(โปสเตอร์ของไทย)
เราเจอหนังเรื่องนี้บนเพจ
BBKSR แล้วดันเป็นหนังไอริช (ช่วงนี้พิศวาสหนังไอริชและเรื่องราวไอริชเป็นพิเศษตั้งแต่ Sing Street เข้า) เราก็เลยรอดูเลย
อาทิตย์ที่แล้วที่หนังเข้า เราดันไม่ว่างซะได้ เลยได้แต่ภาวนาให้เสาร์นี้ยังไม่ลาโรงไป เพราะน้องทอมจากสไปดี้กำลังจะเข้าฉายเช่นกัน มาวันศุกร์เราก็เช็ครอบหนังเลยจ้า ปรากฎว่ามีรอบทั้งวัน โรงใหญ่โรงนึงเต็มๆ ของลิโด้ เราก็เลยพุ่งตัวออกจากบ้านแต่เช้าในวันนี้
Handsome Devil เรื่องนี้ เอาเข้ามาฉายในไทยโดย
เพจดูหนังทุกวัน (จะบอกว่าขอบคุณมากๆ ที่ซื้อหนังเรื่องนี้เข้ามาในไทย ไม่งั้นเราอาจจะพลาดหนังดีๆ แบบนี้ไปแน่นอน)
เข้าฉายวันที่ 29 มิถุนายน 2017
Handsome Devil
- Irish Drama Film
- ได้ฉายที่ Contemporary World Cinema section ใน Toronto International Film Festival 2016 ด้วยล่ะ
- กำกับและเขียนบทโดย John Butler
นำแสดงโดย
- Nicholas Galitzine as Conor นักแสดงหนุ่มสัญชาติอังกฤษ
- Fionn O'Shea as Ned หนุ่มจินเจอร์ในเรื่อง แต่ตัวจริงมีผมสีอ่อนจ้า เป็นหนุ่มไอริช
- Andrew Scott as Dan Sherry
- Ruairi O'Connor as Weasel เป็นหนุ่มไอริชอีกเช่นกัน
- Mark Lavery as Wallace
- Jay Duffy as Victor (ภูมิใจนำเสนอ) หนุ่มดับลิน อายุอานามก็ 21 แล้ว (เกิดปี 1996)
เรื่องนี้เกี่ยวกับเด็กหนุ่มเน็ดที่ต้องย้ายเข้าไปเรียนที่โรงเรียนประจำชายล้วนที่บูชารักบี้เป็นชีวิตจิตใจ เพราะพ่อของเขาและแม่เลี้ยงต้องไปดูไบ แต่ชีวิตในโรงเรียนนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเน็ด ก่อนจะมาพบกับเด็กใหม่ คอเนอร์ เขาเพิ่งย้ายเข้ามาเป็นรูมเมทของเขา และคุณครูภาษาอังกฤษคนใหม่ที่เข้ามาสอน ก็ทำให้ชีวิตในโรงเรียนของเน็ดกลายเป็นเรื่องที่สามารถทำให้เขามีความสุขขึ้นมาได้อีกครั้งหนึ่ง...
(หนุ่มๆ นักแสดงทีมรักบี้ของโรงเรียน)
สำหรับเรา มันเป็นหนัง coming-of-age ที่ทำให้เราเห็นถึงความแตกต่าง และกล้าที่จะยอมรับมัน ถึงแม้ว่าคนในสังคมจะไม่เห็นด้วยก็ตาม แต่ถ้ามันไม่ใช่เรื่องแย่ๆ หรือเรื่องที่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ก็เปิดรับมันซะ
ในเรื่องนี้เราจะได้เห็นอะไร
เราจะได้เห็นถึงความแตกต่างในความชอบของแต่ละคน การกล้าแสดงออก การเปิดใจยอมรับ และการเปิดกว้างต่อผู้อื่น เรื่อง bully ในโรงเรียนก็มีเยอะ เพราะเป็นเด็กโรงเรียนชายล้วนที่ค่อนข้างปิดกั้นอยู่พอสมควร
เราชอบความเหลืองส้มตัดกับสีน้ำเงินมาก ดูเป็นอะไรที่เข้ากันได้ดี
เราว่าตัวละครในเรื่องนี้มีเอกลักษณ์ในตัวเอง มีพัฒนาการในด้านต่างๆ เราชอบเรื่องการเปลี่ยนแปลงและการปรับตัวของแต่ละตัวละคร ที่เริ่มจะโตขึ้น และยอมรับมากขึ้นด้วย
