กำกับและเขียนบทโดย Rian Johnson
Producers: Kathleen Kennedy, Ram Bergman
Executive Producers: J.J. Abrams, TomKarnowski, Jason McGatlin
รายชื่อนักแสดง
Admiral Holdo
Chewbacca
ต่อไปจะเป็นบทสัมภาษณ์นักแสดงที่แปลไทยมาแล้ว (ถ้าใครอยากได้ภาษาอังกฤษ ติดต่อเราในทวิตได้เลย)
Q: ตัวละครเลอาพัฒนาขึ้นอย่างไรบ้าง
A: เลอากำลังเหนื่อยล้า คุณจะมองเห็นได้ถึงเรื่องนั้น เธอเปลี่ยนจากคนที่ยิงปืนโหนตัวข้ามหุบเหวเพื่อฆ่า Jabba the Hutt ไปเป็นคนที่จริงจังและวิตกกังวลเสมอ เธอมีภาระรับผิดชอบมากขึ้น และก็มีเหตุผลมากขึ้นที่ทำให้เธอเหนื่อยกว่าเดิม
Q: การแสดงโดยไม่มี Harrison Ford เป็นอย่างไรบ้าง
A: ฉันคิดถึงเขา เราทุกคนคิดถึงเขา การมีเขาอยู่ใกล้ๆ เป็นเรื่องสนุกมาก เขาเป็นคนที่โดดเด่น
Q: ความสัมพันธ์ระหว่างเลอาและโพเป็นอย่างไรบ้าง
A: โพเป็นลูกศิษย์ของเลอา และในแง่หนึ่งเธอก็มองเขาว่าเป็นเหมือน Han Solo ซึ่งเป็นทั้งเรื่องดีและไม่ดี เขาเป็นคนเชื่อมั่นในตัวเอง และไม่ฟังคำของเธอ เธอพยายามจะฝึกเขา
Q: แล้วคุณก็ได้แสดง Action Sequences ด้วยเหมือนกันนี่
A: เราได้เจอกับระเบิด ซึ่งฉันค่อนข้างจะคร่ำหวอดกับระเบิดพวกนี้ เมื่อไหร่ก็ตามที่พวกเขาบอกว่าเตรียมพร้อมนะ เรากำลังจะจุดระเบิด มันก็ไม่เห็นดังซักเท่าไหร่เลย ฉันคิดว่ามันน่าผิดหวังนะ เพราะฉันชอบเสียงระเบิด เมื่อวานเราต้องวิ่งไปตามทางเดิน ซึ่งฉันคิดเสมอว่ามันเป็นเรื่องตลก สิ่งที่ไรอันทำที่ฉันชอบคือ เรามีฉากระเบิดอยู่ฉากหนึ่ง แต่เรามีคนๆ เดียวเดินข้ามกล้องมา พอดูฉากนั้นเสร็จ ไรอันก็บอกให้เขาข้ามไปอีกทางหนึ่ง มันทำให้ฉันรู้สึกดีเขาเป็นคนที่มีวิสัยทัศน์ เขารู้ว่าตัวเองต้องการอะไรเขาเป็นคนที่มีไอเดียที่เฉพาะเจาะจงมากๆ
Q: ในเรื่องนี้พวกเขามีชุดให้คุณกี่ชุด แล้วทรงผมล่ะ
A: มีสองชุด ซึ่งทั้งสองชุดก็ไม่เหมาะกับการต่อสู้เอามากๆ ทรงผมก็ดีกว่าเดิม ตอนนี้มวยผมฉันอยู่ด้านผมแล้ว ปกติฉันจะถูกผมรุมล้อมจากทุกทิศทางเลยล่ะ
Q: คุณคิดอย่างไรบ้างกับจักรวาล Star Wars ที่ขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ
A: สำหรับฉันมันเป็นครอบครัว มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับครอบครัว นั่นคือสิ่งที่ทรงพลังเกี่ยวกับเรื่องนี้ฉันได้ไปงาน Comic Con และพบกับคนมากมายเหล่านี้ มันเป็นเรื่องทรงพลังมากๆ สำหรับพวกเขา พวกเขาเปิดหนังพวกนี้ให้ลูกๆ หลานๆ ของพวกเขาได้ดู แบ่งปันสิ่งที่ทำให้พวกเขาประทับใจในวัยเด็กออกไป