เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
สาวน้อยชั้นสองlokasander2
เรื่องมันก็แบบนี้ละ
  • "จะรีบไปไหนรึ สาวน้อยชั้นสอง” เป็นเจ้าของเพนท์เฮ้าส์แห่งนี้นี่เองที่เรียกเธอไว้ ใช่แล้ว เธอคือชั้นสอง เจ้าของคนนี้มีนิสัยประหลาด เธอบอกชื่อเธอกับเขาเป็นร้อยรอบแต่เขาก็ไม่เคยสนใจจะจำเลยสักครั้ง

    “ไม่ใช่ชั้นสอง บอกไปหลายรอบแล้วนะคะว่าชื่ออลิซนะ” บอกเป็นรอบที่ร้อยแล้วด้วย หญิงสาวคิดในใจ ถึงอย่างนั้นก็ไม่ถือสาอะไรมาก เนื่องจากเจ้าของเพนท์เฮ้าส์หรือผู้เฒ่าลูก้าคนนี้อายุน่าจะปาไปร่วมร้อยกว่าปีแล้ว อลิซเดินเร็วๆ ออกไปด้านนอกรั้วก็พบกับถนนสายหลักที่มีรถม้าวิ่งประปราย ข้างทางมีร้านรวงและตรอกซอกซอยมากมาย

    เป้าหมายเย็นนี้ของเธอคือ ร้านขายอุปกรณ์เอวี่ ตั้งอยู่ในซอกหลืบของตรอกตรงข้ามจตุรัสลานน้ำพุกลางเมือง ไม่ไกลจากที่อยู่ของเธอมากนัก เดินไม่นานก็มาถึงที่หมาย ประตูไม้โอ้คสีดำบานใหญ่ปิดสนิทประหนึ่งไม่ต้องการต้อนรับแขก อลิซจับที่เปิดดันประตูเข้าไปเสียงดังแอ๊ด มองเข้าไปมืดสนิท ทันใดนั้น ทั้งร้านพลันสว่างโดยพลัน ช่วยกลบบรรยากาศชวนขนลุกเมื่อครู่ เทียนไขที่ไม่ทราบว่าถูกจุดได้อย่างไรมอบแสงสว่างเพียงพอให้เห็นสภาพภายในร้าน ผนังทั้งสองข้างเต็มไปด้วยชั้นยาวจากพื้นจรดเพดานเลยไปจนถึงส่วนกั้นระหว่างด้านในและด้านนอกของร้าน กลางห้องมีโต๊ะไม้ตัวยาวตั้งอยู่ มีทุกอย่างที่คุณจะนึกออกวางเต็มทั้งโต๊ะและบนชั้น เคาสะบัดเตอร์ไม้สีน้ำตาลวางอยู่ด้านในริมสุดซ้ายมือ

    เจ้าของร้านนั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์เป็นผู้หญิงผมสั้นสีดำสนิท นัยน์ตาสดใสเงยหน้ามองลูกค้าที่คุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดีพร้อมกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม

    “สวัสดีอลิซ ไม่ได้เจอกันสักพักเลยนะ ลมอะไรหอบเธอมากัน” เจ้าของชื่อเดินเข้าไปหาเพื่อนกึ่งสนิทด้วยสีหน้าเซ็งๆ

    “ลมเบื่อพามา” ตอบห้วนๆ ตามประสา

    “แล้วก็มีของที่อยากให้ช่วยหาให้หน่อย แต่จะเรียกว่าของก็ไม่ถูกซะทีเดียว” กล่าวพร้อมหยิบของที่วางอยู่บนเก้าอี้ข้างเคาน์เตอร์ออก ลากมานั่งประจันหน้ากับเจ้าของร้านคนสวย สีหน้าเอาเรื่องพอดู ประหนึ่งเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย

