เวลาไปงานรวมญาติคุณคิดว่าอะไรน่าเบื่อที่สุดครับ?
จำนวนคนที่มากมายจนเวียนหัว เสียงดังอึกทึกแย่งกันพูดชวนปวดประสาท ญาติบางคนที่โม้เรื่องตัวเองไม่หยุด ญาติอีกคนที่พยายามจะขอยืมเงินเรา หรือตอนจบงานที่ต้องแย่งกันจ่ายตังค์ ทั้งที่ลึกๆ แล้วก็รอให้สักคนเลี้ยง
แต่ผมว่าสิ่งที่น่าเบื่อที่สุดคือ ‘คำถาม’
คำถามจากญาติๆ มักเป็นคำถามชุดเดิมซ้ำไปวนมาแทบทุกปีจนบางทีผมอยากจะทำเอกสารแจกแจงชีวิตตัวเองไปแจกในงานให้รู้แล้วรู้รอด
ตัวอย่างคำถามในงานรวมญาติ เช่น
“อ้วนขึ้นหรือเปล่าเนี่ย”
“เมื่อไหร่จะไปเรียนต่อสักทีล่ะ”
“มีแฟนหรือยังจ๊ะ หา...ยังไม่มีอีกเหรอ”
“วางแผนเรื่องแต่งงานหรือยัง ใกล้จะสามสิบแล้วไม่ใช่เหรอ”
และ
“ตอนนี้ทำงานอะไรอยู่”
สำหรับคนที่ทำงานประจำเป็นหลักเป็นแหล่ง คงตอบคำถามนี้ได้ไม่ยากนัก แต่สำหรับผมที่เป็นฟรีแลนซ์ รับงานหลายอย่างมั่วไปเรื่อย บางครั้งก็สับสนเหมือนกันว่ากูจะนิยามอาชีพตัวเองว่าอะไรดีวะ จะตอบว่าฟรีแลนซ์ก็คงต้องอธิบายอีกยืดยาว เลยตอบว่าเป็นนักเขียนแล้วกัน และนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น...
ญาติ 1: “นักเขียน!? แล้วเงินมันพอกินเหรอลูก”
ญาติ 2: “นั่นสิ แล้วเขียนแบบไหน ขายดีแบบนิ้ว__อะไรนั่นหรือเปล่า”
ผม: “เอ่อ ส่วนใหญ่ก็เป็นแนววิจารณ์หนังอะครับ”
ญาติ 1: “วิจารณ์หนัง!? แล้วมันมีคนอ่านเหรอ ได้เงินเท่าไหร่เนี่ย บลา บลา บลา”
ญาติ 2: “เรียนเศรษฐศาสตร์มาไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่ทำงานด้านนั้นละ บลา บลา บลา”
(ญาติ 1 + 2 แท็กทีมกันปาฐกถาความยาวราว 30 นาที)
แต่หลังจากเป็นนักเขียนฟรีแลนซ์อยู่หลายปี ผมก็ได้จับพลัดจับผลูไปเป็นอาจารย์พิเศษด้านภาพยนตร์ในมหา’ลัย (ทำอีท่าไหน ท่านจะได้ทราบจากหนังสือเล่มนี้แหละจ้ะ) พอกลับไปงานรวมญาติ บรรยากาศก็เปลี่ยนไปทันที
ญาติ 1: “ตอนนี้ทำอะไรอยู่จ๊ะ”
ผม: “ก็สอนหนังสือครับ สอนตามมหา’ลัย”
ญาติ 1: “ว้าย เหรอจ๊ะ ดีจัง อายุก็ยังไม่เยอะเนอะ ได้เป็นอาจารย์แล้ว”
ญาติ 2: “ใช่ๆ คุณพ่อคุณแม่ต้องภูมิใจแน่ๆ”
(แล้วญาติ 1+2 ก็จากไป หันไปสอบสวนญาติคนอื่นๆ ต่อแทน)
เห็นได้ชัดเลยครับว่าหลังจากนิยามอาชีพตัวเองว่าเป็นอาจารย์ ปฏิกิริยาของญาติก็เปลี่ยนไปทันที หรือมีอีกตัวอย่าง คือตอนไปเปิดบัญชีกับธนาคาร ผมจะลองเปรียบเทียบตอนที่เป็นนักเขียนกับตอนเป็นอาจารย์ให้ดูนะครับ
สถานการณ์ 1 (ยังเป็นนักเขียนฟรีแลนซ์อย่างเดียว)
ผม: “เปิดบัญชีครับ”
พนักงาน: “ค่ะ สักครู่นะคะ” (นางก็พิมพ์อะไรใส่คอมพ์ไปเรื่อย) “ไม่ทราบว่าทำอาชีพอะไรคะ”
ผม: “ฟรีแลนซ์ครับ”
พนักงาน: “เอ่อ...ในระบบไม่มีให้เลือกค่ะ ระบุหน่อยได้มั้ยคะ”
ผม: “งั้นใส่ว่านักเขียนแล้วกันครับ”
พนักงาน: “ค่ะ...เอ่อ...นักเขียนก็ไม่มีให้เลือกค่ะ รบกวนใส่เป็นรับจ้างได้มั้ยคะ”
ผม: “ได้ครับ”
พนักงาน: “ค่ะ สักครู่นะคะ” (นางก็พิมพ์อะไรใส่คอมพ์ต่อ) “ว่าแต่เป็นฟรีแลนซ์เนี่ย สนใจเพิ่มความมั่นคงให้ชีวิตมั้ยคะ ตอนนี้ทางธนาคารเรามีแคมเปญรับสมัครทำประกันชีวิต บลา บลา บลา และบลา บลา บลา”
ผม: “.........”