มันเป็นเรื่องส่วนตัว ฉันได้เห็นภาพแบบนั้นมากมายตลอดหลายปีที่ผ่านมา ภาพที่คนเข้ามาพร้อมกับลูกๆ หลานๆ ที่สวมชุดเจ้าหญิงเลอา มันเป็นสิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้ทรงพลังเหลือเกินสำหรับหลายๆ คน นี่เป็นจักรวาลที่ใครๆ ก็เข้าถึงได้ และเป็นสิ่งที่สร้างให้เกิดชุมชนขึ้นมา อะไรก็ตามที่ทำแบบนั้นได้ก็สามารถเยียวยาคนได้ คุณมีบางสิ่งที่เหมือนกันและคุณก็จะเจอคนที่เหมือนกับคุณ ฉันไม่รู้ว่ามันจะช่วยชีวิตได้มั้ย แต่ฉันรู้ว่ามันช่วยพัฒนาชีวิตได้
Q: ความสัมพันธ์ระหว่างลุคและเรย์เป็นอย่างไร
A: ดูเหมือนคนจะหมกมุ่นอยู่กับความต้องการอยากรู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่เป็นยังไง ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะเรื่องราวก่อนหน้านี้ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับสายเลือด ใครเป็นพ่อคุณใครเป็นน้องสาวสุดเซอร์ไพรส์ของคุณ ใครเป็นแม่คุณ แต่ในหนังเรื่องนี้มันขาดตอนไปนิดหน่อย
Q: พวกเขาคิดอย่างไรกับกันและกัน และได้เรียนรู้อะไรจากกันและกันบ้าง
A: เรย์ประเมินลุคจากตำนานยิ่งใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้นมาถึงขั้นที่มาถึงจุดหนึ่ง คนสงสัยด้วยซ้ำไปว่าเขามีตัวตนจริงๆ รึเปล่า ด้วยความสาหัสของสถานการณ์นี้และความเร่งด่วนของมัน เธอก็เลยไม่มีเวลามาทำความรู้จักเขา มามีความรู้สึกผ่อนคลายและแลกเปลี่ยนความคิดกัน เธอต้องการและอยากขอความช่วยเหลือให้เขาใช้ความสามารถของเขาเพื่อเป้าหมายของเธอ ซึ่งนั่นทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นมา
ลุคมีความนึกคิดที่แตกต่างอย่างมากจากที่เราได้เห็นเขาในหนังภาคก่อนหน้านี้ เขาฝันสลาย ปิดกั้นตัวเองจากพลังและต่อต้านไอเดียเรื่องเจได มันเป็นเรื่องคาดไม่ถึงสำหรับผมในฐานะนักแสดง ตัวละครของผมเป็นตัวแทนของความหวังและการมองโลกในแง่ดีเสมอ แต่ตอนนี้ผมกลับมาเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย ฝันสลายและเสียความมั่นใจ
Q: การได้เดินกลับเข้าไปในยานมิลเลนเนียมฟัลคอนอีกครั้งให้ความรู้สึกอย่างไรบ้าง
A: มันเป็นความรู้สึกหวานปนขม ไม่ว่าคุณจะมองไปที่ไหน ความทรงจำพวกนี้ก็จะพรั่งพรูออกมา มันเหมือนการได้ไปโรงเรียนไฮสคูลเก่าหรือบ้านที่เคยอาศัยอยู่ตอนป.หก รายละเอียดของมันเพอร์เฟ็กต์เลย เหมือนอย่างที่ผมจำได้เลย ผมปีนขึ้นลงบันไดไปในที่ที่เราแอบขึ้นยานมา แล้วนั่งในค็อกพิทกับลูกๆ ที่โตแล้วและภรรยาของผม หลังจากนั้นผมก็จะแอบหลบไปเพื่อน้ำตาซึม มันเป็นช่วงเวลาที่จะหายไปในชั่วพริบตา
