เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เรื่องมีอยู่ว่าdead dog's eye
บ้านเรา dystopia
  •                เรื่องสั้นเรื่องนี้ค่อนข้างจะ expressionism หน่อย เพราะเขียนขึ้นแทบจะทันทีหลังจากไปประสบเรื่องบางอย่างในบ้านของตัวข้าพเจ้าเอง

                   จริงๆก็ถือเป็นเรื่องปกติสำหรับบ้านที่อยู่กันเป็นครอบครัว 4-6 คน หากที่พักอาศัยไม่กว้างพอก็จะเกิดวิกฤตการณ์ประชากรแออัด และถ้าจะเหมารวมพวกสังหาริมทรัพย์ส่วนบุคคลก็จะยิ่งแย่งพื้นที่กันเข้าไปใหญ่ เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อสักครู่เดินเข้าไปในห้องเก็บของ อยากหาหนังสือเก่าๆมามานอนอ่านสักเล่ม แต่สิ่งที่เจอกลับไม่ใช่หนังสือเก่า แต่เป็นสิ่งมีชิวิตที่อาศัยอยู่ตามท่อระบายน้ำ ใจเย็นครับ ไม่ใช่หนู แค่แมลงสาบเท่านั้น

                   บ้านหลังนี้สร้างมาราว 20 ปีแล้ว ถือว่าเก่าพอตัวเลยทีเดียว เนื้อที่ก็ไม่ได้มากมายนัก การมีแมลงสาบก็เลยถือเป็นเรื่องปกติ เพราะข้าวของค่อนข้างรก ชนิดที่ถ้าลืมอะไรไว้นานๆก็จะโดนดูดหายไปแบบเบอร์มิวดาร์เป๊ะ พอมีเพื่อนมาบ้านแต่ละที ท่านแม่ก็จะถามว่า บ้านเรารกไหม และไม่ว่าจะกี่คนต่อกี่คนก็จะพยักหน้าตอบอย่างเขินอายเหมือนกันหมด บ้านของข้าพเจ้าเป็นบ้าน2หลังติดกัน แบ่งพื้นที่กันอย่างชัดเจนและเป็นธรรม แต่เดิมอยู่กัน 6 คน ฝั่งละ 3 แต่หลายปีให้หลังนี้มีคนย้ายออกไปถึง 2 คน ก็เลยเหลือทั้งบ้านเบ็ดเสร็จ 4 คนถ้วน เหมาะกับพื้นที่บ้าน 60 ตารางวาพอดิบพอดี

                  ตัดกลับมาที่เรื่องแมลงสาบในห้องเก็บของ นี่ไม่ใช่เรื่องน่าตื่นตกใจสำหรับข้าพเจ้าเลย เราเคยเผชิญหน้ากันมาหลายครั้งต่อหลายครั้งแล้ว เมื่อตอนเด็กๆข้าพเจ้าอาจเคยเพลี้ยงพล้ำไปบ้าง แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว ข้าพเจ้ากระทืบเท้า แมลงสาบหนีไปหลบเข้าซอก 
                   จบการประลอง

                    อันที่จริง เราไม่ได้เห็นแมลงสาบที่บ้านมาก็หลายปีแล้วนะ ข้าพเจ้าคิดในใจหลังจากหยิบหนังสือเล่มที่ต้องการออกมาจากชั้นวาง ไม่รู้เพราะอะไร แต่เมื่อก่อนจำได้ว่าท่านพ่อจะมีวิธีที่นุ่มนวลและสันติภาพมากๆ แกนำพืชสมุนไพรไล่แมลงสาบไปวางไว้ให้กลิ่นโชย
                    เป็นวิธีที่ได้ผลดีอย่างไม่น่าเชื่อ แต่พอหลายปีถัดมาพวกมันก็คงจะเริ่มคุ้นกลิ่นและกลับมาเยี่ยมเราอีกครั้ง คราวนี้ท่านพ่อเลยใช้ไม้แข็ง ไปซื้อพวกอาหารพิษตามห้างสรรพสินค้ามาวางล่อไว้ พอตกดึกปุ๊ปพรรคพวกแมลงสาบก็จะแห่มาจัดปาร์ตี้กันสนุกสนาน แล้วพอรุ่งเช้าก็จะพากันลาโลก ท่านพ่อได้บัญญัติศัพท์พฤติกรรมของแมลงสาบเหล่านี้ว่า การพี้
                    ได้ผลรอบสอง แมลงสาบหายไปพักใหญ่ จนกระทั่ง..