(การเปิดบัญชีที่ควรจะเสร็จภายใน 15 นาที กลายเป็น 30 นาที)
สถานการณ์ 2 (เป็นอาจารย์แล้ว)
ผม: “เปิดบัญชีครับ”
พนักงาน: “ค่ะ สักครู่นะคะ” (นางก็พิมพ์อะไรใส่คอมพ์ไปเรื่อย) “ไม่ทราบว่าทำอาชีพอะไรคะ”
ผม: “อาจารย์ครับ”
พนักงาน: “ค่ะ โอเค เรียบร้อยค่ะ ค่าเปิดบัญชี XXX บาทนะคะ”
(ยื่นเงินให้ ได้สมุดบัญชีมา จบ)
จากสองตัวอย่างที่ยกมา คงพอสรุปได้นะครับว่าอาจารย์เป็นอาชีพที่ดูมีเกียรติมีศักดิ์ศรีในสังคมไทย หรืออย่างน้อยที่สุดมันก็ทำให้ผมรอดตัวจากมรสุมคำถามในงานรวมญาติมาได้
แต่...หนังสือเล่มนี้ไม่ได้จะมาขายตรงชวนให้ไปเป็นอาจารย์กันครับ เพราะสิ่งที่ผมเขียน (แกมระบาย) ไว้ในเล่มคือความบ้าบอคอแตก เจ็บปวดรวดร้าว ตลก (ร้าย) หายนะ จิตหลุด โลกดับสลาย (ชักจะไปกันใหญ่ละ) ของการเป็นอาจารย์ ซึ่งผมจะไม่สปอยล์ตรงนี้แล้วกัน เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันอยู่ใน 20 บทของหนังสือเล่มนี้แล้วครับ
อย่างไรก็ดี สิ่งที่อยากจะฝากไว้เล็กน้อยก่อนจะเปิดไปยังหน้าถัดไปคือ เมื่ออ่านไปเรื่อยๆ ผู้อ่านบางท่านอาจจะรู้สึกว่าทำไมชีวิตอาจารย์มันช่างบัดซบเหลือเกิน ผมก็อยากจะย้ำว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันมีหลายด้านครับ ไม่มีอะไรเป็นสีดำหรือสีขาวชัดเจน
ชีวิตอาจารย์ของผมก็คงคล้ายกับชื่อนิยาย The Perks of Being a Wallflower (ซึ่งผมแปลไทยเอง / ไม่ได้จะโฆษณาแต่อย่างใด / เหรอ?) ตัวเอกในเรื่องนี้เป็นเพียงแค่ดอกไม้ในซอกหลืบ (wallflower) ที่หลายคนไม่เห็นคุณค่า แต่หนังสือก็พยายามชี้ให้เราเห็นข้อดี (perk) ของการเป็นดอกไม้ประเภทนั้น
ดังนั้นชีวิตของผมในฐานะ อ.คันฉัตร ก็เป็น The Perks of Being a Teacher ครับ มันอาจจะมีความวินาศสันตะโรมากมาย แต่ก็ยังมีแง่งามอยู่
ส่วนคุณผู้อ่านจะได้แง่อะไรจากหนังสือเล่มนี้ (จะสองแง่สองง่ามก็ยังได้) ก็ขอเชิญลองอ่านและค้นหากันเลยครับ
อ่านให้สนุกนะครับ :)
ป.ล. หนังสือเล่มนี้มีการใช้คำหยาบคายรุนแรง หรือแทนลูกศิษย์ด้วยสรรพนามดิบเถื่อน (แก เอ็ง มึง) อาจดูขัดกับภาพลักษณ์อาจารย์ที่ควรจะเป็น แต่ทั้งหมดเป็นการใช้เพื่ออรรถรสในการอ่านเท่านั้นนะจ๊ะ ไม่ได้มีจิตใจอาฆาตมาดร้ายแต่อย่างใด (ทำไมมองอย่างนั้นล่ะ เชื่อหน่อยเถอะ)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in