Q: คุณมีความทรงจำซักเรื่องที่คุณชื่นชอบเกี่ยวกับ Star Wars บ้างมั้ย
A: ผมมีความทรงจำมากมายจนผมไม่สามารถเลือกมาได้แค่หนึ่งเรื่องเลยครับผมตั้งตารอที่จะแสดง Cantina sequence มากๆ มันเป็นประสบการณ์ที่ผมไม่เคยลืมเลย การได้โหนข้ามไปกับเจ้าหญิงเราอยู่ในสายรัดตัวและเหาะข้ามไปด้วยฝีมือของทีมงานที่พัฒนาระบบนั้นสำหรับ Peter Pan สมัยก่อน คุณทำได้แค่โหนกลับไปกลับมา
ในปี 1953 ละครบรอดเวย์เรื่อง “Peter Pan” ที่ Jerome Robins แสดงกับ Mary Martin พวกเขาได้พัฒนาระบบที่คุณจะสามารถโหนกลับไปกลับมา หรือกลับมากลับไปได้ด้วย มันต้องใช้คนบังคับสองคนซึ่งเป็นทักษะที่ยอดเยี่ยม เพราะคุณจะต้องทำงานประสานกันอย่างลงตัว เราทั้งคู่ก็เลยถูกสายรัดตัวอยู่ พวกเขาผูกเราเข้าด้วยกัน แล้วเราก็โหนข้ามไปมันสนุกมากเลย ผมพร้อมที่จะแสดงมันอีก แต่พวกเขาใช้กล้องสี่ตัวถ่ายทำและก็ได้ภาพที่ต้องการภายในหนึ่งเทค ในขณะที่ฉากอื่นๆ ต้องใช้ห้า หกหรือเจ็ดเทค ผมผิดหวังมากๆ และก็มีคนถามว่า ‘คุณอยากจะบินจริงๆ น่ะหรือ แก้มัดเขาจากแคร์รี่ซิ’ แล้วพวกเขาก็จับผมเหาะไปทั่วฉากเลยมันเป็นสิ่งที่ใกล้เคียงกับการเล่นเป็น Peter Pan ที่สุดของผม แน่นอนครับว่า George Lucas ตกใจเลย เพราะผมเป็นนักแสดงคนสำคัญนี่นา ผมกระแทกกำแพงเหมือนกับ Wiley E. Coyote แล้วก็ไถลลงมา เขาก็บอกว่า ‘ไม่นะ ไม่นะ พาเขาลงมา’ มันเป็นความทรงจำแบบนั้นน่ะครับ
ผมมีความทรงจำมากมายสมัยเด็ก ผมก็รักการผจญภัยแบบนี้และการได้เจอกับการหลอมรวมหนังต่างๆ เหล่านี้ทั้งเวสเทิร์น หนังสงครามโลกครั้งที่สอง หนังคาวบอย หนังโจรสลัดมารวมกันในรูปแบบใหม่วันแล้ววันเล่าก็เป็นเรื่องวิเศษสุด ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตัวเองจะได้แสดงมัน มีซักความทรงจำหนึ่งมั้ยน่ะหรอ ไม่หรอกครับ มันมีนับล้านๆ ความทรงจำเลย
Q: เล่าให้เราฟังหน่อยว่า Rian Johnson (Director and Writer) ได้นำไคโล เร็นเข้ามาสู่โลกของ The Last Jedi และขับเคลื่อนเขาสู่อีกตำแหน่งแห่งที่หนึ่งได้อย่างไร
A: ไรอันเป็นทั้งมือเขียนบทและผู้กำกับครับ และผมคิดว่าลักษณะที่เขาขับเคลื่อนเรื่องราวไปสำหรับตัวละครของผมเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงจริงๆ ฟังดูเป็นอะไรที่ไม่เฉพาะเจาะจงมากๆ แต่นั่นก็เป็นเรื่องจริงครับ การที่ไคโลเร็นฆ่าพ่อของเขาในตอนจบของ The Force Awakens ไม่ใช่เรื่องทางจิตวิทยาที่ไรอันมองข้ามไป ในแง่ของผลกระทบที่มันมีต่อใครซักคนและในแง่หนึ่ง มันก็มีพื้นฐานจากความเป็นจริงมากกว่าด้วยซ้ำ คุณไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าเรื่องนั้นเกิดขึ้น เขาก็เลยไม่ได้มองข้ามมันไปและทำให้สถานการณ์นั้นเป็นความจริงขึ้นมา สำหรับผมมันเป็นประโยชน์มากครับ