                   เมื่อหลายเดือนก่อน ท่านยายของข้าพเจ้าป่วย ป่วยหนักชนิดที่ว่านอนโรงพยาบาลเป็นเดือน และหลังจากรักษาจนอาการดีขึ้น ก็มีบทสรุปว่า จากลูกที่เหลือ 3 คนของท่านยาย ท่านแม่กลายเป็นม้ามืดได้เป็นตัวแทนอย่างไม่เป็นเอกฉันท์ที่จะนำท่านยายมาดูแลต่อที่บ้าน เหตุผลของการเป็นม้ามืดเพราะ สภาพบ้านที่ได้กล่าวมาข้างต้น ไม่ได้เอื้ออำนวยต่อการพักฟื้นที่ผู้ป่วยเลยแม้แต่น้อยหากเทียบกับบ้านของน้าๆ

                   เห็นท่านยายครั้งแรกตอนลงจากรถยนตร์มาต่อรถเข็น ท่านยายข้าพเจ้าอายุ 83 เป็นคนอยู่ง่ายกินง่าย อารมณ์ดี (ท่านแม่ว่างั้น) ท่านแม่เรามีเวลาใกล้ชิดท่านยายเต็มที่ เพราะไม่ได้มีงานเป็นหลักเป็นแหล่ง จำได้ลางๆว่าหลังจากช่วงเศรษฐกิจฟองสบู่แตก ท่านแม่ก็ไม่ได้จับงานจริงๆจังๆอีกเลย ส่วนมากเวลามีให้กรอกอาชีพของมารดา ข้าพเจ้าก็จะเลี่ยงตอบไปว่า แม่บ้าน ซึ่งไม่ได้มีนัยยะถึงแม่บ้าน ที่รับจ้างทำความสะอาดบ้าน แต่เป็น แม่ ของ บ้าน มากกว่า

                   และเมื่อรถเข็นของท่านยายได้ลงจอดอย่างถาวรที่บ้านของข้าพเจ้า บัดนั้นเป็นต้นมา ท่านแม่ก็พ้นจากสภาพแม่บ้าน เนื่องจากการดูแลท่านยายต้องใช้พลังงานสูงมาก แม้ว่าจะพอเจียดเวลาไปล้างจาน ซักผ้า รีดผ้าได้ปกติ แต่การงานเล็กๆน้อยๆก็ดูเหมือนจะกลายเป็นช่องโหว่ไป บ้านของข้าพเจ้าได้รับความเปลี่ยนแปลงกระทันหัน ทั้งท่านพ่อและท่านแม่ การดูแลคนป่วยเป็นเรื่องที่ยาก ยิ่งคนป่วยหนักก็เท่ากับเพิ่มเลเวลขึ้นไปอีก นั่นทำให้ชีวิตชีวาของบ้านเราหายไปมากพอสมควร

                 แต่มันก็เป็นเรื่องที่ควรจะเป็นอยู่แล้ว และเป็นเรื่องที่ถูกต้องด้วย เราไม่ได้โทษท่านยาย หรือ โทษใคร แต่คงถึงเวลาที่บ้านเรากำลังจะเข้าสู่ยุค dystopia
    ถึงแม้ว่าบ้านจะรกมากเพียงใดก็ตาม ก็อย่าให้เกิดความรู้สึกร้างตามมาเด็ดขาด
                  สุดท้ายนี้ ในขณะเดียวกับที่ข้าพเจ้ากำลังเขียนเรื่องนี้อยู่ แมลงสาบตัวนั้นคงจะซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่งในบ้านที่กำลังจะ dystopia หลังนี้

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in