    “อะไรละ`ของนั่น’ มองหน้าฉันซะหาเรื่องเชียว” เอวี่ถาม สีหน้ายังประดับด้วยรอยยิ้มเล็กๆ พลางลุกขึ้นเดินผ่านเข้าไปด้านหลังร้าน “ชามั้ย” คนหน้าหาเรื่องพยักหน้าสองครั้ง

    “น้ำตาลสองก้อน” คำตอบเรียกเสียงหัวเราะในลำคอให้คนฟังได้เป็นอย่างดี นั่งสำรวจเคาน์เตอร์ได้ครู่หนึ่ง เอวี่ก็ออกมาพร้อมชาสองถ้วยวางบนพื้นที่อันเหลืออยู่น้อยนิด นั่งลง อลิซยกชาขึ้นจิบ สีหน้าดีกว่าตอนแรกมาก เห็นอีกคนเริ่มผ่อนคลายเจ้าของร้านจึงถามซ้ำอีกรอบ

    “แล้วมันอะไรกันที่เธอจะให้ฉันช่วยหาให้นะ” ท่าทางตึงเครียดกลับมาอีกครั้ง

    “จำแหวนที่ฉันเคยเอามาให้เธอดูได้มั้ย” อลิซถาม พูดต่อโดยไม่ต้องการคำตอบเพราะสีหน้าเพื่อนสาวบอกหมดแล้วว่าเธอจำได้

    “สามวันก่อนหน้านี้ ฉันไปจัดการธุระที่ลาครอส ก่อนกลับก็เจอลูกพี่ลูกน้อง เอลเลียต ลูกของน้องชายพ่อฉัน เขาไหว้วานฝากให้ฉันนำของมาให้คนที่พาเทนนี่ เป็นห่อกระดาษแค่กำมือ ไม่เห็นว่าเป็นภาระหนักหนาอะไรเลยตอบรับมา ปรากฏว่าใครคนนั้นดันเป็นคนที่อาศัยอยู่ชั้นสามเพนท์เฮ้าส์เดียวกับฉัน มันอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญหรืออะไรก็ตามแต่ ฉันฝากของไว้กับลูก้า เรื่องมันควรจะจบแค่ตรงนั้น แต่ว่าวันถัดมาของนั่นกลับมาอยู่ในกล่องรับพัสดุห้องฉัน ถึงตรงนี้มันเริ่มแปลกๆแล้ว ฉันเลยตัดสินใจเปิดห่อนั่นดู เดาสิว่ามันเป็นอะไร” จิบชาและพูดต่อโดยไม่รอคำตอบอีกครั้ง “มันคือแหวนวงเดียวกับที่ฉันให้เธอดู ผิดก็แต่ แหวนนั่นมีแค่วงเดียวเท่านั้น ตามหลักแล้วมันควรจะเป็นอย่างนั้น และมันควรต้องอยู่ติดตัวทายาทคนปัจจุบันถ้าเธอคนนั้นไม่ทำหายไปเสียก่อน เพราะมันเป็นแหวนที่จะส่งต่อให้กับผู้สืบทอดตระกูลพาทีเนียรุ่นต่อรุ่นเท่านั้น!”

    ถึงตรงนี้รอยยิ้มบนใบหน้าเอวี่หายไปแล้ว ความกังวลเริ่มเข้ามาแทนที่ บรรยากาศหนักเหมือนมีหินมากดทับ คิ้วสองข้างขมวดเป็นปม

    “ฉันมีข้อสงสัย เธอกำลังจะบอกว่าเธอทำแหวนนั่นหาย แล้วตอนนี้มันก็ถูกส่งมาโดยลูกพี่ลูกน้องของเธอที่ฝากแหวนวงนั้นผ่านเธอมาให้ผู้ชายที่อาศัยอยู่ชั้นสามของเพนท์เฮ้าส์เดียวกับเธอ และตอนนี้มันก็ถูกส่งมาให้เธอ ฉันเข้าใจถูกมั้ย” อลิซพยักหน้าหงึกๆ เอวี่ตาโต ร้องออกมา