นอกจากนั้นไคโล เร็นยังมีอายุน้อยกว่าตัวผมในชีวิตจริงด้วย เขาเป็นตัวละครตัวแรกที่ผมแสดงที่อายุน้อยกว่าผม ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมจำได้ว่า Kathleen Kennedy (Producer) เตือนผมระหว่างที่เราถ่ายทำภาคแรกกันนั่นเป็นสิ่งที่อยู่ในบทที่ไรอันเขียนขึ้นครับ ไคโล เร็น เป็นคนที่ยึดติดกับไอเดียของตัวเองอย่างเหนียวแน่นมากขึ้นเกือบจะเหมือนความคลั่งทางศาสนาเลยล่ะครับและเขาก็มั่นใจมากว่าตัวเองทำในสิ่งที่ถูกต้องความวัยเยาว์ของเขาเป็นสิ่งที่ปรากฏอยู่ในบทที่ไรอันเขียนด้วยครับ
Q: ไคโล เร็น รับมือกับความสัมพันธ์ระหว่างเขากับแสงสว่างและความมืดภายในตัวเขาเองได้อย่างไร
A: ผมไม่รู้เหมือนกันว่าเขารับมือกับความสัมพันธ์ระหว่างแสงสว่างและความมืดภายในตัวเขาได้เรียบร้อยรึเปล่า ผมคิดว่ามันยังคงเป็นสงครามภายในของเขาต่อไป นั่นเป็นสิ่งที่ไรอันเข้าใจเกี่ยวกับตัวละครของเขาว่าคนเราไม่มีทางเป็นได้แค่สิ่งหนึ่งสิ่งใด แม้ว่าเราอยากให้พวกเขาเป็นแบบนั้นก็ตาม ในโลกใบนี้มีสีเทามากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายในตัวพวกเราเอง นั่นเป็นสิ่งที่น่าสนใจที่ผมคิดว่าเป็นเรื่องสนุกเกี่ยวกับการแสดงบทนี้ เขาไม่ใช่แค่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง
Q: สโนคคิดหาวิธีผลักดันเขาให้ไปสู่ด้านสว่างหรือด้านมืดได้อย่างไร
A: ผมคิดว่าสโนคมองข้ามความสำคัญของไคโล เร็น สโนคอาจจะเป็นตัวแทนของความคิดเพียงหนึ่งเดียว และไม่เต็มใจที่จะมองเห็นสีเทาเลย
Q: ในหนังเรื่องนี้ ไคโล เร็นและเรย์มีความเชื่อมโยงกันขอความคิดเห็นของคุณเกี่ยวกับเรื่องนี้หน่อย
A: ท่ามกลางดรามาอีพิคทั้งหลายที่เกิดขึ้น ศูนย์กลางของมันคือคนสองคนนี้ที่อยู่คนละฝั่งกัน พวกเขาถูกแบ่งแยกด้วยอะไรบางอย่างที่เป็นเส้นแบ่งที่บางมากๆ เพราะด้านมืดและด้านสว่างที่อยู่ในตัวพวกเขาทั้งคู่ พวกเขาไม่ได้แตกต่างกันมากนัก และในแง่หนึ่งมันก็เหมือนพวกเขาได้อยู่บนเส้นทางเดินนี้ด้วยกัน ที่พวกเขาทั้งคู่ต่างก็รู้สึกเหมือนอยู่ตามลำพัง พวกเขาเกือบจะเป็นเหมือนคนที่ตรงข้ามกันในแบบที่ยอดเยี่ยม
