถของไอและยูก็ขอให้ไอขับรถไปส่ง รถของไอมันก็เก่ามากแล้วด้วย ยูรู้ไหมว่าลอนดอนรถติดขนาดไหน ถ้าต้องขับแล้วหยุด ขับแล้วหยุดบ่อยๆเกียร์ต้องพังแน่ๆ"
“ไปเรียนวอร์ริกเหอะ ขับขึ้นทางด่วนไปโคเวนทรีง่ายกว่ากันเยอะเลย”ผมมองโรเบิร์ตแบบ งงๆ พร้อมกับคิดในหัวว่า นี่หรือเหตุผลแต่ก่อนที่ผมจะเถียงเขากลับก็คิดขึ้นได้ว่าที่โรเบิร์ตพูดนั้นก็เป็นความจริง ข้าวของทั้งหมดของผมอยู่ในรถของเขา รถของโรเบิร์ตก็เก่ามากแล้วจริงๆ และผมก็ไม่มีเงินพอที่จะจ้างคนอื่นมาขนของผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะตอบกลับไปว่า “โอเคๆวอร์ริกก็วอร์ริกวะ”
ถึงตรงนี้คุณผู้อ่านคงจะตั้งคำถามในใจว่า ผมต้องการสื่ออะไรกันแน่ จะสื่อถึงการมีเพื่อนสนิทแบบ งงๆ อย่างโรเบิร์ต หรือจะสื่อถึงการตัดสินใจที่ไม่ค่อยมีเหตุผล แล้วไปเสี่ยงดวงเอาข้างหน้าหรือชีวิตที่ดีคือการมีโอกาส มีทุนการศึกษา ได้ไปเรียนต่อต่างประเทศอย่างนี้น่ะเหรอไม่ใช่นะครับ สิ่งที่ผมอยากจะบอกก็คือ เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าชีวิตของเรา ‘อีกชีวิตหนึ่ง’ จะมีหน้าตาเป็นยังไงต่างหาก
ผมไม่มีทางรู้ได้เลย ว่าถ้าวันนั้นผมไม่ฟังคำตอบของโรเบิร์ตและไปเรียนที่ LSE แทน ชีวิตของผมจะออกมาเป็นยังไงบ้างผมคงจะไม่ได้เจอกับภรรยา คงไม่ได้เรียนจบปริญญาเอก หรือถ้าจบก็อาจจะเป็นทางด้านอื่นๆ ผมไม่มีทางรู้ได้เลยว่าชีวิตของผมจะมีความสุขมากหรือน้อยกว่าชีวิตที่ผมกำลังประสบอยู่ในตอนนี้
ก็แหม ชีวิตคนเราไม่ได้เหมือนในหนัง Sliding Doors1 นี่ครับ ที่จะสามารถมองเห็นอนาคตจากการเลือกเส้นทางชีวิตที่แตกต่างกันได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเส้นทางที่เลือก
ในวันนี้จะนำพาเราไปพบกับชีวิตที่มีความสุขในวันข้างหน้า ขณะเดียวกันเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเส้นทางที่เคยเลือกมาในอดีต จะเป็นเส้นทางที่ดีที่สุดสำหรับตัวเราในวันนี้ และถ้าเรากลับไปเลือกเส้นทางที่เคยมองข้ามเราจะมีความสุขมากกว่าที่เป็นอยู่หรือเปล่า
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in