    “เดี๋ยวนะอลิซ ก่อนจะไปต่อ นี่เธอทำแหวนหายงั้นหรือ ตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่เห็นเธอดูทุกร้อน” แน่นอน มันเป็นเรื่องที่ควรจะตกใจ แต่เจ้าของคนปัจจุบันดูไม่เดือดร้อนนัก

    “สักสองอาทิตย์ได้แล้วมั้ง รู้อีกทีมันก็ไม่อยู่แล้ว” ถึงตรงนี้เอวี่ที่อยากจะร้องก็ร้องไม่ออก

    “ฉันแทบพูดไม่ออกเลย เธอทำของมีค่าขนาดนั้นหายแล้วยังนิ่งนอนใจอยู่ได้ ถ้าไปตกอยู่ในมือพวกโอเดนจะทำยังไง พวกนั้นจ้องเธออยู่นะ อลิเซเชีย บีลีธเน่ พาทีเนีย รู้บ้างมั้ยฮึ” เอวี่ว่า อยากเอื้อมมือไปเขกหัวเพื่อนหน้าตายคนนี้ของเธอ

    “ตอนนี้ก็ได้กลับคืนมาแล้วไง เข้าเรื่องที่จะให้ช่วยเลยละกัน ช่วยสืบประวัติผู้ชายชั้นสามให้หน่อย ฉันต้องการรู้ทุกอย่างแบบละเอียดที่สุด แล้วก็เรื่องแหวน เอลเลียตบอกว่าคนรู้จักของเขาก็ฝากมาอีกที ฉันอยากรู้ว่ามันจริงแค่ไหน เขารู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้าง และถ้ามันเป็นอย่างที่หมอนั่นพูดจริงๆ ใครเป็นคนที่ฝากแหวนนี่มากันแน่” เหลือบมองเพื่อนสาวที่จิบชาฟังคำขอร้องของเธอ บีบหน้าให้ดูน่าสงสารเล็กน้อย

    “ไม่เยอะไปใช่มั้ยเอวี่เพื่อนรัก”

    เอวี่มองหน้าคนพูด ปากยิ้มแต่คิ้วกระตุก พยายามจับถ้วยชาแน่นให้มั่นใจว่ามันจะไม่ลอยไปโดนคนตรงหน้า ถอนหายใจหนักๆ อย่างยอมรับชะตากรรม

    “ในเมื่อเรื่องมันเป็นแบบนี้ฉันจะอยู่เฉยๆ ก็คงไม่ได้ ศัตรูของพาทีเนียก็คือศัตรูของเรเนฟ ได้ ฉันจะช่วยเธอเอง แต่อลิซรู้ใช่มั้ย...” เว้นจังหวะเล็กน้อย “ว่าของฟรีไม่มีในโลกหรือถ้ามี ก็ไม่ใช่ที่ร้านขายอุปกรณ์เอวี่แน่ๆ” เอวี่ยิ้มแสยะ ตาเป็นประกาย คิ้วเลิกขึ้น หน้าตาดูร้ายกาจเจ้าเล่ห์ ใช่แล้ว รอยยิ้มที่ดูเหมือนกระต่ายน้อยไร้เดียงสาน่ะมันไม่เหมาะกับเธอหรอก ต้องจิ้งจอกมากเล่ห์สิถึงจะใช่ ตัวตนจริงๆของเอวี่ เรเนฟ ต้องอย่างนี้สิเพื่อนของอลิเซเชีย

    “จะเอาเท่าไหร่ครั้งนี้ อย่าแพงมากนักนะ ครั้งที่แล้วเธอปล้นฉันแทบหมดตัว” อลิซ กล่าว คิ้วขมวดเล็กน้อยเมื่อคิดถึงจำนวนเงินที่จ่ายให้เพื่อนสาวคนนี้ช่วยเหลือไปก่อนหน้านี้