Q: คุณเตรียมร่างกายอย่างไรบ้างสำหรับการแสดงบทนี้
A: ผมคิดว่าความฟิตโดยรวมเป็นเรื่องสำคัญมากๆ คุณพยายามจะเล่าเรื่องราวชีวิตของใครซักคนภายในเวลาชั่วโมงครึ่งหรือสองชั่วโมงแล้วคุณก็สามาถเก็บข้อมูลหรือรู้จักตัวละครตัวนั้นจากใครซักคนเกือบจะทันทีโดยที่พวกเขาไม่ทันได้พูดด้วยซ้ำจากลักษณะการใช้ร่างกายของพวกเขาซึ่งมันก็ยังคงเป็นความจริงแม้ว่านี่จะเป็นหนังบล็อกบัสเตอร์ฟอร์มยักษ์ก็ตามคุณยังคงต้องทำงานของคุณและเล่าเรื่องราวโดยใช้ร่างกายอยู่ดีครับ
และข้อดีของ Star Wars คือ พวกเขาทำให้มันเป็นเรื่องง่ายสำหรับคุณ ด้วยการจ้างคนที่เก่งที่สุดมาช่วยเหลือคุณในการทำงาน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ Simon Waterson ครูฝึกของเรา ในเรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่มากกว่าการเพาะกล้าม มันเป็นเรื่องที่ว่าคนเหล่านี้ใช้ร่างกายยังไง ถ้าไคโล เร็น ได้ต่อสู้ทั้งทางกายและจิตใจมาตลอดชีวิต มันก็จะต้องสะท้อนออกมาในลักษณะการวางตัวของเขา ซึ่งมันก็เห็นได้ชัดมาก ไม่เพียงแต่ลักษณะการเคลื่อนไหวของเขาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงลักษณะการต่อสู้ของเขาด้วย และแม้ว่าจะไม่มีการพูดอะไรออกมาจากลักษณะทางกายภาพของเขา คุณก็น่าจะสามารถสัมผัสถึงตัวตนของเขาได้นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของเรา การฝึกเข้มงวดมาก คุณต้องเข้าร่วมทุกวัน ต้องทำให้มันเป็นกิจวัตรประจำวัน และต้องมีวินัยในเรื่องนี้ด้วย
Q: การร่วมงานกับผู้กำกับ Rian Johnson ใน The Last Jedi เป็นประสบการณ์ที่แตกต่างออกไปอย่างไรบ้าง
A: มันเป็นประสบการณ์ที่แตกต่างออกไป เพราะในแง่ของพลังงานแล้ว Rian John กับ J.J. Abrams แตกต่างกัน พวกเขาคล้ายกันในเรื่องที่ว่าพวกเขาเป็นแฟนหนังเรื่องนี้เหมือนกันและทั้งคู่ต่างก็รู้จักจักรวาลนี้เป็นอย่างดีแล้ว ด้วยความที่พวกเขาเป็นทั้งผู้กำกับและมือเขียนบทเหมือนกัน พวกเขาก็เลยมีความคล้ายคลึงกันหลายอย่าง แต่พลังงานของพวกเขาแตกต่างกัน ไรอันจะเน้นไปที่การที่เรย์คอยผลักดันลุคมากกว่า
Q: เรย์พยายามจะทำอะไร
A: เธอพยายามเกลี้ยกล่อมลุคให้ไปกับเธอกลับไปสู่ฝ่ายต่อต้าน และลุคก็เล่นเธอหนักเลย เขาค่อนข้างจะโหดกับเธอเลยล่ะ แต่เธอก็ไม่ลดละ และเรื่องบ้าๆ ก็เกิดขึ้น
Q: ตัวละครของคุณพัฒนาขึ้นอย่างไรบ้าง