ครูเชอรี่ (รับบทโดย Andrew Scott) เราชอบการสอนของเขานะ ชอบเอามากๆ ด้วย เป็นการสอนด้วยเหตุผล และช่วยให้เด็กแต่ละคนเข้ากับเพื่อนในห้องของเขาได้ ถ้าเกิดมีครูแบบนี้ในชีวิตจริงบ้างก็น่าจะดี เราชอบการที่เขาช่วยผลักดันความกล้าของเด็กให้ออกมาอ่ะ
อีกอย่างที่เราชอบคือการเปรียบเทียบของคน ถ้าสังเกตเห็น ฉากนั้น เรารู้สึกว่ามันสอนอะไรเราได้หลายอย่างอยู่นะ
สิ่งที่ทำให้เราสะดุดคือสิ่งที่คอเนอร์ถามครูเชอรี่เรื่องที่เขาทั้งคู่ประสบปัญหาเรื่องเดียวกัน
ทำไมผู้ใหญ่ถึงต้องบอกเราว่า ต้องรอให้เราโตก่อน เราถึงจะเข้าใจ
มันเป็นคำถามที่เด็กทุกคนอยากถาม แต่ก็มักจะไม่ได้คำตอบกลับคืนมา
my little ginger boi
มันมีอยู่หลายเรื่องที่สะกิดใจเรามากๆ อย่างเช่น 'ทำไมเราถึงต้องให้คนอื่นมาเป็นคนบอกว่าเราควรจะเลือกคบใครเป็นเพื่อน'
นี่มันชีวิตเราเว้ย อย่าให้คนอื่นมาเป็นคนตัดสินหรือคนสั่งเราว่าเราควรจะคบเพื่อนแบบไหน ไม่ควรคบเพื่อนแบบไหน เพราะงั้นก็ใช้ชีวิตไปเลย เลือกคบเพื่อนเองเลย (เว้นแต่ว่าเพื่อนคนที่เราคบอยู่มันแย่เอามากๆ เราก็ควรจะฟังคนอื่นบ้าง แต่ถ้าคนอื่นแค่คิดว่าเพื่อนคนนั้นไม่เหมาะกับเรา ไอ้คนที่บอกนั่นแหละ ไม่น่าจะเหมาะกับเรามากกว่า)
ชีวิตของเราจะสามารถชอบได้เพียงอย่างเดียวหรอ?
เปล่าเลย ชีวิตเราจะชอบได้เท่าไหร่นั้นไม่มีจำกัด เหมือนที่เน็ดบอกกับคอเนอร์เรื่องนี้นั่นแหละ
เราชอบการที่คอเนอร์โตขึ้นด้วย เขาเรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างจากสิ่งที่เขาทำ เขาเริ่มคิดได้ และนั่นคือสิ่งที่ทำให้เขากลายเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นด้วย
ถามว่าเราชอบหนังเรื่องนี้มั้ย
ชอบมากจ้า อย่างที่บอก มันเป็นหนังที่สอนเราเยอะมากนะ มันกระตุกต่อมคิดด้วย คนเราต้องเติบโต ต้องพร้อมรับการเปลี่ยนแปลง ต้องปร้บตัวให้ได้ และอยู่ร่วมกับคนอื่นให้ได้ เราไม่จำเป็นที่จะต้องเลียนแบบคนอื่น แต่เราควรจะเป็นตัวของตัวเอง นั่นจะทำให้เรามีความสุขที่สุด และเป็นสิ่งที่ทำให้เรายิ้มได้
โควทของ David Bowie จาก The Breakfast Club (1985)
เพลงประกอบหนังเรื่องนี้ เรา โคตร ชอบ ! ! !
ชอบถึงขนาดไปตามหาว่ามีเพลงอะไรประกอบบ้าง
นี่คือหนึ่งในเพลงที่เราชอบ
Sucking It Out ของ The Shaker Hymn
Go or Go Ahead ของ Rufus Wainwright
Think For A Minute ของ The Housemartins
เราชอบที่เน็ดบอกกับคอเนอร์ว่าที่เขาฟังเพลงเก่าๆ ก็เพราะว่าชีวิตที่ทันสมัยมันดูไร้สาระ มันดูแบบ เอ้อ ไอ้นี่มีจุดยืนดี
สุดท้ายก็อยากจะบอกว่า เผยตัวตนของตัวเองออกมา และทำให้โลกได้รู้ว่าคุณเป็นใคร และคุณเป็นยังไง
ขอยืมคำของเน็ดมาใช้ด้วย "คนเราไม่จำเป็นต้องชอบเพียงอย่างเดียว นายอาจจะเป็นทั้งนักรักบี้ และนักดนตรีได้เหมือนกัน"
ปล. แนะนำหนังเรื่องนี้จริงๆ ดูเพลิน มีอะไรให้กลับไปคิดเยอะดี
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in