    “ทำเป็นพูดดี เอาไว้หมดตัวก่อนจริงๆ เถอะจะสมน้ำหน้า แล้วก็ ครั้งนี้มันเทียบกับครั้งที่แล้วไม่ได้ด้วยซ้ำ เธอจะให้ฉันไปหาข้อมูลใครที่ไหนก็ไม่รู้ หน้าตารึก็ไม่รู้จัก ถ้าไม่อยากจ่ายแพงก็เชิญที่อื่นนะเพื่อนรัก” เอวี่ตอบพลางสะบัดหน้า มือยกชาขึ้นจิบ ปรายตามองอลิซที่อย่างไรก็ไม่มีทางเลือกนอกจากจ่ายเงินเธออยู่ดี ท่าทางอ่อนหวานตอนแรกหายลงบ่อที่ไหนไปแล้วไม่ทราบได้

    “สามวัน” อลิซพูดขึ้น “ฉันให้เวลาเธอสามวัน หาข้อมูลทั้งหมดมาให้ได้ แล้วอยากได้เท่าไหร่ก็ไปเก็บกับวิกเตอร์ได้เลย” มองหน้าเอวี่อย่างจริงจังแกมส่งสายตาขอร้องว่าอย่าคิดแพงมาก ในหัวคิดถึงค่าเสียหายและเสียงของวิกเตอร์พ่อบ้านประจำตัวเธอที่ต้องบ่นหูชาอีกแน่ๆ ที่เธอใช้เงิน (มหาศาล) ที่ร้านขายอุปกรณ์เอวี่นี่อีกแล้ว

    .

    .

    .

    หลังจากไหว้วาน (แบบมีค่าจ้าง) กับเจ้าของร้านขายอุปกรณ์เอวี่ หรือชื่อเต็มคือ เอเวอรีน เรเนฟ เพื่อนสาวคนสวย อลิซก็ออกไปหาอะไรกินก่อนกลับเพนท์เฮ้าส์สุดหรูที่ตอนนี้กลายเป็นบ้านหลังที่สองอย่างเต็มตัวของเธอไปแล้ว อลิเซเชีย บีลีธเน่ พาทีเนีย เป็นทายาทคนที่ 29 ของตระกูลที่เป็นหนึ่งในตระกูลผู้ก่อตั้งอาณาจักรพาทีเนีย ซึ่งเรเนฟเปรียบได้กับมือขวาของพาทีเนีย แม้จะเกิดในตระกูลที่ร่ำรวย แต่อลิซไม่ค่อยชอบเป็นที่รู้จักและต้องใช้ชีวิตในกฎระเบียบของที่บ้านเท่าไหร่นัก จึงตัดสินใจออกมาใช้ชีวิตข้างนอกด้วยตัวเองแต่ก็ยังมีบ้างที่ต้องไปร่วมงานเลี้ยงตามคำเชิญจากตระกูลต่างๆ และด้วยความที่พาทีเนียและเรเนฟสนิทกันมาก พ่อแม่ของพวกเธอจึงไปมาหาสู่กันอยู่บ่อยครั้งทำให้ทั้งสองสนิทกันไปโดยปริยาย