A: ฉันคิดว่าเธอได้เรียนรู้ที่จะไม่เชื่อข่าวโคมลอย แม้แต่ใน Jakku ซึ่งเป็นที่ที่ไกลปืนเที่ยงมากๆ ในอวกาศ เธอยังได้ยินเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับลุคเลย เขาทำให้เธอตระหนักว่าทุกอย่างไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบอย่างที่เห็น คนดีๆ ก็ตัดสินใจผิดพลาดได้ และคนเลวๆ ก็ตัดสินใจถูกต้องได้ เธอกำลังเรียนรู้ถึงจุดแข็งและจุดอ่อนของตัวเองและเรียนรู้เกี่ยวกับจิตใจของมนุษย์ เพราะเธอยังไม่เคยมีความสัมพันธ์จริงๆ จังๆ กับผู้คนมาก่อน
Q: การรับบทคนที่มีพลังเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นรึเปล่า
A: เรย์ไม่ได้มองตัวเองว่าเป็นคนที่มีพลัง และการมองลุคเป็นแบบนั้นก็เป็นภาพสะท้อนของการที่ผู้คนมองเห็นเธอ พวกเขาพูดถึงศักยภาพของเธอ แต่เธอไม่ยักรู้สึกถึงมันเลย เพียงแต่เธอก็เริ่มจะรู้สึกตัวแล้วล่ะ เธอพยายามจะก้าวไปข้างหน้าเพื่อทำสิ่งที่ถูกต้องเหมือนที่เธอทำมาเสมอ
Q: ในหนังเรื่องนี้มีความเข้มข้นที่แตกต่างออกไปรึเปล่า
A: มันเข้มข้นขึ้นเยอะ แต่ก็เป็นเรื่องดี มันมีช่วงเวลาพักเบรกเล็กๆ น้อยๆ ด้วย ทุกคนดูเหมือนจะเทียบหนังเรื่องนี้กับ The Empire Strikes Back (ภาค 5) ซึ่ง Empire จะมืดหม่นกว่า ฉันคิดว่าเรามีสมดุลที่ดี มันมีเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กันอย่างที่เราไม่เคยมีมาก่อน ฉันคิดว่ามันคงจะเป็นสมดุลที่ดีนะ แต่นอกจากนั้นก็ยังมีช่วงเวลาสั้นๆ ที่ฉันไม่ได้คาดหวังว่าฉันจะได้แสดงฉากที่ค่อนข้างตลกด้วย
Q: การร่วมงานกับ Mark Hamill และ Adam Driver เป็นอย่างไรบ้าง
A: เยี่ยมเลย พวกเขาทั้งคู่แตกต่างกันมากๆ มาร์คพูดเก่ง แต่อดัมไม่ใช่ มาร์คใช้ชีวิตอย่างสุดโต่ง ชีวิตส่วนใหญ่ของเขาได้รับอิทธิพลจาก Star Wars และเขาก็โด่งดังมากจากหนังเรื่องนี้ เขาอายุมากกว่า เขาเป็นพ่อคนแล้วดังนั้น พลังงานของเขาก็เลยจะมั่นคงกว่า
ส่วนอดัมเป็นคนเหลือเชื่อเลยเขามีอารมณ์ที่ลึกซึ้งอย่างน่าทึ่ง ฉันไม่เคยรู้จักใครที่เหมือนกับเขาเลยการร่วมงานกับเขาเป็นเรื่องน่าทึ่ง แถมยังเอื้อเฟื้อมากๆ
Q: Star Wars โด่งดังในเรื่องฉากที่ถูกสร้างขึ้นมาจริงๆ สำหรับเรื่องนี้เป็นอย่างไรบ้างล่ะ
A: ฉากพวกนั้นน่าทึ่งจริงๆ น่าทึ่งมาก คุณจะลืมไปเลยว่าคุณยืนอยู่บนฉากถ้ำที่เราใช้ถ่ายทำ ช่างน่าทึ่งจริงๆ ฉันไม่รู้ว่าถ้าเราไม่มีฉากแบบนั้นมันจะให้ความรู้สึกเป็นยังไง แต่มันเยี่ยมมาก มันทำให้การแสดงง่ายขึ้นเยอะ เพราะเราแสดงอยู่ในสถานที่นั้นจริงๆ ในชุดของเรา เรื่องทั้งหมดนี้น่าทึ่งมาก
รู้หรือไม่ (จริงๆ ไม่ต้องรู้ก็ได้) Chewbecca แสดงโดยนักบาสเกตบอล!!