    แหวนที่อลิซหาไม่เจอเป็นการชั่วคราว (ทายาทคนที่29ของตระกูลพาทีเนียที่ยิ่งใหญ่ยืนยันว่าอย่างนี้) เป็นแหวนที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่ออาณาจักรพาทีเนีย รวมถึงการขึ้นเป็นผู้นำตระกูลของเธอที่จะมีงานจัดขึ้นในไม่ช้า มันเป็นแหวนที่ภายนอกไม่มีลักษณะว่าเป็นของมีราคาอะไรนัก ตัวแหวนทำจากทองคำขาวบริสุทธิ์ ไม่มีเพชรหรือการตกแต่งใดๆ เป็นแหวนที่ดูเรียบง่ายอย่างที่สุด กระนั้นก็มีความพิเศษซ่อนอยู่ ด้านในแหวนมีอักขระโบราณสลักไว้และมีการลืออย่างลับๆ ว่ามันเป็นแหวนต้องสาป ที่กระผมยืนยันได้ว่าเป็นเรื่องจริงก็คือ แหวนวงนี้ทำขึ้นเพื่อพาทีเนีย และพาทีเนียเท่านั้นที่มีสิทธิครอบครองมัน หากแหวนนี้ไปตกอยู่กับผู้ใดทีคิดจะครอบครองอย่างมิชอบ ชีวิตจะเกิดหายนะอย่างที่จินตการไม่ถึง จริงๆ แล้วมันก็ไม่ถึงกับเป็นคำสาปอะไร เพียงแค่ในยุคของพาทีเนียรุ่นแรกนั้นได้มีผู้ใช้เวทมนตร์จากมิติอื่นเดินทาง (หลง) เข้ามาในยุคแรกเริ่มของการก่อตั้งอาณาจักรต่างๆ พวกเขาได้พบกันรวมถึงให้การช่วยเหลือพาทีเนียในการทำเรื่องต่างๆ และเหมือนว่าพวกเขาจะหาทางกลับโลกเดิมไม่เจอจึงได้ทำการตั้งรกรากที่แผ่นดินแห่งนี้ รวมถึงเป็นตัวการที่อยู่เบื้องหลังเรื่องราวมากมาย อะแฮ่ม เอาเป็นว่า แหวนประจำตระกูลวงนี้ได้มีการลงเวทมนตร์เอาไว้เพื่อพาทีเนียเท่านั้น และดูเหมือนว่าตอนนี้จะมีผู้ประสงค์ร้ายต่อทายาทสาวคนสวยเสียแล้ว

    .

    .

    .

    “กลับมาแล้วรึ สาวน้อย” ผู้เฒ่าลูก้าเจ้าเก่าเจ้าเดิมคนดีอีกแล้วที่ทักเธอ อลิซไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจดีที่มีคนคอยใส่ใจกันขนาดนี้ ไม่ว่าเธอจะออกไปไหนหรือกลับมาเมื่อไหร่ท่านผู้เฒ่าก็ต้องทักเธอทุกครั้ง มีบางครั้งที่เธอแอบสงสัยว่าลูก้าเป็นสายให้ที่บ้านเธอรึเปล่า แต่หลังจากที่เขาหันหลังแล้วเธอตะโกนเรียกดังเท่าไหร่ก็ไม่ได้ยินนั้น ทำให้สมมติฐานข้อนี้ตกไป

    “กลับมาแล้วค่ะ” ตอบแบบนี้มาสามปีแล้ว ขณะที่กำลังจะก้าวขาขึ้นลิฟต์ก็นึกขึ้นได้ จังหวะที่หันกลับมาแล้วพบว่าท่านผู้เฒ่ากำลังจะหันหลังกลับไปสนใจกระดานหมากรุกที่เล่นค้างไว้ก็รีบพุ่งตัวออกไปยืนโบกไม้โบกมือตรงประตูกระจกที่กั้นระหว่างโถงรับรองกับพื้นที่ส่วนตัวของลูก้า พยายามตะโกนอย่างสุดชีวิต

    “เดี๋ยวก่อนค่ะ!!! หนูมีเรื่องจะถาม!!” ช้าไปเสี้ยววินาที ท่านผู้เฒ่าหันหลังไปจดจ่ออยู่กับกระดานหมากรุกไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว อลิซยืนเกาะประตูกระจกอย่างหมดท่า เธอพลาดเองที่ไม่นึกจะถามเขาเรื่องพัสดุปริศนานั่นให้เร็วกว่านี้ ลูก้าก็เหลือเกิน รู้ทุกครั้งเวลาเธอจะออกไปข้างนอกหรือกลับมา แต่ครั้งไหนที่เธอตั้งใจเรียกกลับไม่เคยได้ยินเลยสักครั้งเดียว ยังจำตอนที่ย้ายมาอยู่ใหม่แล้วน้ำไม่ไหล เธอพยายามเรียกเขาแทบตายก็ไม่สำเร็จ ต้องไปเขียนไปคำร้องหย่อนลงกล่องรับเรื่องร้องเรียน วันถัดมาถึงมีคนมาจัดการให้ จริงๆ มันอาจจะยุ่งยากน้อยกว่านี้ แต่เพนท์เฮ้าส์แห่งนี้มีกฎระเบียบคอขาดบาดตายเรื่องความเป็นส่วนตัวอย่างมาก โดยเฉพาะพื้นที่ส่วนตัวของเจ้าของ ตั้งแต่เข้ามาอยู่ลูก้าไม่เคยเข้าห้องเธอ เธอเองนอกจากเดินผ่านโถงกลางมาขึ้นลิฟต์ส่วนตัวก็ไม่เคยไปเหยียบบริเวณอื่นเช่นกัน ไม่ต้องอะไรเลย ผู้เช่าที่อยู่ชั้นสามเธอยังไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน แม้จะแอบหงุดหงิดกับกฎข้อนี้แต่ก็เป็นเพราะเหตุผลนี้อีกเช่นกันที่เธอเลือกย้ายมาอยู่ที่นี่ เพราะคนนอกห้ามเข้ามาอย่างเด็ดขาด มันจึงเหมาะเป็นอย่างมากที่จะใช้เป็นหลุมหลบภัยจากครอบครัวที่แสนวุ่นวายและมีอำนาจอย่างพาทีเนีย

    ขณะที่สาวน้อยชั้นสอง (ซึ่งกระผมขอลงความเห็นว่าเธอจัดเป็นผู้หญิงที่ตัวค่อนข้างสูง และมีรูปร่างสูงโปร่ง) แห่งเพนท์เฮ้าส์ไม่ทราบชื่อได้ถอดใจที่จะเรียกผู้เฒ่าลูก้าและตัดสินใจจะขึ้นไปพักผ่อน ทันใดนั้นเอง เสียงฝีเท้าหนักแน่นที่กระทบพื้นหินอ่อนของโถงกลางก็ดังขึ้นอย่างเป็นจังหวะ อลิเซเชียหันไปมองผู้มาใหม่อย่างรวดเร็วและจ้องเขม็งอย่างไม่เก็บอาการ สิ่งที่เธอเห็นคือ ผู้ชายหน้าตาดี ตัวสูงขายาว ผมสีดำเข้มหยักศกยาวระต้นคอที่ปกติเธอจะรู้สึกว่ามันรุงรังแต่ครั้งนี้เธอรู้สึกว่ามันยิ่งทำให้เขาดูดียิ่งขึ้นไปอีก ร่างกายท่อนบนภายใต้เสื้อเชิ้ตสีขาวตัดกันกับโค้ทยาวสีน้ำตาลเข้มก็ดูน่าลูบไล้ ลูบไล้? ไม่สิ ตั้งสติก่อนอลิซ สะบัดหน้าและจ้องอีกครั้ง และคราวนี้อีกฝ่ายก็ตอบสนองต่อกริยาที่ไม่มีมารยาทนั้นด้วยการค้อมตัวให้แล้วเดินขึ้นลิฟต์ไป ก่อนที่ลิฟต์จะปิด ตาสีฟ้าเข้มเหมือนมหาสมุทรนั้นสบตาเธอ ตรึงเธอไว้กับที่ อาการที่ไม่เคยขึ้นมาก่อนอย่างการลืมหายใจพลันกำเริบขึ้นมาซะอย่างนั้น จนกระทั่งลิฟต์ปิดลงและเสียงติ้งดังขึ้นปรากฏเลข 3 ด้านบนหน้าลิฟต์ตัวนั้น ให้ตายเถอะอลิเซเชีย บีลีธเน่ พาทีเนีย

    .

    .

    .

    ...เขาคือชายหนุ่มชั้นสาม!!





    https://www.readawrite.com/c/cc9ba1ff2c2f111f66b918db3de11347

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in