เนื่องจากปู่ Peter Mayhew ที่แสดงเป็น Chewbecca คนก่อน อายุตั้ง 72 แล้ว (เรียกว่าแก่แล้วนั่นเอง) แล้วปู่แกก็มีปัญหาเรื่องเข่า ก็เลยต้องมีตัวแสดงแทน และได้นักบาสเกตบอลชาวฟินแลนด์มาเล่นแทน เขาก็คือ Joonas Suotamo ที่สูงตั้ง 6 ฟุต 10 นิ้ว (ก็สูงประมาณ 208 เซนติเมตร) แล้วเขาก็มาแสดงใน The Last Jedi เต็มตัวแล้วด้วย! (แล้วก็จะไปแสดงในหนังแยกของ Star Wars เรื่อง Han Solo ด้วยล่ะ!!!!!!)
รีวิวแบบไม่มีสปอยล์ เพราะอันสปอยล์จะอยู่ข้างล่างนี้ อย่าเผลอเลื่อนลงนะจ๊ะ
ภาคนี้เป็น Star Wars ที่ย่อยง่าย พร้อมยกดื่ม แต่เสน่ห์ของความเป็น Star Wars ไม่ได้หายไปไหน มีลูกเล่น ลูกล่อลูกชนเยอะ ตบมุกเกือบตลอดเวลา ดราม่ามีบ้างพอกรุบกริบ เข้าใจตัวละครมากยิ่งขึ้น รวมถึงฉากเคารพต้นฉบับก็มีอีกเพียบ เพลินตาเพลินใจ ฉากทุกๆ ฉากมันเจ๋งมากจริงๆ ถ้าเห็นจากเทรลเลอร์แล้ว ในหนังยิ่งกว่านั้นอีก สวยมาก บอกเลย
ใครอยากไปดูก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นแฟนของ Star Wars ก็ดูรู้เรื่อง ไม่ต้องดูภาคก่อนหน้านี้ก็ดูรู้เรื่อง มันเป็น Star Wars รุ่นใหม่ที่โคตร Star Wars แต่ย่อยง่ายกว่าเดิม มันย่อยง่ายกว่าเดิมเยอะมาก สนุกมาก และเราโคตรรักภาคนี้เลย ขนาดเพื่อนเราที่ไปดูพร้อมกับเรา แต่ไม่ได้เป็นแฟน Star Wars ยังบอกเลยว่าชอบภาคนี้มากกว่าภาคที่แล้ว และจะหาเวลาไปตามดูตั้งแต่แรกเลยด้วย (โคตรปลื้มใจ)
เราไปดู The Last Jedi มา 2 รอบก่อนที่จะมาเขียนอันนี้ (และอาจจะมีครั้งที่ 3 ที่ 4 ไปเรื่อยๆ)
มันมีทั้งจุดที่เราชอบ และจุดสะดุด รวมถึงจุดแปลกๆ ที่เราไม่ค่อยอินอยู่พอๆ กัน (แต่เราชอบ The Last Jedi มากกว่า The Force Awakens อีก) และรวมถึงฉากที่ทำให้นึกถึงภาคก่อนๆ + Star Wars Rebels (ที่เป็นอนิเมชั่นเรื่องราวระหว่างภาค 3 กับภาค 4) อยู่เยอะเหมือนกัน โคตรประทับใจเลย
สปอยล์นะ แนะนำให้ดูหนังก่อนมาอ่านส่วนข้างล่างนี้นะ!
เราเตือนคุณแล้ว
Yes! The Last Jedi director @rianjohnson has made it official. I’m in the new #StarWars movie! Look for me! pic.twitter.com/DdN5IfXewp
— Gary the Dog (@Gary_TheDog) December 7, 2017
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in